หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 379 ละทิ้งงานทุกอย่าง ความสุขของงานวิวาห์ (5)
ตอนที่ 379 ละทิ้งงานทุกอย่าง ความสุขของงานวิวาห์ (5)
ขบวนรับตัวเจ้าสาวของจวนแม่ทัพมาเยือนพร้อมโปรยดอกกล้วยไม้และดอกหอมหมื่นลี้มาตลอดทาง หลังจากที่รับเจ้าสาวแล้วก็กลับทางเดิมไม่ได้ ดังนั้นจึงอ้อมไปอีกทาง
ถนนเส้นนี้เป็นทางที่เลือกไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ อีกอย่างก่อนหน้านี้ก็เดินอยู่บนถนนเส้นนี้ไปสิบกว่ารอบแล้ว พวกเขาจึงคำนวณเวลาได้อย่างแม่นยำ จ้าวต้าเฟิงและเก๋อไห่พาทหารคนสนิทของจวนแม่ทัพแอบแฝงตัวอยู่ท่ามกลางชาวบ้านมากมาย กลัวว่าจะมีใครมาก่อกวนงานวิวาห์ครั้งนี้
เกี้ยวเจ้าสาวของเหยาเยี่ยนอวี่ต้องผ่านโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง อวิ๋นเหยาและอวิ๋นคุนกำลังนั่งจิบชาพลางเสวนากันบนตั่งไม้
“ท่านพี่ แสดงว่าเกี้ยวเจ้าสาวของพี่หันก็ต้องผ่านทางนี้ใช่หรือไม่”
“ไม่รู้” งานวิวาห์ของอวิ๋นคุนถูกกำหนดโดยฮ่องเต้ คู่ครองของเขาคือบุตรีเอกของจิ้งโหว นามว่าเกาเสวี่ยเจียว
เกาเสวี่ยเจียวเป็นสตรีเช่นไร กลับไม่ได้ทำให้อวิ๋นคุนจดจำได้แม้แต่น้อย ถึงแม้งานชมบุปผาของฮองเฮาและฮูหยินจิ้งโหวในครั้งนั้น ทำให้บุตรีของนางและอวิ๋นคุนได้พบหน้ากัน ทว่าภายในใจของอวิ๋นคุนกลับมีเพียงหันหมิงชั่น ไม่ว่าเกาเสวี่ยเจียวจะพูดอะไร หรือจะทำอะไร แม้กระทั่งนางมีรูปลักษณ์หน้าตาอย่างไร เขาก็ไม่เคยใส่ใจแม้แต่น้อย
อวิ๋นเหยาละสายตาไปทางอื่น แล้วหันไปมองฝูงชนที่กำลังตะโกนเสียงดังบนถนนอย่างรื่นเริงยินดี จู่ๆ ก็นึกถึงการกระทำของตนเมื่อปีที่แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสายิ่งนัก
บทเพลงลำนำราตรีภิรมย์ดังมาจากที่ไกล คณะวงดนตรีกำลังนำขบวนเจ้าสาวเดินจากปากซอยมายังฝั่งนี้
ข้ารับใช้หกคนที่อยู่ด้านหน้าถือหีบที่ติดตัวอักษรมงคลสีแดงไว้ในมือ ในหีบเต็มไปด้วยกลีบดอกหอมหมื่นลี้และดอกกล้วยไม้ พวกเขาโรยกลีบดอกไม้มาตลอดทาง ทำให้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยไปไกล
อวิ๋นคุนมองสีหน้านิ่งเฉยของน้องสาว ทันใดนั้นก็ทอดถอนหายใจ การเปลี่ยนแปลงของน้องสาวทำให้เขาได้รับการปลอบโยน ทว่าพอนึกถึงเหตุผลที่ทำให้น้องสาวเปลี่ยนไป กลับรู้สึกเอ็นดูนางมาก หากจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักกาลเทศะแล้วต้องเจอกับบทเรียนเพื่อทำให้คนเราเติบโต บทเรียนของน้องสาวถือว่าค่อนข้างแย่จริงๆ
คุณหนูเหยานั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงน้ำชาด้านข้าง ตอนนี้นางกำลังงีบหลับอยู่ในเกี้ยว
เหตุเพราะเวลามงคลเป็นยามเฉิน นางถูกแม่นมปลูกให้ตื่นมาแต่งกายตอนดึกดื่น คืนนั้นแม่นมยังกำชับนางอะไรมากมาย หนิงฮูหยินน้อยสั่งให้คนเตรียมภาพวาดฤดูวสันต์ที่เย็บเข้าเล่มมาสองเล่ม เหตุเพราะนางสนใจในภาพวาดทิวทัศน์ จึงพลิกดูภาพวาดอย่างเพลิดเพลินจนหลงลืมเวลาไป กล่าวได้ว่านางไม่ได้หลับมาทั้งคืน
เฮ้อ! คนที่ลุ่มหลงในกามราคะย่อมนำพาชีวิตสู่หายนะได้โดยง่ายจริงๆ คุณหนูเหยาพิงอยู่บนเกี้ยวแล้วหลับตาครุ่นคิดด้วยความน่าเสียดาย ไม่ควรเคลิบเคลิ้มกับการชมภาพวาดเล่มนี้เลย ทำให้เสียเวลานอนอันเลอค่าไปเลย
เสียงดนตรีหนวกหูเกินไปจริงๆ เกี้ยวเจ้าสาวเองก็โงนเงนเกินไป คุณหนูเหยาพิงอยู่ด้านในและกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ ทว่าไม่ได้หลับใหล
เกี้ยววางลงบนพื้น ขณะนี้เสียงประทัดดังขึ้น ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ธนูไม้ไผ่กระทบตรงม่านเกี้ยวเจ้าสาว ทุกคนต่างส่งเสียงดัง ม่านเกี้ยวถูกสี่เหนียงเลิกขึ้น มือหยาบกร้านข้างหนึ่งยื่นไปตรงหน้า
