หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 370 ดนตรีบรรเลงไม่ช้าไม่เร็ว คาดว่ามีสิ่งใดแอบแฝง (1)
ตอนที่ 370 ดนตรีบรรเลงไม่ช้าไม่เร็ว คาดว่ามีสิ่งใดแอบแฝง (1)
ตอนกลางคืน เหยาเฟิ่งเกอพาเย่ว์เอ๋อร์ที่ใกล้จะครบขวบมาร่วมงานสังสรรค์ของตระกูลเหยา
ตอนนี้ยัยหนูน้อยซูจิ่นเย่ว์กำลังหัดเดินแล้ว และกำลังร้องเสียงอู้อี้ เหยาเยี่ยนอวี่โปรดปรานเด็กคนนี้มาก จึงอุ้มมาไว้บนตักแล้วหยอกนางหัวเราะอย่างรื่นเริง ยัยหนูย้อยเริ่มรู้ว่าใครเป็นคนแปลกหน้า ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ใช้เวลาไม่นานก็ตีสนิทกับนางได้ นางจึงต้องการให้ท่านน้ารองคนนี้อุ้มทั้งวัน จวบจนถึงตอนกลางคืนก็จะนอนกับท่านน้ารองให้ได้ ทำเอาเหยาเฟิ่งเกอเรียกบุตรีคนนี้ของตนเองว่าลูกหมาป่าตาขาว
เพราะเวลาล่วงเลยไปนาน เหยาเฟิ่งเกอจึงอยู่ค้างคืนไม่กลับจวน ตอนกลางคืน หลังจากซูจิ่นเย่ว์หลับไป แม่นมของนางถึงจะอุ้มออกจากอ้อมกอดของเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเฟิ่งเกอที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เปรยด้วยเสียงเบา พร้อมพูดด้วยยิ้มๆ “เลี้ยงยัยหนูน้อยมาทั้งคืน คงจะเหนื่อยแล้วใช่ไหม”
“กำลังดี ข้ายังดีใจที่นางติดข้าเยี่ยงนี้ด้วยซ้ำ” เหยาเยี่ยนอวี่ชื่นชอบเด็กน้อยตลอดมา โดยเฉพาะยัยหนูน้อยที่มีหน้าตาละมุนละไมเช่นนี้
เหล่าสาวใช้เข้าไปบอกว่าเตรียมอ่างอาบน้ำเสร็จแล้ว สองพี่น้องไปอาบน้ำด้วยกัน ทว่ากลับอาบกันคนละอ่าง
เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่ตรงขอบอ่างอาบน้ำอย่างสุขสบายแล้วใช้มือตักกลีบดอกไม้มาโรยบนเรือนร่างพลางตบเบาๆ เหยาเฟิ่งเกอพิงอยู่ตรงขอบอ่างและปล่อยให้สาวใช้เฉียวซินที่เพิ่งซื้อตัวมาจากตลาดค้าทาสมานวดไหล่ให้นาง นางหันไปมองทางฝั่งอ่างอาบน้ำของเหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ข้างๆ พลางพูดขึ้นยิ้มๆ “ครั้งนี้เจ้ากลับมา ควรจัดการกับเรื่องใหญ่แล้วหรือเปล่า”
เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามยิ้มๆ “เรื่องใหญ่อะไร”
เหยาเฟิ่งเกอพูดขึ้ยยิ้มๆ “ยังจะแกล้งทำเป็นซื่ออีก เรื่องงานสมรสของเจ้าล่าช้ามาครึ่งปีแล้ว ไม่ควรช้ากว่านี้แล้ว”
“เรื่องนี้ข้าคงไม่ต้องกังวล ยังมีพี่สาวและพี่สะใภ้รองอยู่นี่” เหยาเยี่ยนอวี่พูดอย่างรื่นเริง
“เจ้ากลับไม่เคยกังวลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” เหยาเฟิ่งเกอส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีสองพี่น้องที่ไม่ค่อยสนิทกันตั้งแต่เด็ก ตอนนี้กลับพูดคุยเล่นกันฉันท์พี่น้องที่มีมารดาผู้ให้กำเนิดคนเดียวกัน
เหยาเยี่ยนอวี่นึกถึงท่าทีของซูอวี้เสียงก็อดกังวลใจแทนเหยาเฟิ่งเกอไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงถามว่าตอนนี้นางมีชีวิตที่ดีหรือไม่
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มจางๆ แล้วพูดขึ้น “ก็ดี ชีวิตก็แค่เท่านี้แหละ”
