หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 348 หมอเหยายกตนข่มท่าน แม่ทัพขอความช่วยเหลือ (3)
ตอนที่ 348 หมอเหยายกตนข่มท่าน แม่ทัพขอความช่วยเหลือ (3)
แน่นอนว่าเหยาเยี่ยนอวี่ยังคงรักษาผู้ป่วยพวกนั้นตามลำดับเหมือนเมื่อวาน ทว่ากลับว่องไวกว่า เหตุเพราะไม่จำเป็นต้องฝังเข็มให้คนพวกนี้อีก เหยาเยี่ยนอวี่แค่ดูอาการพวกเขา หลังจากกำชับข้อควรปฏิบัติสองสามคำก็จากไป
หลูถงก่วงและหลิวซั่งซิวยังคงติดตามนางไปทุกที่
เมื่อคืนหมอทหารหลูแทบจะไม่ได้หลับทั้งคืน ตอนนี้ขอบตาดำคล้ำมาก เหยาเยี่ยนอวี่เห็นก็ทนดูไม่ได้ จึงให้เขากลับไปพักผ่อน แต่แม่ทัพเว่ยมาเยือน หมอทหารหลูจะกล้าไปพักผ่อนได้อย่างไร แม้กระทั่งหลิวซั่งซิวที่รู้สึกไม่พอใจมากก็ยังไม่กล้ามากความ
มีอะไรน่าพูดถึงเล่า คนของจวนแม่ทัพมาดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บ รวมไปถึงหมอหญิงสิบหกนางจากสำนักแพทย์ก็มาให้ความร่วมมือ พอผ่านไปครึ่งค่อนวัน เรือนพักฟื้นตัวที่สกปรกที่สุดของทหารชั้นต่ำที่สุดก็ถูกเก็บกวาดเป็นที่เรียบร้อย
ไม่รู้ว่าคนของจวนแม่ทัพไปเอาผ้าห่มมาปิดทั้งสี่ด้านของเรือนมาจากที่ใด แล้วยังเอาเตาอุ่นมาจุดในเรือน ตอนนี้แม้ในเรือนยังคงหนาว ทว่าก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
เหยาเยี่ยนอวี่คงไม่มีทางจับชีพจรให้ทหารหนึ่งพันกว่านายที่ได้รับบาดเจ็บด้วยตัวเองครบทุกคน ทว่านางก็ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ทหารที่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย นางต้องรักษาด้วยตัวเองทุกคน
แค่คำพูดนี้เอ่ยออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในค่ายทหารเปลี่ยนไป ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ได้รับยาที่เพียงพอ และไม่ได้รับการรักษาที่ทันเวลา ก่อนหน้านี้ทหารที่เจ็บหนักก็นอนรอความตายเท่านั้น ตอนนี้คนพวกนี้รู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
เว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่เดินวนค่ายทหารไปหนึ่งรอบ ถึงแม้สีหน้ายังคงเย็นชา ทว่ากลับลอบทอดถอนหายใจอย่างแรง
ท่าทีเช่นนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่เอาชนะใจของเหล่าทหารได้อย่างไร้ข้อสงสัย โดยเฉพาะเหล่าทหารที่มีฐานะต่ำต้อยที่สุด เหตุเพราะพวกเขาได้รับการให้ความสำคัญ จึงส่งผลต่อความรู้สึกดีๆ ของพวกเขาอย่างมาก
แม่ทัพหนึ่งคนพาทหารทำศึกสงคราม วินัยทหารย่อมสำคัญ ทว่าสิ่งที่สำคัญกว่ากลับเป็นหัวใจของทหาร
การทำศึกสงครามไม่มีทางที่จะไม่มีคนตายหรือบาดเจ็บ ไม่ว่าทหารผู้นั้นจะมียศอะไร ทุกคนย่อมมีชีวิตทั้งนั้น ถึงแม้พวกเขาเคยสาบานว่าจะปกป้องแผ่นดินยิ่งชีพ ทว่าใครบ้างที่ไม่กลัวความตายจริงๆ
ผู้ที่สิ้นชีพไปแล้วก็คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอีก ทว่าพวกที่ได้รับบาดเจ็บแล้วถูกสหายแบกกลับมา ขืนให้พวกเขานอนรอความตายในเรือนต่อไปเช่นนี้ พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร และตอนนี้ มีหมอหลวงเหยาอยู่ ต่อให้กลับจากสนามรบด้วยลมหายใจเพียงเฮือกเดียว ก็ไม่ควรนอนรอความตายเช่นนี้หรือเปล่า! แล้วพวกเขาจะรู้สึกเช่นไร!
