หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 352 ลงโทษเล็กน้อยตักเตือนครั้งใหญ่ ชินไชเสด็จมาถึง (2)
ตอนที่ 352 ลงโทษเล็กน้อยตักเตือนครั้งใหญ่ ชินไชเสด็จมาถึง (2)
ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงโขกหัวและร้องขอให้อภัยไม่หยุด “พวกบ่าวสำนึกผิดจริงๆ ใต้เท้าได้โปรดให้โอกาสอีกครั้ง อย่าไล่พวกบ่าวกลับไปเลย”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่เชื่อในคำพูดเหล่านี้อยู่แล้ว คนพวกนี้ไม่ยอมมาทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่อย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่แรก พวกนางต้องบีบบังคับให้ตนเองทำเช่นนี้ ก็ย่อมมีเหตุผลอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แค่ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ขาดแคลนกำลังคน จึงสนใจอะไรมากมายไม่ได้
“ไหนๆ พวกเจ้าก็ไม่ยอมกลับไป เช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสพวกเจ้าอีกสักครั้ง” เหยาเยี่ยนอวี่พูดเช่นนี้ออกมาก็ค่อยๆ เดินไปข้างเตียง แล้วมองไพ่พวกนั้นพร้อมพูดด้วยเสียงเย็นชา “ของพวกนี้เอาไปเผาให้หมด หากพวกเจ้ายังเหนื่อยไม่พอกับการทำงานช่วงเช้า ข้าจะได้พิจารณาให้พวกเจ้าเฝ้าเวรกะดึกด้วย”
การทำงานกะดึกไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย ก่อนหน้านี้เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดถึงว่าพวกนางเป็นสตรีจึงไม่ได้มอบหมายหน้าที่ในการเฝ้าเวรกะดึก วันนี้ดูๆ แล้วมีคนเห็นความเมตตาของนางกลายเป็นความอ่อนแอและรังแกข่มเหงได้ง่ายแล้ว
“บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ! ใต้เท้าได้โปรดอย่าให้พวกบ่าวทำงานกะดึกเลย…” มีคนเริ่มร้องขอให้อภัย จากนั้นก็มีอีกคนพูดขึ้นต่อทันที “เช่นนั้นเจ้าค่ะ! ถึงแม้คนพวกนั้นได้รับบาดเจ็บ ทว่าล้วนเป็นบุรุษทั้งหมด พวกบ่าวเฝ้าพวกเขาตอนกลางดึก กลัวว่าจะเป็นที่นินทาของคนอื่นเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มเย็นชา “อย่ามาต่อรองกับข้าที่นี่ หากพวกเจ้าปฏิบัติตัวอย่างถูกศีลธรรม แล้วใครจะกล้านินทาพวกเจ้า”
คนพวกนั้นไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ทว่าภายในใจยังคงรู้สึกไม่สบายใจ ต่อให้พวกนางเป็นบ่าวไพร่ ทว่าก็เป็นถึงบ่าวไพร่ของตระกูลชั้นสูง แค่พวกนางมาเป็นหมอจิตอาสาในเมืองกันดารเช่นนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องสุดยอดสำหรับพวกนางแล้ว หากจะให้ไปเฝ้าบุรุษพวกนั้นตอนดึกดื่น อนาคตใครยังจะกล้าสู่ขอพวกนางอีกเล่า
“พวกเจ้าไม่พูดอะไร เช่นนั้นก็ถือว่าตกลงกันแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวจบก็หันหลังจากไป นางรู้ว่าในใจคนพวกนี้คิดอะไร และก็ไม่ได้คิดจะให้คนพวกนั้นไปเฝ้ากะดึกอยู่แล้ว แค่อยากจะใช้เรื่องนี้มาขู่พวกนางให้หวาดกลัวก็เท่านั้น จะได้ไม่ต้องให้พวกนางรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่อ่อนแอและยอมให้ถูกรังแกง่ายๆ
“ใต้เท้าเจ้าคะ! ใต้เท้าเจ้าคะ!” มีคนหนึ่งจับชายเสื้อของเหยาเยี่ยนอวี่แล้วขยับมาใกล้
“ใต้เท้าได้โปรดเมตตา!” มีคนก็วิ่งมาคุกเข่าตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ทันที
“ใต้เท้าได้โปรดอภัยให้พวกบ่าวในครั้งนี้ด้วยเถอะ แค่ไม่ต้องเฝ้ากะดึก จะลงโทษพวกเราอย่างไรก็ยอม”
