หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 367 ได้รับชัยชนะกลับเมืองหลวง ให้บำเหน็จตามความชอบ (3)
ตอนที่ 367 ได้รับชัยชนะกลับเมืองหลวง ให้บำเหน็จตามความชอบ (3)
“ดี ดี…” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วพิงอยู่กลางอ้อมกอดของเขา
ทั้งสองนิ่งเงียบไปสักพัก เหยาเยี่ยนอวี่ถึงจะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่ลอบสังหารพวกเราคือชาวเกาหลี”
“ข้าไม่แน่ใจ” เว่ยจางพูดด้วยเสียงเรียบ
ดังนั้น นี่เป็นการพาลใส่คนอื่น? เหยาเยี่ยนอวี่มองเขาด้วยความแปลกใจ
เว่ยจางแค่นเสียง ‘ฮื้อ’ ออกมา แล้วพูดขึ้น “ผู้ร้ายที่ลอบสังหารพวกเราที่แม่น้ำถูหมู่ ไม่ใช่คนเกาหลีก็คือคนเป่ยหู ข้าไม่มีทางปล่อยทั้งสองฝ่ายให้ลอยนวลแน่นอน หรือว่า…ยังมีคนตงไอ่ แค่ว่าหากไปจู่โจมคนตงไอ่ในตอนนี้ อาจไม่สมดั่งใจปรารถนา อนาคตแค่มีโอกาส ข้าจะไม่มีทางพลาดแน่นอน”
เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามด้วยยิ้มประหม่า “นี่ถือว่าเจ้ายอมสังหารผู้คนนับหมื่น และจะไม่ยอมปล่อยคนพวกนั้นลอยนวลแม้แต่คนเดียวเลยหรือ”
“เจ้าจะพูดเช่นนี้ก็ได้” เว่ยจางพูดอย่างไม่แยแส
“นายทัพโกรธเกศาชันเพื่อโฉมงามนี่!” เหยาเยี่ยนอวี่พึมพำด้วยเสียงเบา
“อะไรนะ” เว่ยจางฟังไม่รู้ความ แค่หันข้างไปเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ
“ไม่มีอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหัวเบาๆ ภายในใจกำลังพูดว่า เจ้ากลับทำเพื่อข้าแล้วไปสังหารคนมากมายเช่นนั้น…ทว่าหากเป็นเจ้า เมื่อมีคนทำร้ายเจ้า เกรงว่าข้าก็คงจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นนางเปรยอย่างจนปัญญา “ว่ากันว่าเมื่อฮ่องเต้พิโรธ เลือดหลั่งไหลพันลี้ นึกไม่ถึงว่าตอนที่แม่ทัพโมโหก็น่ากลัวปานนี้”
เว่ยจางกุมมือนางไว้แล้วพูดด้วยเสียงแหบและทุ้มต่ำ ทว่ากลับเป็นเสียงที่มีพลังและหนักแน่นยิ่งนัก “หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าไม่มีทางให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเจ้าอีกเป็นอันขาด”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มกลับไม่ได้พูดอะไร แค่แนบชิดแผงอกของเขาให้มากกว่าเดิม
คืนนั้น เหยาเยี่ยนอวี่หลับไป เว่ยจางนั่งอยู่บนตั่งไม้แล้วเฝ้านางอยู่อย่างนั้น
จนถึงกลางดึก เหยาเยี่ยนอวี่กถูกมืออันร้อนผ่าวปลุกให้ตื่น นางจึงไปจับมือของคนคนนั้นอย่างสะลืมสะลือ จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาทันที แล้วยื่นมือไปจับหน้าผากของเขา แค่รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ร้อนระอุของผิวหนัง เขาต้องมีอุณหภูมิร่างกายเกินสามสิบเก้าองศาแน่นอน ทันใดนั้นจึงทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายใจมาก ชุ่ยเวยที่เฝ้าอยู่ตรงมุมจึงขานรับพลางลุกขึ้น เว่ยจางกลับนอนหลับใหลไม่รู้เรื่อง
เหยาเยี่ยนอวี่อดทนกับอาการเจ็บแผลแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง พร้อมทั้งสั่งการชุ่ยเวย “แม่ทัพเป็นไข้ เร็วเข้า ไปเรียกชุ่ยผิงพยุงเขาขึ้นด้วยกัน”
ชุ่ยผิงได้ยินสถานการณ์ด้านในแล้ว จึงได้พยุงเว่ยจางขึ้นมาจากตั่งไม้ไปยังเตียงพร้อมกับชุ่ยเวย
“ไปตักน้ำเปล่ามาให้เขาดื่มหน่อย” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไป ก็เปิดผ้าห่มค่อยๆ ลงจากเตียงช้าๆ นางจับแผลตรงท้องไว้ แล้วเดินไปใกล้เว่ยจาง จากนั้นก็คว้าข้อมือของเขามาจับชีพจร
ชุ่ยเวยเทน้ำมา พร้อมยกเข้าพร้อมกับชุ่ยผิง จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมด้วยความรักใคร่และเอ็นดู “คุณหนู แม่ทัพฝึกวิชาการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก ร่างกายต้องแข็งแรงอยู่แล้ว เขาต้องไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านรีบขึ้นไปพักผ่อนบนเตียงก่อนเถอะ!”
