หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 350 หมอเหยายกตนข่มท่าน แม่ทัพขอความช่วยเหลือ (5)
ตอนที่ 350 หมอเหยายกตนข่มท่าน แม่ทัพขอความช่วยเหลือ (5)
“แม่ทัพหันบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากเชิญท่านไปที่ฐานทัพขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว” เว่ยจางถอนหายใจเบาๆ และกำลังด่าตนเองในใจว่าเหตุใดความสามารถในการควบคุมตัวเองถึงได้แย่เช่นนี้ ถึงกับเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านในเวลานี้ ขณะเดียวกัน เขาก็ยกมือจัดคอเสื้อของคุณหนูเหยา และอดยื่นมือไปจับแก้มแดงก่ำของนางไม่ได้ พร้อมทั้งกำชับด้วยเสียงต่ำ “ข้าต้องไปแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ดีๆ ล่ะ กินและนอนให้เป็นเวลา อย่ามัวแต่ครุ่นคิดถึงทหารที่ได้รับบาดเจ็บจนไม่ดูแลสุขภาพของตนเอง”
นางจับแก้มอันผ่าวร้อนของตนเอง แค่ทันตอบกลับ ‘อื้ม’ ส่วนคำพูดที่เหลือยังคงค้างอยู่ในลำคอ จากนั้นก็ได้ยินเสียงม่านประตูดังขึ้น
ชุ่ยเวยเข้ามาจากด้านนอก พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่เดินไปตรงหน้าเตียงแล้ว จึงรีบเข้าไปช่วยนางถอดเสื้อ
“เอ๊ะ?” สายตาของชุ่ยเวยจับจ้องไปที่คอของเหยาเยี่ยนอวี่ พอเห็นว่ามีรอยสีชมพูจางๆ เหมือนเคยเห็นจากที่ใดมาก่อน ทว่าชุ่ยเวยกลับนึกไม่ออกว่าเจอเห็นที่ใด
“เป็นอะไรไป” เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ ฤดูนี้ไม่มีแมลงเสียหน่อย เหตุใดถึงได้เกาผิวหนังอย่างไม่ระวังเช่นนี้” ชุ่ยเวยเอาผ้าเช็ดตรงจุดนั้นเบาๆ
ทันใดนั้น แก้มของคุณหนูเหยาแดงก่ำขึ้นมา แล้วรีบยกมือปัดมือของชุ่ยเวยออก “ไม่เป็นเช่นไร”
“…” ชุ่ยเวยเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของคุณหนูของนาง จึงกะพริบตา แล้วไม่ได้มากความอะไรอีก
เว่ยจางออกนอกเมืองเฟิ่ง และเร่งม้ามุ่งหน้าไปยังฐานทัพอย่างเร่งด่วน
หันซังเกอ อวิ๋นคุน และหันซังเย่ว์ต่างอยู่รวมตัวกันและกำลังรอเขาอยู่ หลังจากเว่ยจางเข้าไปในค่าย ทุกคนก็ไม่พูดเรื่องไร้สาระ หันซังเกอพูดประเด็นสำคัญขึ้นมาโดยตรง “ชาวหูจะมาเจรจาสงบศึก”
“เจรจาสงบศึก?” เว่ยจางตะลึงงัน ตอนนี้พวกเขาสุดทางตันแล้ว แล้วจะมีความเป็นไปได้ที่จะเจรจาต่อรองได้อย่างไร
“นี่เป็นจดหมายเจรจาสงบศึกที่เยียลี่ร์จี๋ส่งให้ฮ่องเต้ เจ้าลองดูเถอะ” หันซังเกอยื่นจดหมายฉบับหนึ่งไปตรงหน้าเว่ยจาง
เว่ยจางดึงจดหมายด้านในออกมาอ่านหนึ่งรอบ แล้วขมวดคิ้วพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพรู้สึกว่าเยียลี่ร์จี๋มีความจริงใจมากน้อยเพียงใด”
หันซังเกอยิ้มอย่างเย็นชา “ข้ารู้สึกว่าเขาไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย”
อวิ๋นคุนก็สบถเสียงเลือดเย็น “ไอ้พวกสารเลวนั่น มันปล้นและฆ่าชาวบ้านของพวกเราจนพอใจแล้ว สุดท้ายพอไม่อยากทำศึกสงครามต่อก็มาเจรจาสงบศึกกระนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”
เว่ยจางยิ้มจางๆ “ข้ารู้สึกว่าเยียลี่ร์จี๋ก็ถือว่าคนที่ใส่ใจเก่งดีนะ เขาคงจะนึกขึ้นได้ว่าต้าอวิ๋นของพวกเราใกล้จะเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงหาข้ออ้างให้พวกเรากลับไปฉลองตรุษจีน”
