หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 368 ได้รับชัยชนะกลับเมืองหลวง ให้บำเหน็จตามความชอบ (4)
ตอนที่ 368 ได้รับชัยชนะกลับเมืองหลวง ให้บำเหน็จตามความชอบ (4)
แม่ทัพหันซังเกอและขุนนางเจรจาศึกสงคราม เซียวหลินมาพบปะกันตอนกลางดึก พวกเขาพูดคุยอย่างสนิทสนมไปนาน
กลางเดือนสองนี้ เป่ยหูเกิดการก่อกบฏ ไม่รู้ว่าเยี่ยลี่ร์เชี่ยใช้วิธีอะไร กลับเอาชนะเยี่ยลี่ร์ต้าสือได้ และแย่งแก่งอำนาจทางการทหารมาอยู่ในกำมือ เยี่ยลี่ร์ก่วงและเยี่ยลี่ร์ต้าสือก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน เยี่ยลี่ร์กงสนับสนุนให้เยี่ยร์ลี่เชี่ยเป็นอ๋องคนใหม่ของเป่ยหู
ต้นเดือนสาม ก็คือการเจรจาสงบศึกครั้งใหม่
หลังจากการเจรจาสงบศึกครั้งก่อน เวลาล่วงเลยมาสิบกว่าวันแล้ว หูอ๋องคนใหม่นามว่าเยี่ยลี่ร์เชี่ยก็ยอมตกลงว่าจะถอยทัพไปห้าสิบลี้ ยอมถอยไปถึงทิศเหนือของภูเขาไท่ไป๋ ส่วนทหารต้าอวิ๋นก็จะหยุดอยู่ตอนใต้ของภูเขาไท่ไป๋และจะไม่ขึ้นเหนืออีก ทั้งสองฝ่ายแบ่งขอบเขตกันอย่างชัดเจน ต่างฝ่ายต่างไม่ระรานกัน และจะเจรจาอย่างดิบดีฉันท์มิตรสหาย
เดือนสามของเมืองเฟิ่งยังคงมีอากาศที่เหน็บหนาว และไม่มีวี่แววว่าสภาพอากาศจะอบอุ่นขึ้นเลย
เหยาเยี่ยนอวี่คลุมเสื้อคลุมขนมิงค์แล้วพิงอยู่บนตั่งไม้ใต้ชายคาระเบียง ขณะนี้นางกำลังอาบแดดไปด้วย และอ่านตำราโอสถโบราณเล่มใหม่ล่าสุดไปด้วย
นี่ก็พักฟื้นร่างกายมาสามเดือนแล้ว แผลบนร่างกายของนางจึงไม่มีอาการร้ายแรงอะไรอีก เพียงแต่เว่ยจางยังคงไม่ให้นางออกเดินทางไปไหน ส่วนยาที่ใช้ในการรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ให้นางมาคอยกังวลใจ แม้กระทั่งยังกลัวว่าชุ่ยเวยและคนอื่นๆ จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา จึงได้ส่งฉังเหมามาคอยรับใช้ของเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมทั้งยังกำชับตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า หากเกิดเหตุสุดวิสัยกับเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นมา ก็จะกระทืบฉังเหมาให้ตายทันที
ดังนั้น ตอนนี้คุณหนูเหยาคิดจะทำงานอะไรขึ้นมา ฉังเหมาก็ได้แต่คุกเข่าลงด้วยสีหน้าที่หมองเศร้าแล้วขอให้ฮูหยินให้อภัย
ภายใต้สถานการณ์อิหลักอิเหลื่อ เหยาเยี่ยนอวี่จึงทำได้เพียงพักฟื้นตัวด้วยความสบายใจ จึงกลายเป็นผู้ที่มีเวลาว่าง และไม่ได้ถามถึงเรื่องใดๆ ในค่ายทหารพักฟื้นอีก
หลังจากผ่านศึกสงครามมาก็ต้องยุ่งกับงานอีกมากมาย เช่นจัดและซ่อมบำรุงที่อยู่อาศัยของทหารรักษาการณ์ และจัดเสบียงให้ค่ายทหารรักษาการณ์ หันซังเกอพาเหล่าแม่ทัพสองสามนาย หลี่อี้หรงที่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่จากฮ่องเต้ให้กลายเป็นจิงเล่ว์สื่อของกันโจวและคนอื่นๆ ต่างยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา เว่ยจางที่เป็นหนึ่งในแม่ทัพก็กลับมาเยี่ยมเยียนนางที่เมืองเฟิ่งบ่อยๆ ไม่ได้