เหยาเยี่ยนอวี่ปล่อยมือของเว่ยจาง แล้วสั่งการขึ้น “เอายาเม็ดหยินเชี่ยวให้เขากินสองเม็ด”
ชุ่ยผิงพลันรับคำแล้วไปเอายา พร้อมทั้งเปิดปากของเว่ยจางเพื่อป้อนยาเข้ามา จากนั้นก็ป้อนน้ำให้เขา
เว่ยจางพิงอยู่บนเตียงและหมดสติไป ทว่าเหมือนรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังป้อนอะไรบางอย่างให้เขา เขาจึงยื่นมือไปจับไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วขานเรียกด้วยความอ่อนแรง “เยี่ยนอวี่…”
ชุ่ยผิงเอาเสื้อคลุมขนปุยมาคลุมบนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่อย่างจนปัญญา เหยาเยี่ยนอวี่จึงจับผ้าคลุมไว้ แล้วสั่งการขึ้น “เอาผ้าห่มมาห่มให้เขา รอให้เขาขับเหงื่อออกมาแล้ว ค่อยเอาน้ำเปล่าป้อนให้เขาดื่ม”
ผ่านไปไม่นาน เว่ยจางขับเหงื่อออกมาอย่างที่คาด ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงจึงรีบเอาน้ำเปล่าให้เขาดื่มอีกสองถ้วย
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่ข้างกายเขาแล้วงีบหลับไปสักพัก จากนั้นยื่นมือไปจับหน้าผากของเขา สังเกตเห็นว่าตัวเขาไม่ได้ร้อนเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว จึงสั่งให้ชุ่ยเวยป้อนยาหยินเชี่ยวให้เขาอีกสามเม็ด ตามด้วยน้ำเปล่าอีกสองถ้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น เว่ยจางที่ไข้ขึ้นสูงในตอนแรกก็ลดลงมามากแล้ว เพียงแต่เขาปวดเมื่อยและไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง พอลืมตาขึ้นก็เห็นเหยาเยี่ยนอวี่นอนอยู่ข้างกายตนเอง มองตนและนางนอนเบียดกันบนเตียง ทว่าบนตั่งไม้ด้านข้างกลับไม่มีใครนอน เขาจึงค่อนข้างตะลึงงัน
“ท่านแม่ทัพตื่นแล้ว!” ชุ่ยเวยเปรยด้วยเสียงเบา “เมื่อคืนท่านไข้ขึ้นสูง ทำให้คุณหนูของพวกบ่าวตกใจแทบแย่เจ้าค่ะ”
“ข้ามีไข้ขึ้นสูงกระนั้นหรือ” เว่ยจางขมวดคิ้วแล้วยกแขนขึ้นมาจับหน้าผากของตัวเอง หน้าผากของเขาไม่ได้ร้อน ทั้งยังเย็นยะเยือก ดังนั้นเขาจึงเปรยด้วยเสียงเบาแล้วอยากจะลุกขึ้น ทว่ากลับไม่มีแรง
เหยาเยี่ยนอวี่ก็ตื่นขึ้นมาในเวลานี้ นางไม่ทันลืมตาก็ไปจับหน้าผากของเขาแล้ว จากนั้นก็ถูกเขาจับมือไว้
“ลุกขึ้นก่อนเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกตรงกลางฝ่ามือของเขาจึงวางใจ
เว่ยจางชันตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ แล้วขยับแขนตัวเองสักพัก หลังจากนั้นร่างกายก็กลับมามีแรงขึ้นเล็กน้อย เขาจึงมองเหยาเยี่ยนอวี่แล้วเอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด “ใครให้เจ้าเดินบนพื้น”
เหยาเยี่ยนอวี่กลอกตามองบนใส่เขา และไม่ได้สนใจเขาอีก เว่ยจางย่อตัวลงแล้วอุ้มนางกลับไปที่เตียง พร้อมพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้าถามหมอทหารหลูแล้ว เขาบอกว่าหากยังไม่ครบหนึ่งเดือน เจ้าห้ามลงมาเดินบนพื้น”
เหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตามองเขาด้วยความไม่พอใจ “ข้าเป็นหมอ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร”
