หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 351 ลงโทษเล็กน้อยตักเตือนครั้งใหญ่ ชินไชเสด็จมาถึง (1)
ตอนที่ 351 ลงโทษเล็กน้อยตักเตือนครั้งใหญ่ ชินไชเสด็จมาถึง (1)
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
ชุ่ยเวยกลับเครียดจนทนไม่ไหว “คุณหนูว่าไอ้หมารับใช้นี้น่ารังเกียจหรือไม่!”
เดิมทีคุณหนูเหยาก็มีความคิดจะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งอยู่แล้ว “ก็ค่อยยังชั่วหรือเปล่า เจ้าดูสิ เขาต้องเสียแรงสร้างเรื่องโกหกขึ้นมามากเพียงนี้ ก็แค่อยากจะเข้าใกล้เจ้าเท่านั้น เจ้าก็ให้อภัยเขาเถอะ อย่างไรเขาก็ถือว่าจริงใจกับเจ้า”
ชุ่ยเวยที่กำลังเครียดอยู่ แม้กระทั่งหน้าของคุณหนูยังไม่ไว้ จึงพูดด้วยความโกรธเคือง “เหอะ ดูจากคำโกหกที่เขาแล้ว ไม่เห็นว่าคนคนนี้จะจริงใจตรงไหนเลย คุณหนูยังจะพูดแทนเขาอีก”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจ รู้สึกว่าฉังเหมาทั้งน่าสงสารทั้งทำให้คนปวดหัว แต่พอนึกถึงเรื่องระหว่างหนุ่มสาว คนนอกก็ไม่ควรเข้าไปข้องเกี่ยว สุดท้ายก็ปล่อยให้พวกเขาสองคนไปปรับความเข้าใจกันเอง นางจึงเบี่ยงประเด็นนี้ไป ไม่ได้มากความอะไรอีก
ฉังเหมาก็ไปแก้ปัญหาเรื่องจำนวนคนที่จะมาช่วยงาน ส่วนใต้เท้าเหยาก็ต้องสงบจิตใจลง แล้วไปแก้ไขเรื่องอื่น
นี่ก็เพิ่งผ่านช่วงเที่ยงมา พวกนางก็ทำตามแผนการทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมา ตอนนี้เหยาเยี่ยนอวี่น่าจะยังอยู่ในค่ายทหารพักฟื้น ช่วงนี้นางอยู่กินมื้อเที่ยงที่ค่ายทหารตลอดมา จนถึงฟ้ามืดถึงจะกลับไปที่พัก แต่วันนี้นางกลับออกจากค่ายทหารพักฟื้นก่อนอย่างเงียบๆ และไม่ได้ขี่เจ้าเหยาเถากลับ แค่นั่งรถม้าคันไม่สะดุดตากลับไปยังจวนข้าหลวง
หมอหญิงทั้งสิบหกคนพักอยู่ในเรือนเดียวกัน พวกนางพักสี่คนต่อหนึ่งห้อง ถึงแม้ห้องพักจะไม่ได้กว้างมาก ทว่าก็ไม่ถือว่าแคบ ตอนเหยาเยี่ยนอวี่กลับมา นางไม่ได้แจ้งให้ใครทราบก่อน แค่พาน้าตู้ซานเแอบไปที่เรือนที่เหล่าหมอหญิงพักอยู่
ในเรือนคึกคักมาก พอเข้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น เหล่าสตรีพวกนี้กำลังพูดคุยเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน อาการเช่นนี้ จะเหมือนคนที่กำลังเจ็บป่วยได้อย่างไร
เหยาเยี่ยนอวี่อดชะงักฝีเท้าลง แล้วสูดลมหายใจเข้าแผ่วเบาไม่ได้ เพื่ออดกลั้นความโมโหไว้ในใจ น้าตู้ซานพลันเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงต่ำ “คุณหนูไม่ใช่ว่าคาดคะเนถึงเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ แล้วจะโมโหไปไยกัน โมโหไปก็ทำให้เสียสุขภาพเปล่าๆ ไม่เห็นจะคุ้มค่าตรงไหนเลยเจ้าค่ะ”