จวบจนถึงเดือนห้า อากาศเริ่มกลับมาอบอุ่น ท้ายที่สุด พืชพันธุ์ในเมืองเฟิ่งกลับมาเขียวขจีเสียที หลังจากผ่านศึกสงครามมา ธุระทุกอย่างก็จัดการจนเสร็จสิ้น และเวลาที่กองทัพจะเดินทางกลับเมืองหลวงก็ใกล้เข้ามาแล้ว
ตอนขามาอากาศยังคงหนาวสะท้าน เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งค่อนปี ตอนขากลับกลับได้เห็นถึงทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาสีเขียวและสายน้ำใสสะอาด ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม นกน้อยโบยบินอยู่บนท้องฟ้า เหยาเยี่ยนอวี่นั่งอยู่ในรถม้าตามหลังขบวนของเหล่าแม่ทัพ เมื่อสายลมพัดโชยม่านรถม้าให้พลิ้วไหวขึ้น ก็ทำให้เห็นถึงทัศนียภาพนอกหน้าต่าง ภายในใจลึกๆ มิอาจสรรหาคำพูดใดๆ มาบรรยายเกี่ยวกับความงดงามของธรรมชาติที่เห็นในตอนนี้
ในเมืองหลวงต้าอวิ๋น ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ จวนตระกูลเหยาขยายพื้นให้กว้างจากเดิมสองเท่า เหยาเหยียนอี้ซื้อบ้านเรือนของชาวบ้านที่อยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของจวนเหยา หลังจากรื้อบ้านหลังเก่านั้นทิ้ง ก็สร้างเรือนทิศตะวันออก จวนเก่าที่มีประตูเข้าออกสามชั้นก็ได้มีเรือนตะวันออกเพิ่มมาอีกหลัง ด้านหลังของเรือนทั้งสองหลังนี้ เป็นสวนพฤกษาที่ปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้อย่างงดงาม
หนิงฮูหยินน้อยตั้งครรภ์ได้สี่เดือน เหตุเพราะอากาศเดือนห้านี้ร้อนระอุ ร่างที่กำลังตั้งครรภ์ของนางบวมเล็กน้อยและทนกับอากาศร้อนจัดไม่ได้ ในเรือนจึงต้องมีน้ำแข็งเตรียมไว้ นางพิงอยู่บนตั่งไม้ก็เอ่ยถามเฝิงหมัวมัว “น้องรองใกล้จะกลับมาแล้ว เรือนของนาง ของใช้ เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า และอื่นๆ จัดเตรียมไว้หรือยัง”
“เรียนนายหญิง ทุกอย่างจัดเตรียมไว้แล้วเจ้าค่ะ แค่ไม่รู้ว่าคุณหนูจะกลับมาถึงเมื่อใด บ่าวคิดว่าช่วงนี้คุณหนูใช้ชีวิตที่เขตตอนเหนืออย่างแสนลำบาก ต้องคิดถึงอาหารในจวนแน่นอน เดิมทีบ่าวอยากจะเตรียมอาหารไว้แต่เนิ่นๆ ทว่าอากาศร้อนเช่นนี้ กลัวว่าอาหารจะเน่าเสียก่อน”
หนิงฮูหยินน้อยลูบท้องที่นูนออกมา แล้วเปรยขึ้น “นายท่านรองบอกว่าราชสำนักได้รับข่าวคราวแล้ว อีกสองสามวันก็คงกลับมาถึง เจ้าเตรียมผักหลากหลายชนิดไว้ก่อนเถอะ ส่วนพวกกุ้ง ปลาและวัตถุดิบที่เสียง่าย แค่แช่น้ำแข็งไว้ก็ได้แล้วมิใช่หรือ ข้าได้ข่าวว่าเมืองเฟิ่งเป็นเขตเมืองหนาว เมื่อถึงฤดูหนาวก็ได้กินแค่ผักดอง และน้องสาวก็ไปอยู่ที่นั่นตอนฤดูหนาวพอดี แล้วยังได้รับบาดเจ็บอีก นางคงจะทรมานน่าดู”
