หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 369 ได้รับชัยชนะกลับเมืองหลวง ให้บำเหน็จตามความชอบ (5)
ตอนที่ 369 ได้รับชัยชนะกลับเมืองหลวง ให้บำเหน็จตามความชอบ (5)
ในตำหนักไท่จี๋จิน ฮ่องเต้ทรงให้บำเหน็จตามน้ำพระทัย
เจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ หันซังเกอ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการแม่ทัพทหารม้าจู่โจมขั้นที่สอง ทั้งยังถูกยกย่องว่าเป็นโหวเจวี๋ยผู้กล้าหาญ
เฉินอ๋องซื่อจื่อ อวิ๋นคุน ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยตูถ่งขั้นที่สอง ทั้งยังมีสิทธิ์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของค่ายทหาร ได้เป็นผู้ช่วยซื่อหลางที่ประจำการอยู่ในค่ายทหาร
เว่ยจางที่เป็นเซวียนฝูสื่อเป่ยเจิงได้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของทหารเป่ยเจิงขั้นที่สอง และยังกลายเป็นจวิ้นปั๋วเจวี๋ยขั้นที่สอง ซึ่งมีสิทธิ์เข้าแทรกแซงเรื่องสำคัญในค่ายหทาร
เซียวหลินที่เป็นผู้ช่วยซื่อหลางฝ่ายพิธีกรรมและยังเป็นชินไชไปเจรจาสงบศึกในครั้งนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นจวิ้นโหวเจวี๋ยขั้นที่หนึ่ง อีกทั้งยังได้ประจำตำแหน่งในฝ่ายพิธีกรรมของราชสำนัก
บุตรชายคนรองของเจิ้นกั๋วกงหันซังเย่ว์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพหมิงเวยขั้นที่สี่ เข้ารับตำแหน่งนายกองทหารม้า
ส่วนรองแม่ทัพคนอื่นๆ ก็ได้เลื่อนขั้นไปหนึ่งขั้น ต่างได้รับสามพันตำลึงเงิน และที่ดินอีกหนึ่งร้อยยี่สิบห้าไร่
อีกทั้งเหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นหมอหลวงในสำนักแพทย์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวงขั้นที่สาม ได้รับอัญมณีสองหีบ ทองคำสามร้อยตำลึงและเงินอีกสองพันตำลึง
หมอทหารหลูถ่งก่วงได้เลื่อนขั้นไปเป็นหมอทหารขั้นที่หนึ่ง และได้รับเงินอีกสองพันตำลึง
ส่วนหมอทหารหลิวซั่งซิวก็ได้เลื่อนขั้นเป็นหมอทหารขั้นที่สาม และได้รับเงินอีกสองพันตำลึง
บรรยากาศในตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงรื่นเริงยินดีและเสียงขอบพระทัยที่ได้รับการแต่งตั้งและบำเหน็จต่างๆ เหยาเยี่ยนอวี่กำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เหตุใดหลิวซั่งซิวถึงได้เลื่อนขั้นเร็วกว่าหลูถ่งก่วง กลับได้ตำแหน่งสูงกว่าหลูถ่งก่วง คนๆ นี้ไม่ได้สร้างผลใดๆ นี่นา
ในพระราชโองการของฮ่องเต้ทรงระบุไว้ว่าหลิวซั่งซิวหมั่นศึกษาค้นคว้า และสร้างผลงานดีเด่นในการคิดค้นสูตรยา ทว่า…เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็นึกไม่ออกว่าสูตรยาที่หมอทหารหลิวคนนี้คิดค้นออกมาถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่เมื่อใดกัน
หลังจากครุ่นคิดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจ ทว่าตอนอยู่ในราชสำนักกลับไม่กล้ามากความอะไร
หลังจากทุกคนได้รับการแต่งตั้งและบำเหน็จเสร็จ ต่างก็คุกเข่าน้อมก้มกราบ ฮ่องเต้ทรงพระราชทานงานสังสรรค์ให้เหล่าแม่ทัพ ส่วนเหยาเยี่ยนอวี่และหมอทหารคนอื่นๆ ต่างก็กราบอำลาแล้วนำบำเหน็จออกจากวัง ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับจวน
หลังจากออกจากวังหลวง เหยาเหยียนอี้ก็เอารถม้ามารับเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยตัวเอง เหยาเยี่ยนอวี่จึงเดินเข้าไปน้อมคำนับให้พี่ชายตนเอง เหยาเหยียนอี้อดขมวดคิ้วพลางสังเกตมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ได้ พร้อมทั้งเปรยขึ้น “ดูเจ้าสิ ซูบผอมเช่นนี้จะออกเรือนได้อย่างไร”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “กลับจวนไป ท่านพี่ก็ให้คนทำอาหารอร่อยๆ ให้ข้ากินเยอะๆ ไม่กี่วันก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว”
เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้วพลางส่ายหัว พร้อมพูดยิ้มๆ อย่างจนปัญญา “ยังไม่รีบขึ้นรถม้าอีก เจ้าเป็นถึงหมอหลวงขั้นสามแล้วยังทำตัวเป็นเด็กๆ ได้ คนอื่นเห็นเข้าคงจะหัวเราะเยาะเจ้า”
“ต่อให้ตำแหน่งขุนนางจะสูงส่งเพียงใด ข้าก็ยังเป็นน้องสาวของท่านพี่เหมือนเดิม” เหยาเยี่ยนอวี่ค้องแขนเหยาเหยียนอี้พลางขึ้นรถม้าด้วยดวงหน้าเบิกบาน
เหยาเหยียนอี้เดินตามเข้าไปด้วยรอยยิ้ม สองพี่น้องนั่งหันหน้าเข้าหากันในรถม้า เหยาเหยียนอี้จึงถามทุกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่ได้รับบาดเจ็บ
เหยาเยี่ยนอวี่ต้องหลีกเลี่ยงรายละเอียดที่อันตรายอยู่แล้ว แค่เหล่าสถานกาณ์โดยรวมให้เหยาเหยียนอี้ฟังเท่านั้น
เหยาเหยียนอี้ยังคงรู้สึกหวาดกลัว แค่ส่ายหน้าแล้วเปรยขึ้น “หลังจากนี้ อย่างไรเจ้าก็ไม่ควรดื้อดึงเช่นนี้! ข้าก็จะไม่อนุญาตให้เจ้าดื้อรั้นเช่นนี้อีก! เจ้ารู้ไหม เรื่องนี้ข้ายังไม่กล้าบอกท่านพ่อ หากท่านพ่อรู้เรื่องนี้…เฮ้อ!”
“ตอนนี้ข้าไม่ใช่ยังอยู่ดีมีสุขหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่สนใจ “แค่แผลเล็กๆ เท่านั้น อีกอย่างนี่ก็เป็นเพียงอุบัติเหตุ คราวหน้าจะไม่เกิดเช่นนี้อีกแน่นอน ท่านพี่วางใจเถอะ”
เหยาเหยียนอี้ไม่เชื่อคำพูดของนาง แค่ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วส่ายหัว
ตอนที่ไปถึงประตูจวนเหยา เหยาเหยียนอี้ลงจากรถม้า จากนั้นก็หันไปพยุงเหยาเยี่ยนอวี่ลงมา
เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่หน้าประตู เห็นประตูใหญ่สีนิลนี้แตกต่างจากก่อนหน้าจึงอดพูดขึ้นยิ้มๆ ไม่ได้ “นี่เพิ่งผ่านไปครึ่งปีเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจวนของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้”
เหยาเหยียนอี้พูดขึ้นยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้จวนเล็กเกินไป อนาคตเจ้าออกเรือนแล้วกลับมาจวนต้นตระกูลคงจะไม่สะดวก แล้วยังมีพี่สาวเจ้าที่อาจจะพาเย่ว์เอ๋อร์กลับมา ตอนพวกเจ้าสองพี่น้องกลับมา จะได้มีสถานที่สังสรรค์และพูดคุยเล่นกัน อีกอย่าง ตอนท่านพ่อกลับมาทำธุระในเมืองหลวง อย่างไรก็ต้องมีที่พักหรือเปล่า ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน จากนั้นข้าจะพาเจ้าไปดูเรือนใหม่”
ตอนนี้หนิงฮูหยินน้อยก็พาเหล่าข้ารับใช้ออกมาต้อนรับด้านนอกแล้ว กำลังค้อมตัวลงเล็กน้อยให้เหยาเหยียนอี้ พร้อมทั้งขานเรียกด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่” จากนั้นก็คุยกับเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความรื่นเริง “ยินดีด้วยกับน้องรอง”
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นหนิงฮูหยินน้อยดูอวบอ้วนขึ้น จึงเดินหน้าไปจับมือของนางด้วยความตื่นเต้นดีใจ พร้อมทั้งก้มหน้าสังเกตมองท้องของนาง ทำเอาหนิงฮูหยินน้อยถึงกับเก้อเขิน จึงยกมือไปตบนางเบาๆ พร้อมพูดยิ้มด้วยเสียงต่ำ “ยัยหนูคนนี้ กำลังมองอะไรอยู่”
“ยินดีกับพี่สะใภ้ด้วย!” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ พลางค้อมตัวลงต่ำ