“อืม ข้ารู้” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า สัมปชัญญะของนางบอกให้นางอย่าโมโห ทว่ามนุษย์ก็มีอารมณ์ที่เหนือสัมปชัญญะ ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเหล่าหมอหญิงจะสร้างผลงานอันน่าภาคภูมิใจ หรืออุทิศตนอะไรทั้งนั้น แต่ตอนถูกสตรีเหล่านี้หลอกลวง และถูกมองว่าตนเองเป็นคนโง่ เป็นใครก็ต้องรู้สึกโมโหอยู่แล้ว
สตรีหกเจ็ดคนต่างก็สวมใส่ชุดคลุมผ้าฝ้ายและมีผ้าห่มคลุมบนเรือนร่างอีกชั้น พวกนางกำลังนั่งเล่นไพ่กันบนเตียง บนผ้าห่มลายกล้วยไม้ มีไพ่และเหรียญวางกระจัดกระจายอยู่
ม่านประตูถูกเลิกขึ้น สายลมหนาวเย็นพัดเข้ามาด้านใน จากนั้นก็ไม่รู้ว่าใครที่หยุดหัวเราะก่อน พร้อมทั้งจับจ้องไปยังสตรีสองคนที่ปรากฏอยู่ในเรือนอย่างฉับพลันด้วยสีหน้าที่ตื่นตะลึง หลังจากนั้นก็มีคนหันมามองด้วยความแปลกใจ สตรีแต่ละคนต่างหน้าเปลี่ยนสีราวกับเห็นผี และไม่รู้ว่าใครที่โยนไพ่ในมือทิ้งก่อน จากนั้นก็ลุกขึ้นมาคุกเข่าลงบนพื้น พลางสารภาพความผิดและขอร้องให้อภัย
เมื่อเหล่าสตรีเจ็ดแปดคนสวมชุดผ้าฝ้ายตัวบางคุกเข่าอยู่บนพื้น ลำตัวที่สั่นเทากำลังโขกศีรษะลงบนพื้นเพื่อขอให้อภัยความผิด อารมณ์โมโหที่อัดอั้นไว้เต็มท้องจึงหายไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นนางก็แค่ยิ้มอย่างเย็นชา
“พวกเจ้ามีเวลาว่างเหลือเกิน” สายตาของเหยาเยี่ยนอวี่กวาดผ่านหน้าของทุกคนไป สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ไพ่กับเหรียญพวกนั้น ยังไม่ต้องพูดถึง เหรียญที่วางไว้มีไม่น้อยเลยจริงๆ บนผ้าห่มที่อยู่ด้านในสุดกลับมีเงินสองตำลึง ส่วนข้างๆ เหรียญทองแดงยังมีเศษเงินตำลึงอยู่บ้าง
“ได้โปรดใต้เท้าอภัย พวกบ่าวจะไม่กล้าทำอีก…” เหล่าหมอหญิงต่างโขกศีรษะ ร้องขอให้ให้อภัย
เหยาเยี่ยนอวี่ผายมือแล้วพูดด้วยเสียงเรียบ “พอเถอะ ลุกขึ้นก่อนเถอะ บนพื้นเย็นเช่นนี้ ประเดี๋ยวพวกเจ้าป่วยขึ้นมา ข้าคงต้องเหนื่อยน่าดู”
ทุกคนยังคงคุกเข่าไม่กล้าลุกขึ้น เหตุเพราะใต้เท้าเหยาพูดลอยๆ จึงทำให้พวกนางเดาไม่ออกว่าเป็นความจริงหรือแค่เรื่องโกหก
ใต้เท้าเหยาขมวดคิ้วสวยแล้วเหลือบตามองพวกนางอย่างไม่พอใจ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเลือดเย็น “เป็นอะไรไป พวกเจ้าตั้งใจจะสร้างเรื่องบาดหมางกับข้าหรือ พาพวกเจ้ามาฝึกทักษะการแพทย์ถึงที่นี่ พวกเจ้ากลับแกล้งป่วย ตอนนี้ให้พวกเจ้าลุกขึ้น กลับพยายามจะทำให้ตนเองป่วยขึ้นมาจริงๆ หรือ”
“บ่าวขอบพระคุณใต้เท้า”
“บ่าวขอขอบพระคุณใต้เท้า!”