“หลังจากที่เขาหลอกล่อพวกเรากลับเมืองหลวง เขาจะได้พาคนมาโจมตีอีกครั้ง ตอนนั้นก็คงจู่โจมเพียงคราเดียว?!” อวิ๋นคุนเครียดจนหัวเราะ “เขาเห็นพวกเราเป็นเด็กสามขวบหรือไร”
หันซังเกอขมวดคิ้ว “ปัญหาคือตอนนี้ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชดำริว่าจะเจรจาสงบศึก แค่ไม่รู้ว่าเยี่ยลี่ร์จี๋มีความจริงใจมากแค่ไหน วันนี้จึงมาถามความคิดของพวกเรา”
“เช่นนั้นก็ไปเจรจาเถอะ” เว่ยจางยิ้มอย่างไม่แยแส
“เสี่ยนจวิน?” หันซังเกอขมวดคิ้วมองเว่ยจาง
เว่ยจางพูดขึ้นยิ้มๆ “การเจรจาสงบศึกไม่ได้มีผลกระทบกับการเตรียมทำศึก เจรจาและตกลงกันได้ดีก็ดีไป เจราจาไม่ได้ก็ทำศึกต่อ อย่างไรพวกเราก็ไม่ได้คิดจะกลับบ้านไปฉลองตรุษจีนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“ก็ถูกของเจ้า” หันซังเกอเห็นนัยน์ตาเว่ยจางลุ่มลึก จึงยิ้มอออกมาช้าๆ
คืนนั้น หันซังเกอกับอวิ๋นคุนปรึกษาหารือกันว่าจะเขียนสาส์นกราบทูลหนึ่งฉบับ จากนั้นก็ให้รีบส่งกลับเมืองหลวงที่ห่างจากนับแปดร้อยลี้ เว่ยจางกลับค่ายที่ตนประจำการตอนกลางดึกแล้วสั่งให้ถังเซียวอี้ เฮ่อซี จ้าวต้าเฟิง และเก๋อไห่มารวมตัวกัน เพื่อวางแผนการทุกอย่างอย่างละเอียด
หลายวันหลังจากนี้ เว่ยจางไม่ได้กลับเมืองเฟิ่ง ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
ฉังเหมาพาบ่าวไพร่ในจวนเว่ยจางกว่าสองร้อยคนไปช่วยงานในค่ายทหารพักฟื้น พวกเขาทำคุณประโยชน์กับค่ายไม่น้อย อย่างน้อยก็มีข้ารับใช้ของแม่ทัพเว่ยอยู่ เหล่าหมอทหารที่ไม่ค่อยรับผิดชอบหน้าที่ของตนเองก็ไม่กล้าเกียจคร้าน
ทหารที่เดิมทีตกอยู่ในสภาวะอันตรายและนอนรอความตายต่างก็อาการค่อยๆ ดีขึ้น แค่พวกเขากินยาทุกๆ วัน อาการก็จะดีขึ้นเอง ไม่จำเป็นต้องให้นางฝังเข็มอีก ทุกวันนี้ นางแค่เดินดูอาการของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในค่าย จึงทำหน้าที่เพียงนี้เท่านั้น ส่วนหน้าที่อื่นๆ ก็แค่ตรวจดูความเรียบร้อยของการเตรียมยาต้มเท่านั้น
ส่วนหมอหญิงในสำนักแพทย์สิบหกคน ตอนกลางวันก็ติดตามเหยาเยี่ยนอวี่ไปเยือนที่ค่ายทหารพักฟื้นตัว ตอนกลางคืนก็กลับไปทำการบ้านของตนเอง ทักษะการแพทย์จึงค่อยๆ ดีขึ้น
แค่ว่าพวกนางต้องใช้ชีวิตที่นี่อย่างทุกข์ยากลำบากเกินไป ถึงแม้หมอหญิงเหล่านี้ไม่ได้ถือว่ามีฐานะร่ำรวย แต่ก่อนหน้านี้ก็ถือว่าได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนเคยชิน หลายวันนี้มานี้ บางคนจึงรู้สึกทนอยู่ที่นี่ไม่ไหว ทำให้อารมณ์แปรปรวน ส่วนบางคนก็ป่วยไข้เพราะอากาศเหน็บหนาวเกินไป แต่ก็มีบางคนแกล้งป่วย
เดิมทีเหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่คิดจะสนใจอะไร คิดแค่ว่าเหล่าสตรีก็คงจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเกินไป พอมาถึงที่นี่ก็ไม่ค่อยเคยชินกับสภาพแวดล้อมนัก ทำให้ป่วยไข้ก็เป็นเรื่องธรรมดา ทว่าหลายวันผ่านไป หมอหญิงสิบหกคนนี้ กลับมีสิบคนที่ป่วยไข้ ส่วนหมอทหารคนอื่นๆ ก็ป่วยจนลุกจากเตียงไม่ไหว ต่อให้อาการของทหารบางส่วนดีขึ้น แต่ถ้าเทียบกับหมอหญิงและหมอทหารที่ลาป่วยไปเกือบครึ่ง อย่าว่าแต่การดูแลผู้ป่วยเป็นการส่วนตัวเลย แค่คนที่คอยต้มยาต้มให้ผู้ป่วยก็ยังไม่พออยู่ดี