กล่าวจบ เหยาเฟิ่งเกอก็เปรยด้วยเสียงเบาพลางผายมือให้เหล่าสาวใช้ออกไป ถึงจะเอ่ยถามขึ้น “ปีที่แล้ว มีวันหนึ่งที่พี่เขยเจ้าออกไปด้านนอก ตอนกลับมาสีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก หลายวันผ่านไป เขาไม่พูดไม่จาและไม่ได้ร่าเริงเหมือนที่ผ่านมา ข้ายังนึกว่าเขาไปเจอภูตผีปีศาจ หรือไปโดนใครทำไสยศาสตร์มาหรือเปล่า หลังจากนั้นก็ได้ยินมาว่าเขาไปสำนักแพทย์ ไม่รู้ว่าตอนนั้นไปเจอเรื่องอะไรมา น้องสาวบอกข้าหน่อยได้หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ตัวดี ทว่านางกลับไม่ได้รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย จากนั้นก็เล่าเรื่องในตอนนั้นตามความเป็นจริงให้เหยาเฟิ่งเกอฟังหนึ่งรอบ เหยาเฟิ่งเกอได้ยินจึงเย้ยหยันตัวเอง ทำได้เพียงส่ายหัว กลับไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เหยาเฟิ่งเกอและเหยาเยี่ยนอวี่ก็นอนบนตั่งไม้เดียวกัน เหยาเยี่ยนอวี่อดถามขึ้นไม่ได้ “พี่สาวไม่ได้โกรธข้าใช่หรือไม่”
“โกรธ? ข้าจะโกรธใครได้เล่า” เหยาเฟิ่งเกอยิ้มน้อยๆ “น้องสาวไม่ได้ทำอะไรเขาเสียหน่อย แค่ฆ่าแกะตัวหนึ่งต่อหน้าเขาก็เท่านั้น เขากระทำผิดแล้วหวาดระแวงเอง ข้าจะโทษน้องสาวได้อย่างไร สำหรับพี่เขยเจ้า…ข้าไม่มีอะไรจะโกรธตั้งนานแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่อดรู้สึกเห็นใจนางไม่ได้ ทว่านางก็รู้ว่าสำหรับเหยาเฟิ่งเกอแล้ว คงหย่าร้างกับซูอวี้เสียงไม่ได้แน่นอน อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางควรมากความ ในตระกูลมีพี่ชายและบิดาอยู่ แล้วนางที่เป็นน้องสาวอนุภรรยาจะมีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยวได้อย่างไร ตอนนี้จึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
ช่วงบ่ายของเช้าวันที่สอง เหยาเฟิ่งเกอพาบุตรีกลับจวนติ้งโหว พอเข้าประตูก็เห็นหมอหลวงออกจากเรือนของลู่ฮูหยิน ท่าทางดูเร่งรีบ หน้าตาของหมอหลวงคนนี้กลับไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย
เหยาเฟิ่งเกอเห็นแล้วก็นึกว่าลู่ฮูหยินไม่สบาย จึงได้เดินไปน้อมคำนับลู่ฮูหยินในเรือนของนาง กลับเห็นซูอวี้เสียงเดินออกจากประตูพระจันทร์ สีหน้าของเขาดูปิติยินดีอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เมื่อครู่ข้ามองออกว่าคนคนนั้นเหมือนจะเป็นหมอหลวง ท่านแม่ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
ซูอวี้เสียงส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม แล้วบอกว่า ‘ไม่เป็นเช่นไร’ จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าตามลำพัง อีกอย่างสีหน้าของเขาดูรื่นเริงยินดี แม้กระทั่งท่าทางตอนเดินก็เหมือนกำลังตัวลอยอยู่กลางอากาศ เหยาเฟิ่งเกอเห็นจึงรู้สึกฉงนสงสัยขึ้นมาทันที
ตอนกลางคืน หู่พั่วก็รู้เรื่องนี้มาจากจวี๋หง สาวใช้ชั้นล่างในเรือนลู่ฮูหยิน ที่แท้สาวใช้เอกของลู่ฮูหยินตงเหมยกำลังตั้งครรภ์ให้ซูอวี้เสียงได้สามเดือนแล้วนี่เอง หมอหลวงยังบอกว่าน่าจะเป็นได้บุตรชาย
เหยาเฟิ่งเกอได้ยินคำพูดนี้ จึงหัวเราะอย่างฝืนทน “มิน่าล่ะ ท่านพี่ถึงดูปิติยินดีเช่นนี้”
หู่พั่วกลับกัดฟันกรอด “จวี๋หงบอกว่าฮูหยินยังไม่รู้เรื่องนี้ ทว่าบ่าวคิดว่าคงไม่มีทางไม่รู้แน่นอน! ไม่แน่ฮูหยินอาจจะรู้เห็นเป็นใจก็ได้ ก่อนหน้านี้นางก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้”
เหยาเฟิ่งเกอเปรยขึ้น “เจ้าก็ไม่ต้องเคร่งเครียดหรอก นี่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรน่ากังวล”
หู่พั่วแค่นเสียงอย่างเกรี้ยวโกรธ พร้อมพูด “เหตุใดคุณหนูถึงได้ใจกว้างขึ้นมาล่ะ!”