“เช่นนั้น! ใต้เท้าได้โปรด! แค่ไม่ต้องไปเฝ้ากะดึก ต่อให้ลงโทษอย่างไร พวกบ่าวก็ยินยอมเจ้าค่ะ”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ! ใต้เท้าได้โปรดเมตตา”
เหยาเยี่ยนอวี่มองด้วยความประหม่า แล้วมองไปยังหมอหญิงเจ็ดคนที่คุกเข่าอยู่ตรงปลายเท้าของนาง แล้วเปรยขึ้น “ข้ากลับนึกอะไรไม่ออก นอกจากเฝ้าผู้ป่วยตอนกลางดึกแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ลงโทษอีก มิเช่นนั้นพวกเจ้าเป็นคนพูดเองว่าจะให้ลงโทษอย่างไร”
“พวกบ่าวยอมรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสุดความสามารถเลยเจ้าค่ะ” มีคนตอบกลับ
“เจ้าค่ะ พวกบ่าวจะทำอย่างสุดความสามารถที่มีเลยเจ้าค่ะ” มีคนพูดขึ้นเพิ่มเติม
เหยาเยี่ยนอวี่แสยะยิ้มเย็นชา “นี่เป็นหน้าที่ของพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นหมอหญิง เดิมทีพวกเจ้าก็ได้รับเบี้ยเลี้ยงอีกส่วนอยู่แล้ว และเพราะว่ามาที่นี่ ฮ่องเต้ก็ให้เบี้ยเลี้ยงกับพวกเจ้าเพิ่มสองเท่าไปแล้ว หากพวกเจ้าไม่ทำงานอย่างสุดความสามารถ พวกเจ้าไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะพิโรธแล้วเอาชีวิตพวกเจ้าไปหรือไร”
ทุกคนต่างอยู่ในความเงียบสงบ ผ่านไปสักพักถึงจะเอ่ยขึ้น “พวกบ่าวยอมเอาค่าข้าวสารของสองสามเดือนนี้ บริจาคให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บพวกนั้น”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหัวพลางยิ้มบางๆ “ค่าข้าวสารของพวกเจ้าจะแจกจ่ายกันที่เมืองหลวง ข้าวที่พวกเรากินในตอนนี้ยังเป็นข้าวจากค่ายทหารแน่ะ”
“ตอนนี้พวกบ่าวมีเงินอยู่สองตำลึง พวกเรายอมบริจาคให้ค่ายทหารเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้พูดอะไร
“ใต้เท้าเจ้าคะ พวกบ่าวยอมเอาเงินทั้งหมดที่มีบริจาคให้ค่ายทหารเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าค่ะใต้เท้า ใช้เงินเหล่านี้ไปจ้างให้คนมาเฝ้าเวรกะดึกได้! ชาวบ้านพวกนั้นยากไร้ พวกเขาคงต้องการเงิน…”
“ก็ถูกของพวกเจ้า” สีหน้าของใต้เท้าเหยามีรอยยิ้มเผยขึ้นมาบ้าง
ดังนั้น หมอหญิงเหล่านี้ที่รู้สึกหวาดกลัว จึงยอมเอาเงินของตัวเองมาบริจาค ไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่เอาผ้าเช็ดหน้ามาห่อเงินพวกนั้นแล้วยื่นให้เหยาเยี่ยนอวี่ “ใต้เท้าเจ้าคะ เงินของพวกบ่าวอยู่ในนี้เจ้าค่ะ”
“ทั้งหมดเท่าใด”
“เรียนใต้เท้า ทั้งหมดสามสิบกว่าตะลึง เหรียญอีกยี่สิบ และตั๋วเงินอีกหกร้อยแปดสิบห้าเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องให้ข้า” เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือผลักมือของหมอหญิงคนนั้นออก “ส่งนี่ไปให้ข้าหลวงหลี่ บอกว่านี่เป็นสินน้ำใจเล็กๆ ของพวกเจ้า บอกให้เขาคิดหาวิธีซื้อข้าวชั้นดีมาเสียหน่อย เอาไว้ต้มข้าวต้มให้เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บกิน เรื่องครั้งนี้ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ แต่ถ้าหากมีครั้งหน้า ข้าจะทราบทูลฝ่าบาท”
“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณใต้เท้ามากเจ้าค่ะ”
“ขอบพระคุณใต้เท้า”
“ขอบพระคุณใต้เท้า”
เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปดูอาการของหมอหญิงที่ป่วยด้วยความใจเย็นตรงเรือนข้าง จากนั้นก็พาน้าตู้ซานออกจากเรือนที่เหล่าหมอหญิงพักอาศัยอยู่