“ขอบพระคุณใต้เท้า…”
เหล่าหมอหญิงถึงจะค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ละคนกอดแขนที่สั่นสะท้านพลางลุกขึ้น
“สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย” เหยาเยี่ยนอวี่ยืนกอดอกสั่งการเสียงเรียบ
ครั้งนี้ทุกคนไม่กล้าปล่อยให้ใต้เท้าเหยาพูดเป็นครั้งที่สอง ต่างรีบวิ่งไปดึงเสื้อคลุมของตนเองมาคลุมอย่างเร่งด่วน
เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ หันกลับไปมองหมอหญิงเจ็ดคนที่ยืนเรียงรายกันเป็นแถวอยู่ตรงหน้า แล้วเอ่ยถาม “ยังเหลืออีกสามคนล่ะ เหตุใดถึงไม่มาเล่นกับพวกเจ้าด้วยเล่า”
สตรีเจ็ดคนต่างก้มหน้าลง ผ่านไปสักพัก ถึงจะมีคนกล้าพูดขึ้น “เรียนใต้เท้า กู้เนี่ยนเอ๋อร์ หันฟางหลั่น และหลินซู่มั่วป่วยจริงๆ เจ้าค่ะ ตอนนี้พวกนางกำลังขับเหงื่อในเรือนฝั่งโน้นอยู่เจ้าค่ะ”
คำพูดนี้เพิ่งจะจบลง อีกคนก็รีบพูดจาประจบประแจง “บ่าวจะไปเรียกพวกนางมานะเจ้าคะ”
“หยุด!” เหยาเยี่ยนอวี่ตวาดด้วยความโกรธ “ข้าดูเหมือนคนที่ไม่มีเหตุผลเช่นนี้เลยหรือ พวกเจ้าแกล้งป่วย ข้ายังไม่พูดอะไรเลย นับประสาอะไรกับคนที่ป่วยจริงๆ ข้าจะทำอะไรพวกนางได้เล่า”
สตรีคนนี้ช่ำชองในการเลียแข้งเลียขาจริงๆ จากนั้นนางก็พูดด้วยเสียงต่ำ “บ่าวสับสนงงงวยเองเจ้า” และนางก็ก้มหน้าลงด้วยความเชื่อฟัง
“ไหนๆ พวกเจ้าก็ไม่ยอมไปรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว ตอนนั้นจะขอติดตามข้ามาที่นี่ไปไย” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเคร่งเครียดในเรื่องนี้
ตอนมา นางก็บอกไปแล้ว นางไม่คิดจะบีบบังคับใคร แค่ทุกคนยินยอม ใครที่กลัวความลำบากก็ไม่ต้องติดตามมา นางไม่มีทางปฏิบัติอย่างลำเอียงกับคนอื่นอยู่แล้ว รอให้ที่นี่ทำศึกสงครามเสร็จสิ้น นางก็จะให้ความรู้และฝึกอบรมพวกนางเหมือนเดิม นางจะทำเหมือนที่ผ่านมา จะไม่มีทางกระทบต่อการประเมินความสามารถของเหล่าหมอหญิงอยู่แล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าหมอหญิงสิบหกคนจะมีความคิดอะไรแอบแฝงอยู่ในใจ ตอนขามาก็ให้พวกนางแสดงความสมัครใจไปแล้ว พวกนางไม่กลัวลำบากและไม่กลัวเหนื่อย ต่อให้เจอเรื่องที่ไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหรือเจ้านายของนางก็มาโทษสำนักแพทย์ไม่ได้
เดิมทีเหยาเยี่ยนอวี่ยังรู้สึกชื่นชมในหมอหญิงสิบหกคนนี้ เพราะว่าพวกนางอาสาสมัครติดตามมาที่นี่ จึงอยากจะถือโอกาสนี้ให้ทักษะความรู้กับพวกนางอย่างเต็มที่ ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่านี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น คนพวกนี้กลับมีความคิดเช่นนี้
“หากพวกเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ ขอเพียงบอกข้ามา หรือว่าข้าจะบีบบังคับให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ต่อ?!” เหยาเยี่ยนอวี่ตวาดด้วยความโมโห
“ใต้เท้าเจ้าคะ พวกบ่าวผิดไปแล้ว” พวกนางต่างก็คุกเข่าสารภาพความคิด
ทว่าใครที่ยอมติดตามเหยาเยี่ยนอวี่มาที่เมืองเฟิ่งด้วยความซื่อสัตย์ หากไม่ใช่เพราะว่าอยากจะทุบหม้อข้าวจมเรือ ก็คงก็เพราะถูกเจ้านายของตนเองบังคับมาแน่นอน
ตอนนี้พวกคนที่ช่วยงานในค่ายทหารพักฟื้นอย่างขยันขันแข็ง เก็บเกี่ยวความรู้ความสามารถเพื่อเสริมสร้างอนาคตของตนเองได้แล้ว ส่วนพวกสาวใช้ที่ถูกนายของตนเองบังคับมากลับนอนเกียจคร้านอยู่ที่นี่ หากเวลานี้ถูกเหยาเยี่ยนอวี่ไล่กลับไป คนพวกนี้ก็คงไม่มีชีวิตที่ดีแน่นอน
“พวกเจ้าสำนึกผิดแล้วใช่ไหม” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามด้วยยิ้มเย็นชา
“เจ้าค่ะ บ่าวสำนึกผิดแล้ว”
“คราวหน้าบ่าวจะไม่กระทำผิดเช่นนี้อีก”
“ใต้เท้าได้โปรดให้โอกาสบ่าวหนึ่งครั้งเถอะ”
“พวกเจ้าอยากได้โอกาสจริงหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่แสยะยิ้มอย่างเย็นชา “ในความคิดของข้า ก่อนที่พวกเจ้าจะชักชวนให้หมอหญิงคนอื่นแกล้งป่วยเหมือนพวกเจ้าไปมากกว่านี้ ส่งพวกเจ้ากลับเมืองหลวงก่อนจะดีกว่า”