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ต้องครุ่นคิดอย่างละเอียดก็พอเดาออก จึงให้ปั้นซย่าและไม่ตงไปรับหน้าที่ฉังเหมา แล้วสั่งให้เขามาหาตนเองพร้อมสั่งการ “ติดลายน้ำประกาศมอบข้าวสารหนึ่งถุงให้ชาวบ้านที่อาสามาช่วยงานในค่ายทหารพักฟื้นตัวในครึ่งเดือน ห้ามให้ข้าวชั้นต่ำ ต้องเป็นเป็นข้าวขาวชั้นดีเท่านั้น”
“อ๋า?” ฉังเหมาถึงกับตะลึงงันทันที จึงรีบกวาดสายตามองไปรอบทิศ แล้วค่อยเตือนสติของนางอย่างเงียบๆ “ใต้เท้าของบ่าว! พวกเราจะไปเอาข้าวสารชั้นดีมาจากที่ใดกัน! แม้กระทั่งข้าวที่ท่านกินยังเป็นข้าวสารชั้นต่ำ!”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “เจ้าอย่ายุ่งเรื่องนี้เลย แค่ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ ทางที่ดีที่สุดก็หาคนไปช่วยงานด้วย”
ฉังเหมาถอนหายใจด้วยความกังวลใจแล้วพูดขึ้น “ใต้เท้าขอรับ นี่อาจทำให้เกิดเรื่องก็ได้นะขอรับ! เมืองเฟิ่งเทียบกับเมืองหลวงไม่ได้ คนที่นี่ป่าเถื่อนและหัวดื้อ ไม่ยอมให้คนอื่นสั่งสอนง่ายๆ หรอก! มิเช่นนั้นให้บ่าวเขียนจดหมายให้แม่ทัพเถอะ ให้แม่ทัพส่งคนมาช่วย ดีไหม”
“ไม่ได้ ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงศึกสงคราม พวกเราจะขอกำลังคนจากฐานทัพมาช่วยเหลือได้อย่างไร” เหยาเยี่ยนอวี่ผายมือแล้วยิ้มจางๆ “เจ้ากลัวไปไย หรือเจ้าคิดว่าข้าจะหลอกเจ้า?”
ฉังเหมาถูกแววตาที่เคล้าด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานของคุณหนูเหยามองจนถึงกับต้องทำหน้าจงรักภักดี จึงตบหน้าอกแล้วพูดขึ้น “ต่อให้ใต้เท้าหลอกบ่าว บ่าวก็ยินยอมขอรับ”
“แหม!” ชุ่ยเวยแค่นเสียงขึ้นทันที “ช่างหน้าไม่อาย นายหญิงของข้าจะหลอกเจ้าไปไย เจ้ามีค่าอะไรให้นายหญิงของข้าหลอกกระนั้นหรือ!”
“ชู่! ข้าก็แค่แสดงความจงรักภักดีเท่านั้น” ฉังเหมาเบะปากใส่ชุ่ยเวย แววตาของเขาเคล้าด้วยยิ้มร้ายกาจ จากนั้นก็หันหลังจากไป
ชุ่ยเวยสบถด้วยความเกลียดชัง “ไอ้สุนัขรับใช้ ช่างน่ารังเกียจนัก อยากเจอดีใช่ไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มจางๆ “ข้าสังเกตเห็นว่าหลายวันมานี้ เจ้าเหมือนไม่ค่อยถูกคอกับเขาเลย เจ้าลองว่ามาดูสิ เขาไปสร้างเรื่องบาดหมางใจอะไรกับเจ้าหรือ”
“หลายวันมานี้ เจ้าสุนัขรับใช้คนนี้บอกว่าปวดฟัน จึงมาขอยาแก้ร้อนในกับบ่าว บ่าวจึงเอายาเม็ดชิงซินให้เขาสองเม็ด เขากินแล้วบอกว่าท้องร่วง บ่าวจึงคิดว่ายาชิงซินคงจะแรงเกินไป เลยเอายากุยซินหย่างผีให้เขาบำรุงม้ามและกระเพาะ ผ่านไปสองวัน เขากลับมาบอกว่าท้องผูก บ่าวเลยสุดปัญญา ไม่กล้าให้ยาอะไรกับเขาอีก สุดท้ายจึงเลือกที่จะจับชีพจรให้เขา ถึงจะสังเกตเห็นว่าเจ้าสารเลวนี่ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร จากนั้นบ่าวเลยจี้ถามเขาตลอดเวลา แล้วยังพูดจารุนแรงกับเขา เขาถึงจะยอมรับมาว่าเขาไม่ได้กินยา และไม่ได้ป่วยด้วย เขาทำแบบนี้ลงไป ก็เพราะว่าอยากคุยกับบ่าวมากหน่อย”