หนิงฮูหยินน้อยดึงนางไว้พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “รีบเข้าไปด้านในเถอะ นี่มันยามใดแล้ว ยังยืนคุยกันตรงหน้าประตูอีก พระอาทิตย์เคลื่อนไปทิศตะวันตกแล้ว ตอนเที่ยงคงยังไม่ได้กินอะไรมาใช่ไหม”
“อืม ข้าหิวตั้งนานแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มด้วยความดีใจ พร้อมทั้งพยักหน้าอย่างแรง “มีอะไรน่ากินบ้าง”
หนิงฮูหยินน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม “มีแต่ของที่เจ้าโปรดปรานทั้งนั้น เฝิงหมัวมัวเตรียมไว้เต็มโต๊ะเลย รีบเข้าไปเถอะ”
อาหารมื้อนี้ คุณหนูเหยากินจนแน่นท้อง ดังนั้นหลังจากนั้นนางจึงต้องเดินไปเดินมาในเรือนให้อาหารย่อย
“คุณหนูจะกินต้าซันจาหนึ่งเม็ดไหม?” ชุ่ยเวยอดให้คำแนะนำไม่ได้
“ไม่ต้องแล้ว เดินย่อยหน่อยก็พอ ข้าไม่ควรฟังพวกเจ้าตั้งแต่แรกจริงๆ กินกุ้งผัดสุราเยอะเกินไปแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่สะบัดพัดไปด้วยและเดินวนรอบโต๊ะกลมไปด้วย
เฝิงหมัวมัวจึงเสนอความเห็นด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้พระอาทิตย์ก็ใกล้ลับฟ้าแล้ว คุณหนูออกไปเดินเล่นตรงสวนด้านหลังดีกว่าไหม นายท่านผู้เฒ่าส่งคนสวนจากเขตตอนใต้มาโดยเฉพาะ แล้วยังส่งดอกไม้หายากมาให้ปลูกในสวนอีก”
“ดีๆ เช่นนั้นก็ไปดูหน่อยเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่หันหลังเดินออกไปด้านนอก เพิ่งจะออกจากนอกประตู ก็เห็นตู้เจวียนกำลังรดน้ำต้นไม้ในสวน นางจึงชะงักฝีเท้าลงทันที
เฝิงหมัวมัวเดินตามมา พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงอธิบายด้วยเสียงต่ำทันที “คุณชายรองสั่งให้คนส่งโกศของต้าตู้ซานไปฝังที่เขตตอนใต้แล้ว เพียงแต่ทั้งบิดาและมารดาของตู้เจวียนเสียชีวิตไป ที่บ้านจึงไม่เหลือใคร คุณชายเองก็ไม่อยากทิ้งนางไว้ที่นั่นตามลำพัง ทำได้เพียงพานางกลับมาอยู่ที่นี่ ฮูหยินรองอยากให้ตู้เจวียนรับใช้ฮั่นเจี่ยเอ๋อร์ บอกว่ารอให้คุณหนูกลับมา ถึงจะปรึกษาหารือกับคุณหนู หากคุณหนูตกลงก็ให้นางไปเป็นสาวใช้ที่คอยดูแลฮั่นเจี่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดอย่างเงียบงัน ชุ่ยฮั่นก็คือบุตรีเอกของเหยาเหยียนอี้ อนาคตไม่ว่าจะอย่างไรก็คงไม่มีทางมีชีวิตที่ย่ำแย่เกินไปแน่นอน อายุของตู้เจวียนเยอะกว่าชุ่ยฮั่นอยู่หลายปี หากได้ติดตามชุ่ยฮั่น อนาคตหนิงฮูหยินน้อยย่อมปฏิบัติกับนางดีแน่นอน ส่วนมารดาของนางที่ติดตามตัวเองก็มีจุดจบเช่นนี้ ก็ไม่อยากให้ตู้เจวียนติดตามอยู่ข้างกายตัวเองอีก ดังนั้นจึงพยักหน้า “ได้”
เฝิงหมัวมัวค้อมตัวตอบกลับ “เจ้าค่ะ เช่นนั้นประเดี๋ยวบ่าวจะกลับไปคุยกับฮูหยินรองเจ้าค่ะ”
แม้สวนดอกไม้หลังเรือนจะไม่ใหญ่มาก ทว่ากลับมีทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไป ดอกไม้ต้นไม้ในสวนล้วนจัดแต่งอย่างประณีต เหยาเยี่ยนอวี่เดินวนไปรอบๆ ในสวน สุดท้ายก็เลือกไปพักผ่อนที่ศาลากลางน้ำขนาดเล็ก หนิงฮูหยินน้อยสั่งให้คนส่งยิงเถาและลิ้นจี่สดมาให้ ปั้นซย่าปอกลิ้นจี่ให้นางอยู่ข้างๆ ส่วนไม่ตงก็ค่อยโบกพัดอยู่ด้านหลังของนาง
เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่บนตั่งไม้ที่มีหมอนลายช่อดอกไม้ขนาดใหญ่หนุนหลังอยู่ ในมือถือจานแก้วผลไม้ขนาดใหญ่ที่สลักลายดอกบัว ท่าทางของนางดูเอร็ดอร่อยยิ่งนัก ไม่เหมือนคนที่บ่นว่ากินอิ่มแล้วมาเดินย่อยกลางสวนในก่อนหน้านี้เลย
ชุ่ยเวยเดินหน้ามาหานาง พอเห็นภาพเช่นนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้ พูดถึงชีวิตก่อนหน้านี้ของคุณหนู! แทบจะไม่ได้กินผลไม้แม้แต่ลูกเดียว ชีวิตแสนลำบากยิ่งนัก