หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 356 หายาริมทะเลสาบ ถูกจู่โจมกลางป่าเหมันต์ (1)
ตอนที่ 356 หายาริมทะเลสาบ ถูกจู่โจมกลางป่าเหมันต์ (1)
ชุ่ยผิงมองม่านประตูที่ถูกเลิกขึ้นด้วยความตกตะลึงแล้วเปรยขึ้น “คุณหนูของพวกเราเป็นพยัคฆ์หรือไร เหตุใดแม่ทัพกลัวได้ถึงปานนี้”
ชุุ่ยเวยถ่มน้ำลายเสียงเบาและยิ้ม “ถุย! เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”
“เปล่าเสียหน่อย เจ้าไม่เห็นท่าทางวิ่งหนีเมื่อครู่นี้ของแม่ทัพหรือไร” ชุ่ยผิงเบะปาก แล้วหันไปเอาผ้าซับหน้าของคุณหนู
เว่ยจางออกจากเรือนของเหยาเยี่ยนอวี่ ก็ไม่ได้รีบกลับโถงหน้า แต่กลับยืนตากลมหนาวข้างนอกเพื่อดับความร้อนของร่างกายอย่างช้าๆ ไปสักพัก จากนั้นขมวดคิ้วพลางกลับไปดื่มสุรากับท่านเซียวโหวต่อ
และในตอนนี้ ณ ฐานทัพของกองกำลังทั้งสาม อวิ๋นคุนกลับไปที่ค่ายด้วยอารมณ์เดือดพล่าน จากนั้นก็โยนเสื้อคลุมขนมิงค์ทิ้ง แล้วเดินไปตรงลานกว้างด้านนอกอย่างว่องไว สั่งให้ทหารคนสนิทของตนมาประลองกันสักตั้ง
พวกเขาประลองกันไปสักพัก ทหารสิบสองนายที่อับโชคของเฉิงอ๋องซื่อจื่อต้องฝึกซ้อมวิชาการต่อสู้อย่างหนักหน่วงไปหนึ่งคืน จนถึงตอนสุดท้าย พวกเขาถูกกระทืบจนใบหน้าบวมแดง จากนั้นก็ร้องเสียงเศร้าโศกและกลับไปอาบน้ำพักผ่อน
หันซังเกอทำได้เพียงยิ้มให้กับเรื่องนี้ ทว่ากลับไม่ได้มากความอะไร หนึ่งฝ่ายเป็นน้องเขย อีกฝ่ายก็เป็นญาติผู้น้อง ตอนนี้ก็ยังอยู่ในค่ายทหารอีก จะให้เขาที่เป็นพี่ใหญ่พูดอะไรออกมาก็คงไม่เหมาะสม ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
เช้าวันที่สอง เว่ยจางพาเซียวหลินออกจากเมืองเฟิ่งและมุ่งหน้าไปที่ฐานทัพกองกำลังทั้งสาม หันซังเกอออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง หลังจากกล่าวทักทายและถามถึงสารทุกข์สุขดิบเสร็จ เซียวหลินก็เข้าไปนั่งด้านในค่าย
“ท่านเซียวโหว ไหนๆ ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นด้วยกับการเจรจาสงบศึกในครั้งนี้ แล้วเหตุใดถึงต้องขนหน้าไม้ชุดที่สองมาด้วยล่ะ” หันซังเกอเอ่ยถามด้วยยิ้มจางๆ
ต้องรู้ว่าเมื่อวานแม่ทัพหันเห็นลายน้ำที่บันทึกของที่ขนมาจากเมืองหลวง ก็รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง หน้าไม้ชุดที่สองกลับมีถึงห้าพันเครื่อง เซียวจื่อรุ่นผลิตหน้าไม้ออกมาในเวลาอันสั้นนี้ได้ ถือว่ามากความสามารถอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
เซียวหลินพูดขึ้นยิ้มๆ “หากแม่ทัพรู้เงื่อนไขที่ฮ่องเต้ทรงเสนอ ก็จะไม่ถามเช่นนี้อีก”
“อ้อ?” หันซังเกอมองสีหน้าที่รื่นเริงของเซียวหลิน รอฟังคำพูดหลังจากนี้ของเขาอยู่
“ฮ่องเต้ตรัสแล้ว หากเยี่ยลี่ร์จี๋อยากจะเลิกทำสงครามก็ง่ายมาก แค่ให้เขาพาทหารม้าเป่ยหูถอยทัพไปหนึ่งร้อยหกสิบลี้ แล้วให้ออกจากแม่น้ำถูหมู่อี๋เป่ยจี๋โจว เฮยสุ่ย ตันโจว และเขตคูเมืองอีกเก้าเมือง มิเช่นนั้นอย่าคิดว่าจะหยุดทำสงคราม”
