หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 349 หมอเหยายกตนข่มท่าน แม่ทัพขอความช่วยเหลือ (4)
ตอนที่ 349 หมอเหยายกตนข่มท่าน แม่ทัพขอความช่วยเหลือ (4)
กล่าวถึงแม่ทัพเว่ยที่กินมื้อค่ำอย่างเรียบง่ายที่โถงหน้าเสร็จ ก็รีบมาอำลากับเหยาเยี่ยนอวี่ ช่วงเช้านี้เขาครุ่นคิดมาทั้งวัน ภายในใจจึงมีความคิดโดยรวมแล้ว ส่วนประเด็นสำคัญของเรื่องที่ครุ่นคิดอยู่ อย่างไรก็ต้องไปปรึกษาหารือกับแม่ทัพสองคนก่อน ดังนั้นหลังจากกินข้าวเสร็จ เขาก็เดินทางกลับฐานทัพตอนกลางดึกทันที
“แม่ทัพมาแล้ว” สาวใช้ชั้นล่างที่เฝ้าประตูเลิกม่านพลางรายงานด้านใน
เหยาเยี่ยนอวี่เขียนจดหมายเสร็จแล้วปิดผนึกทันที ขณะนี้กำลังประทับนามลงไปบนจดหมายอยู่
“เขียนจดหมายให้พี่รองหรือ” เว่ยจางเดินไปใกล้ ก็เห็นตัวอักษร ‘เหยาเหยียนอี้’ เขียนไว้ จึงเอ่ยถามเสียงเบา
“อืม” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น หลังจากเขียนคำว่า “ด้วยความเคารพ” เสร็จ นางก็วางพู่กันไว้บนชั้นวางพู่กัน จากนั้นก็เป่าหมึกเหมือนเด็กน้อย ไม่ได้สนใจแม่ทัพเว่ยที่อยู่ข้างๆ เลย
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเห็นจึงแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ถอยไปด้านนอกอย่างเงียบๆ
เว่ยจางนั่งลงข้างๆ คุณหนูเหยา แขนยาวยื่นไปโอบเอวบางของนาง พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “นิสัยของเจ้าดื้อดึงเกินไปหรือเปล่า”
เหยาเยี่ยนอวี่เป่าหมึกบนจดหมายจนแห้ง แล้วหันไปกลอกตามองบนใส่เว่ยจาง แต่ไม่พูดไม่จาอะไร
“ตอนอยู่ต่อหน้าหลี่อี้หรง เจ้ากลับชักสีหน้าใส่ข้ากระนั้นหรือ” เว่ยจางขยับเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยถามต่อ
“มีด้วยหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ทำเสียงฮึดฮัด แล้วเบะปาก “ต่อให้ข้าชักสีหน้าใส่เจ้า แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
เว่ยจาง ‘ลุ่มหลง’ ในความหยิ่งผยองและความตรงไปตรงมาของนางเป็นอย่างมาก จึงกระชับแขนอุ้มนางมาไว้บนตัก พร้อมวางคางลงตรงไหล่ของนาง จากนั้นก็ดมกลิ่นกายอันเย้ายวนของนางด้วยความโลภมาก พร้อมทั้งเปรยขึ้น “อืม ข้าปัญญากับเจ้าจริงๆ เจ้าก็รู้จักข้าดีอยู่แล้วนี่”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “ข้าทำให้แม่ทัพเว่ยถึงกับจนปัญญาได้ ข้ารู้สึกตื่นตะลึงที่ได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดคิดมาก่อนจริงๆ”
เว่ยจางก็แย้มยิ้ม แววตาเยือกเย็นในตอนแรกก็หายไป เหลือเพียงแววตาหวานชื่นดั่งน้ำผึ้ง
คุณหนูเหยาสะบัดจดหมายในมือแล้วพูดขึ้น “หาคนที่ไว้วางใจได้ ส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้พี่รองโดยเร็วที่สุด”
รอยยิ้มอันหวานชื่นของแม่ทัพเว่ยแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มที่ร้ายกาจทันที “เจ้าขอร้องข้าสิ”
เหยาเยี่ยนอวี่เชิดหน้าใส่เขาทำเสียงฮึดฮัด จะให้คุณหนูเหยา ‘ขอร้อง’ คงไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
“ข้าเป็นถึงขุนนางแม่ทัพขั้นที่สาม นำทัพทหารม้าห้าหมื่นนายมาออกรบถึงที่นี่ กลับต้องเป็นข้ารับใช้ให้เจ้า แม้กระทั่งคำพูดเสนาะหูก็ไม่ยอมพูดให้ข้าฟังหน่อยเลยหรือ” เว่ยจางพึมพำด้วยเสียงต่ำ “เจ้าเอาหน้าของแม่ทัพไปไว้ไหนแล้ว หืม?”