เหยาเฟิ่งเกอมองหู่พั่วเพียงพริบตา แล้วเปรยด้วยความประหม่า “เฮ้อ! ข้าก็ตำหนิอะไรเจ้าไม่ได้ เดิมทีข้าเองที่เป็นคนทำร้ายเจ้า หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก ก็คงจะให้เจ้ากับซานหูไปเลือกคู่ครองดีๆ จะได้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า คงไม่ต้องคอยมาเจอเรื่องแย่ๆ กับข้าเช่นนี้”
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ บ่าวเองที่ยินดีจะรับใช้ท่านตลอดชีวิต” ภายในใจของหู่พั่วจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ นางยังรู้ดีว่าเหยาเฟิ่งเกอเป็นที่พึ่งพิงของตนเอง จึงไม่เคยกล้าไปเข้าข้างใคร
เหยาเฟิ่งเกอมองสีหน้าของหู่พั่วพร้อมเปรยขึ้น “ไม่ว่าอย่างไร สตรีคนหนึ่งต้องมีบุตรอย่างน้อยคนหนึ่งถึงจะสำคัญที่สุด ครรภ์ของเจ้าก็ไม่ได้เรื่อง ผ่านไปนานเช่นนี้แล้ว เจ้าว่าหากเจ้ามีบุตร อนาคตข้าก็ช่วยเจ้าเลี้ยงดูได้ พวกเราสองคนจะได้มีที่พึ่งพิง!”
หู่พั่วรู้สึกกดดันอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะภรรยาเอกไม่มีบุตรชาย เหล่าอนุภรรยาก็ตั้งครรภ์ไม่ได้ และเมียบ่าวคนใดที่เคยร่วมสังวาทก็ต้องส่งยาคุมไปให้ตลอด ในภายหลัง ซูอวี้เสียงก็มัวแต่ลุ่มหลงกับของใหม่จนลืมของเก่า นี่ก็ผ่านมาครึ่งค่อนปีแล้วที่เขาไม่ได้มาหานาง ต่อให้นางอยากมีบุตรมากเพียงใด ก็คงตั้งครรภ์ไม่ได้หรือเปล่า
เหยาเฟิ่งเกอมองสีหน้าของหู่พั่ว แล้วนางจะไม่รู้เกี่ยวกับความคิดในใจของหู่พั่วได้อย่างไร ดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “ตอนนี้เจ้าบอกข้ามาว่าอยากมีบุตรชายหรือไม่”
หู่พั่วสะดุ้งตกใจทันที แล้วรีบหันไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเหยาเฟิ่งเกอ “ฮูหยินยังไม่มีบุตรชายเอก บ่าวมิบังอาจเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอแค่มองหู่พั่ว ยังคงยิ้มจางๆ และเอ่ยถาม “เจ้าจะสนใจว่าจะมีบุตรชายเอกหรือบุตรีเอกไปไยกันเล่า เจ้าแค่บอกว่าเจ้าอยากมีบุตรของเจ้าหรือไม่”
หู่พั่วมองเหยาเฟิ่งเกอไปสักพักใหญ่ แล้วค่อยๆ น้อมก้มกราบลงพร้อมพูดขึ้น “บ่าวจะทำตามคำสั่งของฮูหยินทุกอย่างเจ้าค่ะ”
“ดี อนาคตหากเจ้ามีบุตรชายหรือบุตรี จะได้คอยเติบโตเป็นเพื่อนเย่ว์เอ๋อร์” รอยยิ้มของเหยาเฟิ่งเกอเคล้าด้วยความขมขื่น บุตรชายหรือ เกรงว่าชีวิตนี้นางคงมีไม่ได้แล้ว ทว่าต่อให้เป็นบุตรชายอนุภรรยา ก็จะไม่ยอมให้บ่าวคนอื่นมาแทนที่อยู่แล้ว
เช้าวันที่สอง ตอนเหยาเฟิ่งเกอไปน้อมคำนับลู่ฮูหยิน นางจึงค้อมตัวลงต่ำให้ลู่ฮูหยินต่อหน้าเฟิงฮูหยินน้อย ซุนฮูหยินน้อย และเฟิงซิ่วอวิ๋น และยังคงค้อมตัวไม่ยอมลุกขึ้น
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่” ลู่ฮูหยินมองเหยาเฟิ่งเกอด้วยความสงสัย
“ท่านแม่” เหยาเฟิ่งเกอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตั้งแต่สะใภ้แต่งงานกับคุณชายสามมา จนถึงตอนนี้ก็ห้าปีแล้ว วันนี้สะใภ้มีบุตรเป็นเย่ว์เอ๋อร์เพียงคนเดียว นางช่างโดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งนัก ถึงแม้ในเรือนมีอนุภรรยามากมาย ทว่าวันนี้กลับไม่ได้ใจคุณชายสามไป สะใภ้รู้สึกว่าตงเหมยเป็นสตรีที่ดี จึงอยากเก็บนางไว้ในเรือน เพื่อให้คุณชายสามมาเรือนของสะใภ้บ้าง เลยอยากให้นางมาเป็นอี๋เหนียง ท่านแม่ได้โปรดเห็นด้วยกับเรื่องนี้”