“ฮ่าๆ!” หันซังเกอตบโต๊ะด้วยความดีใจแล้วลุกขึ้นทันที “ฮ่องเต้ทรงพระปรีชายิ่งนัก! พื้นที่ห่างไกลจากแม่น้ำถูหมู่อี๋เป่ยหนึ่งร้อยหกสิบลี้ก็คือภูเขาไท่ไป๋ ทางใต้และทางเหนือของภูเขาไท่ไป๋ปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี จึงง่ายต่อป้องกันและยากต่อการจู่โจม หากให้พวกเขาถอยไปพรมแดนนั้น วันข้างหน้าก็ไม่ต้องกลัวชาวเป่ยหูอีก ชาวบ้านที่อาศัยในชายแดนตอนเหนือจะได้อยู่อย่างสันติสุข”
อวิ๋นคุนขมวดคิ้วและยิ้มอย่างเย็นชา “เยี่ยลี่ร์จี๋ไม่ได้โง่เขลา แล้วจะตอบตกลงกับเงื่อนไขเหล่านี้ได้อย่างไร”
เซียวหลินยิ้มมุมปาก แล้วพูดต่อจากประเด็นที่อวิ๋นคุนเอ่ย “ดังนั้น ฮ่องเต้ทรงให้เปิ่นโหวขนหน้าไม้มาห้าพันเครื่อง หากตกลงกันไม่ได้ก็สู้กัน หลังจากสู้กันเสร็จค่อยเจรจากันต่อ ฮ่องเต้ตรัสแล้ว เดิมทีภูเขาไท่ไป๋เป็นพรมแดนของต้าอวิ๋น เยี่ยลี่ร์จี๋นี่แหละหน้าไม่อายที่ขยับเขตแดนของตนเองมาทีละนิดในทุกๆ ปี ฮ่องเต้ทรงมีพระทัยโอบอ้อมอารี รู้สึกว่าที่นั่นเป็นเพียงพื้นที่แห้งแล้งขาดน้ำจึงไม่ได้เรียกร้องอะไร ทว่าเขาได้คืบจะเอาศอก ขืนไม่ให้เขาเจอดีบ้าง เขาคงจะนึกว่าราชวงศ์ต้าอวิ๋นไม่มีคนอยู่เสียแล้ว”
อวิ๋นคุนยิ้มหยันแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้น ชินไชที่มาเจรจาสงบศึกครั้งนี้ก็คงไร้ประโยชน์แล้วสิ”
ท่านเซียวโหวที่สุขสมหวัง แน่นอนว่าไม่มีทางไปเรียกร้องคนที่มีความจำเลอะเลือน ดังนั้นเขาแค่ยิ้มจางๆ “นิยามของคำว่า ‘การทหารชั้นเลิศคือชนะในเชิงกลยุทธ์ ‘ แน่นอนว่าเปิ่นโหวไม่ได้ไร้ประโยชน์ รองแม่ทัพรอดูก็พอ”
หันซังเกอพลันผายมือ “พอเถอะ ไหนๆ ชินไชเจรจาสงบศึกก็มาแล้ว เช่นนั้นก็สั่งให้คนส่งจดหมายให้เยี่ยลี่ร์จี๋เถอะ บอกว่าขุนนางเจรจาสงบศึกที่ฝ่าบาทต้าอวิ๋นส่งมาถึงแล้ว หลังจากสามวัน ขุนนางเจรจาสงบศึกจะข้ามแม่น้ำไป ให้เขาเตรียมตัวไว้”
อวิ๋นคุนตอบกลับแล้วลุกขึ้นพลางจากไป พร้อมทั้งกลอกตามองบนใส่เซียวหลิน
เซียวหลินไม่สนใจอะไรเลย รอให้อวิ๋นคุนจากไป เขาก็ลุกขึ้นน้อมคำนับให้หันซังเกอพร้อมขานเรียก ‘พี่ใหญ่’ หลังจากเสวนาราชกิจเสร็จ ก็ควรเสวนาเรื่องส่วนตัวต่อ ตอนนี้ท่านเซียวโหวไม่ใช่ขุนนางชินไช แต่เขาใช้ฐานะที่เป็นว่าที่น้องเขย น้อมคำนับให้พี่ชายว่าที่ภรรยาอีกครั้ง
หันซังเกอแย้มยิ้มและยื่นมือไปคว้ามือของเซียวหลินไว้ เปรยขึ้น “จวินเจ๋อร์มีนิสัยดื้อดึงเช่นนี้แหละ เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก”
เซียวหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “พี่ใหญ่วางใจเถอะ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือญาติผู้พี่ของชั่นเอ๋อร์”
กลับพูดถึงหลี่อี้หรงที่ได้รับเงินและเหรียญของเหล่าหมอหญิง จึงทอดถอนหายใจจากใจ
ดูคนที่ใต้เท้าเหยาพามาสิ จิตใจดียิ่งนัก! เงินบริจาคของเหล่าหมอหญิงก็มีเท่านี้ ว่าตามตรงก็ไม่ใช่เงินจำนวนมากมายอะไร ทว่าคนอื่นกลับต้องการบริจาคเงินส่วนนี้ บอกว่าเอาไปซื้อข้าวสารให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ จุ๊ๆ! ข้าหลวงหลี่ถอนหายใจอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าสตรีที่มาจากเมืองหลวงไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์หรือบารมีก็เหนือกว่าคนทั่วไปจริงๆ!