“ต้องการให้ไว้หน้า?” รอยยิ้มบนใบหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่เหมือนจะหลุดพ้นจากการผูกมัดของเขา เดิมทีแววตาที่ยิ้มแย้มหยอกล้อ ค่อยๆ กลายเป็นแววตาที่เย็นยะเยือก “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ข้าจะหาวิธีเอง”
“หืม?” เว่ยจางเห็นสีหน้าของสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดเปลี่ยนไป จึงกอดนางให้แน่นขึ้น
“ข้าก็แค่หมอหลวงคนหนึ่ง จะกล้าใช้งานแม่ทัพใหญ่อย่างเจ้าได้อย่างไร จะกล้าเห็นแม่ทัพเว่ยเป็นข้ารับใช้ได้อย่างไร ข้าคงมิบังอาจ” ขณะที่พูด เหยาเยี่ยนอวี่ขยับตัวเพื่อหลุดออกจากอ้อมกอดของเขาอย่างเต็มแรง เหมือนได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าต้องการออกจากอ้อมกอดของเขา
“ไม่ ไม่ ข้าแค่หยอกเจ้าเล่น” แม่ทัพเว่ยจะปล่อยมือได้อย่างไร หากให้ว่าที่ภรรยาของเขาจากไปตอนนี้ แล้วจะได้กอดนางอีกเมื่อไร อีกอย่าง ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ นางยังไม่ได้พูดอะไรกับตนเองแม้แต่คนำเดียว นางทำสงครามเย็นกับตนหนึ่งวันหนึ่งคืนเช่นนี้ คืนนี้หากยังง้องอนนางไม่ได้ เขาจะกลับฐานทัพได้อย่างไร กลับไปก็คงไม่มีกะจิตกะใจทำการใด!
“โอ๋ อย่าโทษเลย ข้าก็แค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้น เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องขอร้อง ข้ายอมเป็นข้ารับใช้ของเจ้าเอง ข้ายอม ข้าเต็มใจ อย่าดิ้นสิ…เป็นเด็กดีหน่อย! ได้ ได้ ข้าขอร้องเจ้า ข้าเป็นฝ่ายขอร้องเจ้าเองดีหรือไม่ ขอให้เจ้าใช้งานข้า ข้ายอมเป็นข้ารับใช้ของเจ้า อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวแขนของข้าช้ำหมด…”
“เจ้าขอร้องข้า?” คุณหนูเหยาไม่ดิ้นอีกตอ่ไป แค่ทำหน้าตึงเครียดพลางจ้องแม่ทัพเว่ยแล้วเอ่ยถาม
“ใช่ ใช่ ข้าขอร้องเจ้า” แม่ทัพเว่ยละทิ้งนิสัยวางอำนาจของตนเองไปก่อน แค่คนในอ้อมกอดยอมเชื่อฟัง ให้เขาพูดอะไรออกมาก็ยอม ก็แค่พูดจาอ่อนหวานเท่านั้นมิใช่หรือ เกิดเป็นลูกผู้ชายก็ต้องยืดได้หดได้ แค่ว่าที่ภรรยาของตนเองไม่ดื้อดึงกับตนเอง อะไรก็ย่อมได้ ไม่ว่าจะให้พูดอะไร เขาก็ยินยอม
เหยาเยี่ยนอวี่เชิดคางเรียวเล็กขึ้น แกล้งทำสีหน้าเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าลองพูดอีกรอบสิ”
“อืม…ขอร้องเถอะ” ต่อให้แม่ทัพเว่ยจะหน้าด้านเพียงใด ตอนนี้ก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ขณะที่พูด ก็ขยับเข้ามาใกล้ตรงข้างหูของเหยาเยี่ยนอวี่ น้ำเสียงทุ้มต่ำ “ฮูหยินมีอะไรก็สั่งการได้เลย สามีมิบังอาจไม่ทำตามแน่นอน”
“หือ! ใครคือฮูหยินของเจ้า เหลวไหลไปกันใหญ่ ข้าเสียชื่อเสียงหมด!” เหยาเยี่ยนอวี่หน้าแดงเพราะลมหายใจอันร้อนผ่าวของเขา กลับพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าเหลวไหลกระนั้นหรือ? หืม?” เว่ยจางกัดติ่งหูของนาง เหตุเพราะยังสวมใส่ชุดเครื่องแบบขุนนาง จึงไม่ได้ใส่ต่างหูไว้ ติ่งหูอันนุ่มนวลประดุจหยกแนบชิดกับริมฝีปากของเขา ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายอ่อนๆ ที่เย้ายวนใจของนาง