ตอนกลางคืน หลังจากที่เว่ยจางออกจากค่ายพักฟื้นของทหารถึงจะสังเกตเห็น ตอนนี้สำหรับเหล่าทหารแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่ไม่เพียงแต่เป็นหมอหลวงในราชสำนักที่เก่งกาจคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าการกระทำของนางในวันนี้แสดงให้เห็นว่าเหล่าทหารพวกนี้ก็มีตัวตนเช่นนี้
การแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีตัวตนอยู่ ถือเป็นการหนุนใจเหล่าทหาร ทำให้พวกเขาไม่ลังเลที่จะสู้รบในสนาม แล้วยังสังหารข้าศึกอย่างสุดความสามารถ ต่อให้ตายไปก็ไม่รู้สึกเสียใจ
ตอนที่ลงจากม้าตรงหน้าประตูจวนข้าหลวงหลี่ เว่ยจางเห็นเหยาเยี่ยนอวี่กระโดดลงจากหลังม้าด้วยความสง่าผ่าเผย จึงอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้
สตรีผู้นี้เป็นของเขาเว่ยจาง ไม่ว่านางจะทำเรื่องอะไรก็มักจะดูมีเสน่ห์ ทั้งยังดูงดงามเช่นนั้น! ทำให้หาที่ติไม่เจอ เหมือนนางสมควรเป็นเช่นนี้ และถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งสองเข้าประตูตามกันไป หลี่อี้หรงก็ออกจากด้านในมาต้อนรับ เขาน้อมคำนับให้เว่ยจางก่อน จากนั้นก็ค้อมตัวลงตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความเคารพนับถือ “ลำบากใต้เท้าเหยาแล้ว”
“ใต้เท้าหลี่เกรงใจเกินไปแล้ว นี่เป็นหน้าที่ที่ข้าควรรับผิดชอบอยู่แล้ว” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหยาเยี่ยนอวี่ได้เจอหลี่อี้หรง สำหรับบางคน แค่เห็นเพียงชั่วพริบตาก็รู้สึกถูกชะตาแล้ว ต่อให้เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก ก็เหมือนสหายที่รู้จักกันมาหลายปี
หลี่อี้หรงนับถือที่เหยาเยี่ยนอวี่มีจิตใจเมตตา แค่มองจากจิตใจเมตตากรุณานี้ นางที่เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง ก็เทียบเทียมกับบุรุษมากมายได้
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเห็นใจบุรุษคนนี้ที่เสียญาติไปในสนามรบจากใจจริง และต่อให้คนผู้นี้จะเป็นบุรุษที่มีความสามารถจริงๆ ได้ข่าวว่าตอนนั้นที่เว่ยจางตามหาเขาจนเจอ เขาก็สลบอยู่กลางป่าหิมะ ฟันของเขากัดหูของชาวหูไว้แน่น อีกอย่างตอนนี้พอมาพักอาศัยอยู่ในเรือนของคนอื่น มีเจ้าของบ้านคนไหนบ้างที่ไม่ต้อนรับแขก นางจะไม่ให้เกียรติเขาได้อย่างไร
หลี่อี้หรงพาพวกเขาสองคนเข้าไปในห้องโถงหน้าด้วยความเกรงอกเกรงใจแล้วถามลองเชิง “ข้าน้อยเตรียมสุราและอาหารไว้ มิทราบว่าแม่ทัพเว่ยและใต้เท้าเหยาจะให้เกียรติดื่มสุรากับข้าน้อยหน่อยหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจ ยิ้มจางๆ พร้อมพูดขึ้น “ข้าเพิ่งกลับมาจากค่ายทหาร อย่างไรก็ขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนค่อยว่ากันเถอะ“
หลี่อี้หรงพลันประสานมือคารวะและพูดขึ้นยิ้มๆ “เช่นนั้น เชิญใต้เท้าเหยาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ประสานมือคารวะหลี่อี้หรงแล้วเดินกลับไปที่เรือนหลัง เว่ยจางนั่งอยู่กับหลี่อี้หรงในโถงหน้า เขาจิบชาร้อนๆ หนึ่งคำ พร้อมทั้งเสวนาถึงงานทางการทหารอยู่บ้าง
นึกไม่ถึงว่าพวกเขาดื่มชาไปสองถ้วย ใต้เท้าเหยายังไม่ปรากฏตัว
หลี่อี้หรงมองนัยน์ตาของเว่ยจางด้วยความฉงนสงสัย เว่ยจางแย้มยิ้มจางๆ แล้วพูดขึ้น “นางอาจจะเหนื่อยเกินไป พวกเราไม่ต้องรอนางแล้ว สั่งให้คนส่งอาหารไปให้นางที่เรือนเถอะ”
“ทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีหรือเปล่า ให้คนไปถามหน่อยไหม” หลี่อี้หรงลอบพึมพำว่า หมอหลวงเหยาก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่มานี่
เว่ยจางส่ายหน้าน้อยๆ แล้วพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องถามหรอก นางไม่ช่ำชองในการร่วมงานสังสรรค์ หากให้นางพบปะสังสรรค์กับผู้คน สู้ให้นางนอนพักไม่ดีกว่าหรือ”
“แม่ทัพเว่ยกล่าวถูกขอรับ” หลี่อี้หรงตอบกลับ แล้วลุกขึ้นสั่งให้คนไปส่งอาหารเลิศรสไปที่เรือนหลัง ประจบกับชุ่ยเวยเข้ามาจากด้านนอกพอดี พอเห็นหลี่อี้หรงจึงค้อมตัวลง “ใต้เท้าหลี่ ใต้เท้าของพวกบ่าวบอกว่าไม่ค่อยสบาย จึงไม่สะดวกดื่มสุรา เป็นการทรยศต่อความเจตนาดีของใต้เท้าแล้ว ใต้เท้าได้โปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
การที่บอกว่าไม่สบายเป็นข้ออ้างเท่านั้น จริงๆ แล้วใต้เท้าเหยาไม่อยากจะร่วมโต๊ะกับบุรุษสองคนเท่านั้น ผู้ที่มีตาทิพย์ก็ย่อมรู้โดยที่ไม่ต้องถาม ดังนั้นหลี่อี้หรงพลันพูด “ท่านใต้เท้าพูดจาเกรงใจเกินไปแล้ว จริงๆ ข้าเองที่เป็นฝ่ายสร้างเรื่องวุ่นวายให้ใต้เท้าเหยาเอง แม่นางมาได้เวลาพอดี นำอาหารพวกนี้กลับไป แล้วช่วยข้าถามใต้เท้าเหยาว่ายังต้องการอะไรอีก ก็สั่งให้คนมาแจ้งได้เลย”
ชุ่ยเวยค้อมตัวลงกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็หยิบกล่องอาหารและจากไป
หลี่อี้หรงเห็นว่าชุ่ยเวยเดินจากไป จึงลอบถอนหายใจในใจ เดิมทีเขารู้สึกว่าเหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นเพียงสตรีกลับเข้าไปประจำการในสำนักแพทย์ได้ อีกอย่างยังเป็นบุตรีของข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมืองอีก หากเทียบกับจวิ้นจู่ นางก็ไม่แตกต่างอะไรเลย นางยังคงเย่อหยิ่ง ไม่เห็นบุรุษในสายตา กลับนึกไม่ถึงว่าแม้กระทั่งตอนอยู่ต่อหน้าแม่ทัพเว่ย นางยังทำตัวหยิ่งผยองได้ถึงเช่นนี้
ชุ่ยเวยเอาอาหารกลับไปเรือนหลัง เหยาเยี่ยนอวี่ก็อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว และตอนนี้นางนั่งอยู่ตรงโต๊ะเตี้ยบนตั่งไม้ กำลังเขียนจดหมายให้เหยาเหยียนอี้อยู่ ด้วยเหตุนี้ชุ่ยเวยจึงเดินหน้าไปเกลี้ยกล่อม “คุณหนูเจ้าคะ ใต้เท้าหลี่สั่งให้คนส่งอาหารมา อากาศหนาวเช่นนี้ กับข้าวจะเย็นเร็ว มิเช่นนั้นคุณหนูกินมื้อค่ำก่อนแล้วมาเขียนต่อเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม ใกล้เสร็จแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ตอบกลับ ขณะเดียวกันนางก็ไม่หยุดเขียนจดหมายต่ออย่างรวดเร็ว
จดหมายที่นางเขียนเป็นเพียงการบอกเล่าและถามถึงสารทุกข์สุขดิบเท่านั้น นางก็แค่รายงานว่าตนสุขสบายดี และถือโอกาสนี้กล่าวถึงความปรารถนาเล็กๆ ของตัวเอง นางจะใช้ฐานะที่ตนเป็นขุนนางที่ราชสำนักส่งมา เขียนสาส์นกราบทูลเกี่ยวกับค่ายพักฟื้นของทหาร นางถือว่านางเป็นคนที่แยกแยะระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัวได้เป็นอย่างดี
จริงๆ เรื่องที่เกี่ยวกับค่ายทหาร เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่มีอะไรทูลฮ่องเต้ อีกอย่างก็ไม่ได้คิดจะเอาผลงานของคนอื่นมากลายเป็นผลงานของตนเอง แค่ว่านางไม่ได้คิดเช่นนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่คิดเช่นนี้ นางไม่อยากได้ความดีความชอบของคนอื่น แน่นอนว่าต้องมีคนต้องการเอาความดีความชอบของนางไปอยู่แล้ว แค่ตอนนี้นางยังไม่รู้เท่านั้น