สำหรับข้าวสารชั้นดี เมืองเฟิ่งต้องมีอยู่แล้ว ไม่ว่าอยู่ในช่วงสงครามหรือช่วงบ้านเมืองสงบสุข เหล่าพ่อค้าคงไม่มีทางปล่อยโอกาสหาเงินไปง่ายๆ อยู่แล้ว ต้องมีคนที่ถือโอกาสทำกำไรมหาศาลในช่วงวิกฤตนี้แน่นอน แค่ว่าราคาของข้าวสารชั้นดีนั้นสูงลิ่วเกินไปจริงๆ
ปกติราคาท้องตลาดที่ขายในเมืองหลวงต้าอวิ๋นหนึ่งจินแค่สามเหวินเท่านั้น ทว่าเมืองเฟิ่งกลับขายถึงสิบเก้าเหวิน
ก่อนหน้านี้ ข้าหลวงหลี่ไม่มีเงินในมือ จึงไปกล่าวความเท็จกับคนอื่นไม่ได้ ตอนนี้พอมีเงินอยู่ในมือบ้าง ทั้งยังมีฐานะและตำแหน่งสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงใช้อำนาจไปข่มขู่ผู้อื่น ตอนนี้เขากลับใช้เงินสิบสองเหวินซื้อข้าวสารหนึ่งจิน เลยทำให้เขาซื้อข้าวสารมาได้ทั้งหมดหนึ่งพันเจ็ดร้อยจิน นี่ก็แค่เสียเงินส่วนที่หมอหญิงบริจาคเท่านั้น ส่วนเงินสามสิบกว่าตำลึงก็ยังไม่ทันได้ใช้
ทว่าข้าวสารหนึ่งพันเจ็ดร้อยจินนี้ คงไม่พอสำหรับทหารเกือบสองพันนายที่ได้รับบาดเจ็บแน่นอน ดังนั้นฉังเหมาจึงทำได้เพียงสั่งให้คนเอาข้าวชั้นดีไปผสมกับข้าวชั้นต่ำ ส่วนมากอาหารหลักยังคงเป็นข้าวต้มกับเนื้อและเครื่องในของสัตว์ป่าต่างๆ
หลังจากซื้อข้าวสารชั้นดีมาแล้ว ฉังเหมาตามหาชาวบ้านสองร้อยคนมาช่วยงานในค่ายทหารพักฟื้นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ค่ายทหารยังคงขาดแคลนคนที่มาช่วยดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
อีกอย่างการมาถึงของชินไช ก็ทำให้เหล่าพ่อค้ามากมายเดินทางมาจากเมืองกู้มาถึงเมืองเฟิ่ง ราคาข้าวสารชั้นดีจึงต่ำลงเรื่อยๆ ดูๆ แล้วคราวเคราะห์ของเมืองเฟิ่งคงใกล้จะผ่านไปแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่ที่เผชิญกับเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชมยินดียิ่งนัก ความคิดของนางไม่ได้จดจ่ออยู่ในเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ เพียงแต่ยาสมุนไพรรักษาแผลภายนอกนี่เหลือไม่มากแล้ว ก่อนหน้านี้ยาสามชนิดที่นางใช้ต้มยาอยู่ประจำ ตอนนี้ก็ขาดไปสองอย่างแล้ว โชคดีที่ช่วงนี้ไม่ทำศึกสงคราม มิเช่นนั้นหากทหารได้รับบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น ก็คงจัดการได้ยากแล้ว
แน่นอน สาส์นกราบทูลก็ส่งไปให้ฮ่องเต้แล้ว ทว่ารอให้ส่งยาส่งจากเมืองหลวงมาที่นี่ก็คงต้องใช้เวลาสักพัก วันนี้เกรงว่าคงต้องหาวิธีอื่น
“คุณหนูเจ้าคะ หมอทหารหลูมีธุระกับท่านเจ้าค่ะ” น้าตู้ซานเข้ามาจากด้านนอกแล้วรายงานเรื่องนี้
“เชิญหมอทหารหลูเข้ามาเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ ปิดตำราแพทย์ในมือ แล้วหันหลังไปดูชั้นวางตำรา
ตอนนี้เรือนที่หมอหลวงเหยาใช้สะสางกิจธุระก็คือห้องอักษรของจวนข้าหลวง อย่างไรข้าหลวงหลี่ก็ยุ่งกับงานด้านนอกอยู่ทุกวี่ทุกวันจึงแทบจะไม่อยู่ในจวน อีกอย่างเขาคือทหาร สำหรับเขาแล้ว ห้องอักษรนี้แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ดังนั้น ตอนนี้จึงให้หมอหลวงเหยาเป็นคนใช้งาน