“อืม…” เหยาเยี่ยนอวี่แค่รู้สึกสะดุ้งตกใจ จึงทำเสียงในจมูกอย่างไม่รู้ตัว ความอ่อนโยนนี้ ความเปียกชื้นนี้ เป็นความรู้สึกใหม่ที่เพิ่งจะเคยพบเคยเจอ ความรู้สึกนี้น่าหลงใหลยิ่งนัก ทำให้ตนเขินอายจนหน้าแดงระเรื่อ
ลิ้นเร่าร้อนขยับไปด้านล่าง และค่อยๆ เข้าไปใกล้เสื้อผ้าอย่างช้าๆ จู่ๆ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ตื่นเต้น จึงยกมือจับแขนเสื้อของเว่ยจาง แล้วเปรยด้วยเสียงเบา ‘อย่า…’
เว่ยจางค่อยๆ หยุดการกระทำของตนเอง ใบหน้ามุดเข้าไปตรงซอกคอของนาง ลมหายใจผ่าวร้อนคล้ายจะแผดเผาผิวของนางให้ไหม้เกรียม
เขาได้ยินเสียงลมหายใจของนาง แผ่วเบาจนเหมือนผู้ที่หลับใหลไปแล้ว เขามองนางจากองศาและตำแหน่งเช่นนี้ แสงเทียนสลัวที่คล้ายทองคำสีเหลืองอำพันกำลังกลืนกินนางไปทีละนิด แสงเทียนสลัวนี้ทำให้ดวงหน้าอันงดงามของนางคลุมเครือ ทว่ากลับเป็นช่วงเวลาเงียบงันที่งดงามที่สุด
เว่ยจางจับจ้องใบหน้าแดงระเรื่ออันเย้ายวนของนางอย่างไร้เสียง และเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้
เขาอยากจุมพิตนาง อยากจุมพิตริมฝีปาก หว่างคิ้ว และทุกซอกทุกมุมของนาง
อยากลูบไล้เรือนร่างของนาง อยากโอบกอดนาง อยากใกล้ชิดนาง และอยากใกล้ชิดให้ได้มากที่สุด
สิ่งที่อยาก มีมากกว่านี้
เว่ยจางเงยหน้าขึ้น แล้วจุมพิตเหยาเยี่ยนอวี่ กลีบปากทั้งสองสัมผัสกันอย่างอ่อนโยน เขาไม่ได้ขยับไปไหน คอยให้นางผลักเขาออกอยู่
ทว่า เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้แสดงทีท่าใดๆ
การโต้ตอบเช่นนี้ของนางถือว่าเป็นการสนับสนุนอย่างหนึ่ง หรือพูดได้ว่าเป็นการหนุนใจ
ดังนั้นเขาจึงยื่นปลายลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของนางอย่างระมัดระวังครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ใช้แรงรุกเข้าไปอย่างดื้อดึง จนทั้งสองคนแลกลิ้นกัน นี่เป็นการจุมพิตที่ดูดดื่ม เป็นความเร่าร้อนที่ ‘ลุ่มหลง’ ทันใดนั้น จู่ๆ เว่ยจางก็ลืมทุกอย่าง ‘ความลุ่มหลง’ นี้เป็นสิ่งที่เขาไขว่คว้าแม้กระทั่งยามหลับฝัน
ปลายลิ้นของทั้งสองคลอเคลียกันไป ลมหายใจร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ เป็นความรู้สึกเหมือนเป็นสุราที่บ่มมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้คนมึนเมาจนไม่มีสติ
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่รู้มาก่อนว่าการจุมพิตจะดุเดือดได้ถึงเช่นนี้ ดุเดือดและมีกำลังจนฉุดวิญญาณของนางไป ทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนลมหายใจอันเร่าร้อนซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างราวกับว่าหิวโหยกับสิ่งนี้มานานนม
สุดท้ายเว่ยจางก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ดังนั้นจึงใช้ฟันกัดริมฝีปากของนาง แล้วยังดูดเลียคางและซอกคอจนทิ้งร่องรอยไว้ตลอดทาง
“แม่ทัพ!” จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงส่งมา เสียงนั้นแม้จะทุ้มต่ำ ทว่ากลับเป็นเสียงที่แลดูกระวนกระวาย
เหยาเยี่ยนอวี่ได้สติกลับมาจนเกร็งไปทั้งร่างทันที เว่ยจางเงยหน้าขึ้น ยื่นมือกอดนางไว้แน่นๆ พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบ “มีเรื่องอะไร!”