เว่ยจางรีบโต้เถียงกลับ “เจ้าเป็นผู้ป่วย ดังนั้นเจ้าต้องฟังข้า”
เหยาเยี่ยนอวี่ยังอยากจะพูดอะไรต่อ ทว่ากลับถูกเว่ยจางขัดขวาง “ตอนนี้เจ้าควรพักผ่อนได้แล้ว อย่ามาถกเถียงกับข้า”
“…” เหยาเยี่ยนอวี่เบะปาก ผินหน้าไปเล็กน้อย
เว่ยจางเห็นนางเป็นเช่นนี้ ทำได้เพียงจับมือของนางไว้ พูดด้วยเสียงต่ำ “เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรถึงจะเชื่อฟัง”
เหยาเยี่ยนอวี่อดหันไปมองเขาไม่ได้ บุรุษที่มีคิ้วคมเข้ม จมูกโด่งสัน ใบหน้าที่เรียวเล็กและริมฝีปากได้รูป คำบรรยายถึงรูปลักษณ์ภายนอกเพียงไม่กี่คำ จนกระทั่งดูออกว่าเขาเป็นคนแข็งกระด้าง กลับเป็นเพราะสีหน้าที่ประทับใจเมื่อครู่นี้ ทำให้สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนน่าหลงใหลขึ้นมามาก
นางเปรยด้วยความประหม่า คนเช่นนี้ ต่อให้ต้องเสียสละทั้งชีวิตของตัวเองเพื่อเขา ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก
หลังจากผ่านไปสองวัน ถังเซียวอี้พาชาวเกาหลีนับหมื่นที่ถูกจับกุมตัวกลับมาที่ค่ายทหาร
หลังจากผ่านไปสามวัน อวิ๋นคุนและหันซังเย่ว์ก็ส่งข่าวมา บอกว่าทหารหนึ่งแสนนายเฝ้ารักษาการณ์อยู่แถวไหล่เขาไท่ไป๋ แค่รอให้แม่ทัพสั่งการ พวกเขาก็จะเข้าไปจู่โจมในภูเขาไท่ไป๋ทันที
หันซังเกอจึงปรึกษาหารือกับเซียวหลิน เพราะว่าพื้นที่ภูเขาไท่ไป๋ค่อนข้างซับซ้อน ง่ายต่อป้องกันและยากต่อการจู่โจม ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดจู่โจมชั่วคราว แค่คอยเฝ้าดูสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลง
คนเกาหลีนับหมื่นที่ถูกจับกุมตัวนี้ถือเป็นภาระของค่ายทหาร คนเหล่านี้ส่วนมากเป็นสตรี เด็ก และคนชรา ไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ ทว่ายังเลี้ยงเสียข้าวสุก ดังนั้นหันซังเกอแค่เก็บบุรุษที่ยังหนุ่มไปเป็นทาสในค่ายทหาร ส่วนที่เหลือก็ให้ถังเซียวอี้และจ้าวต้าเฟิงส่งกลับไปที่เมืองหลวง แล้วดูว่าฮ่องเต้จะทรงรับสั่งอย่างไร
เหยาเยี่ยนอวี่พักฟื้นตัวอยู่ในค่ายทหารอยู่หลายวัน หลังจากอาการของนางคงที่ เว่ยจางก็สั่งให้คนเอารถม้าส่งนางกลับไปพักฟื้นต่อที่เมืองเฟิ่ง
ศพของน้าตู้ซานถูกเผา เถ้ากระดูกของถูกใส่เข้าไปในโกศ หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่มอบหมายให้คนส่งกลับไปเสร็จ ก็ได้เขียนจดหมายให้เหยาเหยียนอี้ ให้เขาช่วยเอาเถ้ากระดูกของนางส่งกลับไปที่บ้านเกิด เพื่อไปฝังคู่กับสามีของนาง
นี่ก็เดือนหนึ่งวันที่สิบห้าพอดี เสบียงอาหารที่ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้องค์ชายสามอวิ๋นหมินส่งมาถึงเมืองเฟิ่งแล้ว และยังส่งรังนักชาววัง โสม และของบำรุงเลอค่าอื่นๆ ให้เหยาเยี่ยนอวี่ ทั้งยังส่งหมอหลวงจางที่เชี่ยวชาญทางด้านสูติเวชของสำนักหมอหลวงมาดูอาการให้เหยาเยี่ยนอวี่
คืนต้นเดือนสอง เยี่ยลี่ร์เชี่ยพาทหารลอบเข้ามาในค่ายทหารของต้าอวิ๋น