“เจ้าค่ะ! นายหญิงกล่าวถูกเจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวถอนหายใจอย่างจนปัญญา นางยังคงคิดว่าสตรีผู้หนึ่งจะหาเหาใส่หัว ไปเป็นขุนนางชินไชที่นั่นไปไยกัน มิหนำซ้ำที่นั่นยังเป็นเขตชายแดน ดั่งที่คาด นางกลับได้รับบาดแผลอย่างแสนสาหัสมากเพียงนั้น แค่ว่าตนเป็นเพียงข้ารับใช้ จึงไม่กล้ามากความเกี่ยวเรื่องนี้
หนิงฮูหยินน้อยพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วสั่งการ “เจ้ารีบไปเตรียมตัวเถอะ เตรียมทุกอย่างให้สุดความสามารถ”
เฝิงหมัวมัวขานรับแล้วถอยออกไปด้านนอก
จวนองค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็กำลังยุ่งวุ่นวาย ท่านซื่อจื่อหันซังเกอและองค์ชายรองหันซังเย่ว์ได้รับชัยชนะกลับมาจากการรบ เจิ้นกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่ต่างชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง หันหมิงชั่นรู้สึกรื่นเริงยินดียิ่งกว่า จึงสั่งให้คนไปรับซูอวี้เหิงมาโดยเฉพาะ เพื่อปรึกษาหารือกันว่าจะรับขวัญเหยาเยี่ยนอวี่อย่างไร
ซูอวี้เหิงตื่นเต้นดีใจกว่าหันหมิงชั่น นางเดินไปเดินมาในเรือนของหันหมิงชั่น ประเดี๋ยวก็เสนอให้ทำเช่นนี้ ประเดี๋ยวก็ให้ทำเช่นนั้น แล้วกล่าวถึงของกินทุกอย่างที่เหยาเยี่ยนอวี่ชื่นชอบพร้อมสั่งให้คนจดบันทึกไว้ กลัวว่านางจะหลุดสิ่งใดไป
หันหมิงชั่นก็คอยช่วยคิดอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็เปรยขึ้น “นางได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้ว่าหายดีหรือยัง ของดิบและของเย็นก็อย่าเตรียมไว้ให้นางเลย”
ใบหน้าเรียวเล็กของซูอวี้เหิงก็ดูบูดบึ้งทันที แล้วเปรยขึ้น “ได้ข่าวว่าครั้งนั้นถูกคนเกาหลีที่สมควรตายยิง ไม่รู้ว่านางได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ช่างน่าโมโหยิ่งนัก หลายวันก่อนข้าได้ข่าวมาว่าเชลยชาวเกาหลีถูกจำหน่ายในตลาดค้าทาส ข้าชักอยากจะซื้อคนพวกนั้นกลับมาเป็นเป้าธนูให้สาแก่ใจ”
หันหมิงชั่นหลุดหัวเพราะออกมาทันที นางจิ้มหน้าผากของซูอวี้เหิงหนึ่งที พร้อมตำหนิด้วยเสียงต่ำ “เจ้านี่มันร้ายกาจจริงๆ ระวังจะไม่ได้ออกเรือนล่ะ”
ซูอวี้เหิงยิ้มอย่างไม่สนใจ แล้วพูดขึ้น “ไม่ได้ออกก็ไม่ออกน่ะสิ! ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย”
หันหมิงชั่นหยอกล้อนางอีกครั้ง “ถึงเวลาพวกเราออกเรือนกันหมดแล้ว ไม่มีใครคอยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว”
“ฮ่า! พี่หันรีบออกเรือนแล้วหรือ ทว่าว่าไปแล้ว ได้ยินว่าครั้งนี้ท่านเซียวโหวก็ถือว่าสร้างผลงานไว้ไม่เลว! การได้รับชัยชนะของกองทัพที่ออกรบในครั้งนี้ ฮ่องเต้ต้องตบรางวัลให้ท่านเซียวโหวอย่างงามแน่นอน น้องขอแสดงความยินดีกับพี่หันล่วงหน้า” ซูอวี้เหิงพูดขึ้นยิ้มๆ ขณะเดียวกันนางก็ค้อมตัวน้อมคำนับให้หันหมิงชั่น