น้าตู้ซานเห็นคุณหนูเหยากลั้นยิ้มไม่อยู่ก็เอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ พร้อมยิ้มขึ้น “คุณหนูลงโทษพวกนางได้จังหวะพอดีเลย แต่เงินไม่กี่ตำลึงนี้คงไม่สามารถซื้อข้าวสารชั้นดีหรือเปล่า”
เรื่องนี้เหยาเยี่ยนอวี่เคยคิด นี่ก็ผ่านไปนานแล้วที่ได้เมืองเฟิ่งกลับมาจากชาวหู ถึงแม้ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงศึกสงคราม ทว่าก็ยังมีทหารนับหลายแสนคนที่อาศัยอยู่ที่แม่น้ำถูหมู่ และตอนนี้เหล่าพ่อค้าก็เริ่มกลับมาค้าขายแล้ว อย่างไรก็ต้องมีข้าวสารชั้นดีมาขายแน่นอน และเหล่าพ่อค้าต้องแสวงหาผลกำไรมหาศาล ราคาเกรงว่าคงจะสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “ไม่ต้องหรอก ใต้เท้าหลี่ต้องมีวิธีอยู่แล้ว เจ้าแค่ไปจับตาดูไว้ เมื่อครู่พวกนางบอกจำนวนเงินที่พวกนางจะบริจาคออกมาแล้ว อย่าให้พวกนางให้เงินน้อยกว่าที่พูดเมื่อครู่นี้แล้วกัน”
น้าตู้ซานเผลอคลี่ยิ้ม ภายในใจกำลังคิดว่าที่แท้นายหญิงของตนเองมีนิสัยเด็กๆ เช่นนี้ด้วย
ขณะนี้ ณ ฐานทัพ เว่ยจาง หันซังเกอและอวิ๋นคุนนั่งอยู่ด้วยกัน สีหน้าของทั้งสามเคร่งขรึมมาก และสีหน้าที่เคร่งขรึมนี้มีความชื่นชมยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นอยู่เล็กน้อย
“เสี่ยนจวิน ที่เจ้าพูดคือความจริงหรือ” หันซังเกอถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
เว่ยจางยิ้มจางๆ “แน่นอน” เขาเป็นคนขี่ม้าไปที่ราชวังเป่ยหูอย่างเงียบๆ แล้วนำข่าวคราวนี้กลับมาด้วยตัวเอง แล้วจะเป็นเรื่องโกหกได้อย่างไร
ฮ่องเต้ชาวหูที่มีอายุห้าสิบหกพรรษา กำลังทรงพระประชวร องค์ชายสี่องค์ต่างก็ทำงานในราชสำนัก ใครก็ไม่ยอมยอมแพ้ให้ใคร ดูๆ แล้วพวกเขาคงจะมีปัญหาภายในกัน
“มิเช่นล่ะ หมาป่าเฒ่าเจ้าเล่ห์ตัวนี้ จู่ๆ ถึงนึกได้ว่าจะมาเจรจาสงบศึก!” นัยน์ตาของอวิ๋นคุนตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง “หากพวกเราส่งทหารไปในตอนนี้ คงทำลายร้างราชวังเป่ยหูได้แน่นอน จากนั้นก็ขับไล่คนเผ่าเยี่ยลี่ร์ไปยังแม่น้ำถ่าฮาหนี แล้วให้พวกเขาไปแก่งแย่งแผ่นดินกับพวกคนผมแดงเถอะ”
หันซังเกอถอนหายใจด้วยความประหม่า “แต่ว่าอีกสองวันข้างหน้า ขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งไปเจรจาต่อรองก็น่าจะไปถึง”
อวิ๋นคุนยิ้มอย่างไม่สนใจอะไร แล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไร อย่างไรพวกเราก็ไม่ได้หวังว่าจะเจรจาต่อรองแล้วได้ผลสรุปที่ดีอะไรอยู่แล้วนี่” ทหารม้าหนึ่งแสนห้าหมื่นคนบุกประชิดพรมแดน กลับยังคิดจะเจรจาต่อรองอีก ไม่รู้จริงๆ ว่าเสด็จลุงกำลังคิดอะไรอยู่
หันซังเกอขมวดคิ้ว “ทว่าพวกเราคงส่งทหารไปบุกฐานทัพของพวกเขาก่อนขุนนางเจรจาสงบศึกจะไปถึงได้หรือเปล่า เช่นนั้นก็คงเป็นการฝ่าฝืนพระราชโองการฝ่าบาท”
เว่ยจางยิ้มลุ่มลึก พูดขึ้น “แม่ทัพหันกล่าวถูก แต่พวกเราสามารถใช้เวลาสองสามวันนี้วางแผนอะไรบางอย่าง”
“เสี่ยนจวินกล่าวถูก พวกเรามาทำความรู้จักกับองค์ชายทั้งสี่ของเผ่าเยี่ยลี่ร์เถอะ” หันซังเกอพูดไปก็กางแผนที่ที่ทำจากหนังแกะออก
“เยี่ยลี่ร์ก่วง ดื้อรั้นและมั่นใจในตัวเอง ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ด้วยความที่เขาคือบุตรคนโต จึงไม่เห็นน้องชายทั้งสามอยู่ในสายตา มักจะมีเรื่องขุ่นเคืองใจกันพี่น้องตลอดเวลา”