หันหมิงชั่นปากระดาษที่ขยำเป็นก้อนใส่นางแล้วตวาดด้วยรอยยิ้ม “ถุย ยัยเด็กคนนี้ ปากของเจ้าช่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ”
ซูอวี้เหิงทำหน้ากวนประสาท “ก็พี่หันเป็นคนสอนข้าเองนี่”
หันหมิงชั่นลุกขึ้นไปบีบแก้มของซูอวี้เหิง แล้วก่นด่าด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งอยู่เจ้าก็ยิ่งกล้าหาญเข้าไปทุกวัน ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไรดี”
ในเรือนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แม้กระทั่งเหล่าสาวใช้ที่อยู่ใต้ชายคาระเบียงยังหัวเราะตาม
สามวันผ่านไป แม่ทัพหันก็พาเหล่าแม่ทัพคนอื่นๆ กลับมาด้วยชัยชนะ และนำเหล่าทหารม้ากลับไปที่ค่ายทหารของตนเอง เพียงแต่ทหารห้าพันนายของจวนเจิ้นกั๋วกง ทหารคนสนิทของจวนเฉิงอ๋อง และทหารของเว่ยจางต้องไปตั้งค่ายทหารทางทิศเหนือของเมืองหลวงก่อน พระราชโองการของฮ่องเต้ลงมาแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น องค์ชายสี่อวิ๋นจั๋วหรือจิ่งจวิ้นอ๋องที่เพิ่งย้ายออกจากราชวัง และไปสร้างจวนอาศัยตามลำพัง ก็ได้เป็นตัวแทนของฮ่องเต้ไปต้อนรับแม่ทัพหันและแม่ทัพคนอื่นๆ ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังหลวง
ทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่นยินดี บรรยากาศที่ได้รับชัยชนะจากศึกสงครามครั้งนี้เช่นเดียวกับบรรยากาศตอนที่ได้รับชัยชนะจากการรบในเขตชายแดนตะวันตกเมื่อคราวที่แล้ว ทว่าครั้งนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ไปยืนมองบรรยากาศอันครึกครื้นกับสหายคนสนิทที่โรงน้ำชา กลับนั่งอยู่ในรถม้าและติดตามอยู่ด้านหลังของเหล่าแม่ทัพทั้งหลาย ขบวนรถม้ากำลังจะเดินทางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในราชวัง
นางพิงผนังรถม้าพลางฟังเสียงโห่ร้องด้านนอก เมื่อมองผ่านผ้าม่านหน้าต่าง ก็เห็นถึงชาวบ้านที่มีท่าทางรื่นเริงยินดี เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้สึกดีใจจากใจจริง
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ เหมือนครึ่งปีที่ต้องทนทุกข์ทรมานมานั้นไม่ได้สำคัญอะไรอีก แม้กระทั่งยังรู้สึกหายตกตะลึงจากตอนที่ได้ยินว่าเว่ยจางกวาดล้างชาวเกาหลีในตอนนั้น
คำว่าผู้ที่ถูกสวรรค์เลือกถึงจะเหมาะสมที่จะมีชีวิตรอด แค่แมลงเม่าเพียงตัวเดียว หรือชนเผ่าเดียวก็เช่นเดียวกัน ทุกอย่างในใต้หล้านี้ล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ตนเองควบคุมได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้ของนางคือได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รักอย่างราบรื่นไปตลอดชีวิต