เหยาเยี่ยนอวี่คลุมผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาวค่อยๆ ยื่นมือไปวางลงบนมือใหญ่ข้างนั้น จากนั้นก็ถูกเขากุมไว้แนบแน่น
“ฮูหยิน ถึงจวนเราแล้ว” เว่ยจางที่กุมมือเหยาเยี่ยนอวี่ไว้กำลังพานางลงมาจากเกี้ยวเจ้าสาว
หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่ลงจากเกี้ยว ก็มีสี่เหนียงยัดผ้าต่วนผืนแดงไว้ในมือของนาง จากนั้นเหยาเยี่ยนอวี่และเว่ยจางก็ก้าวเข้าไปตรงประตูจวนแม่ทัพ
พิธีหลังจากนี้ซับซ้อนยิ่งนัก ทุกๆ ฝีเท้าย่อมต้องก้าวเดินด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงอดทนกับพิธีกรรมอันซับซ้อนนี้ ถูกเว่ยจางจูงมือก้าวเดินทีละก้าวด้วยความเชื่อฟัง ด้านข้างยังคงมีสี่เหนียงคอยเตือนสตินางอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายนางก็ถูกส่งตัวเข้าไปในเรือนหอ นางนั่งลงข้างเตียง รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย อยากจะดึงหมอนมาหนุนแล้วพักผ่อนจวนใจจะขาด
“คุณหนูเหนื่อยไหม” ชุ่ยเวยเอาถุงบุหงาสีแดงที่เตรียมไว้แต่เนิ่นๆ ออกมาเพื่อนำเงินตำลึงให้สาวใช้ที่คอยรับใช้ในเรือนนี้ แล้วสั่งให้พวกนางออกไปได้ จากนั้นเดินหน้าไปเอาหมอนและเบาะขนาดใหญ่ไปปูตรงเตียงแล้วค่อยพยุงเหยาเยี่ยนอวี่ไปนั่งลงอีกครั้ง พร้อมทั้งเปรยด้วยเสียงแผ่วเบา “งานด้านหน้ายังไม่จบเจ้าค่ะ คุณหนูรีบพักสักประเดี๋ยวเดียวเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม” เหยาเยี่ยนอวี่พิงลงบนหมอนแล้วถอนหายใจยาวๆ พร้อมทั้งพร่ำบ่น “เหนื่อยจวนจะตายแล้ว”
“คุณหนูอย่าพูดคำนี้สิ” ชุ่ยเวยหันไปมองนางเพียงปราดเดียว ยังดีที่เฝิงหมัวมัวไม่ตามมาด้วย
ที่ผ่านเหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว จึงผายมือแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เจ้าไปเฝ้าประตูก่อนเถอะ ข้าจะพักผ่อนสักพัก”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยนำหยกมงคลพระราชทานจากฮองเฮาเหนียงเหนียงที่อยู่ในอ้อมแขนของเหยาเยี่ยนอวี่ไปวางไว้ข้างหมอนยวนยาง แล้วค่อยเดินออกไปเฝ้าประตู คุณหนูเหยาพิงอยู่ข้างเตียง งีบไปชั่วครู่เดียว
และตอนที่นางกำลังฝัน เกี้ยวเจ้าสาวสีแดงอันเป็นสิริมงคลทางฝั่งเซียวโหวก็ไปถึงหน้าประตูใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว
สินเดิมเจ้าสาวของหันหมิงชั่นได้ขนเข้าจวนจิ้งไห่โหวตั้งแต่วันที่สิบเดือนเก้าแล้ว ตอนนี้ในขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมีเพียงวัตถุโบราณและโฉนดที่ดินอันล้ำค่าเท่านั้น
เกี้ยวเจ้าสาวของหันหมิงชั่นก็ต้องเดินทางอ้อมเช่นเดียวกัน และเป็นเส้นทางที่ผ่านโรงน้ำชาที่อวิ๋นคุนและอวิ๋นเหยานั่งจิบชาพอดี
อวิ๋นเหยามองอวิ๋นคุนปั้นหน้านิ่งเฉย จึงเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบ “ท่านพี่รู้สึกทรมานใจหรือไม่”
อวิ๋นคุนไม่ตอบ แต่กลับถามกลับ “เมื่อครู่เห็นเกี้ยวเจ้าสาวของเหยาเยี่ยนอวี่ผ่านทางนี้ เจ้ารู้สึกทรมานใจไหมล่ะ”
“ข้าไม่รู้สึกทรมานเลย” อวิ๋นเหยาส่ายหน้า “นางคู่ควรกับเว่ยจางแล้ว ส่วนข้า…ไม่คู่ควร”
อวิ๋นคุนรู้สึกปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง เขาใช้หลังมือลูบแก้มของอวิ๋นเหยา แล้วพูดเสียงต่ำ “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่คู่ควร แค่ไม่เหมาะสม เจ้าวางใจเถอะ ข้าต้องหาบุรุษดีๆ ให้เจ้าแน่นอน”
อวิ๋นเหยายิ้มจางๆ แล้วเอ่ยถามต่อ “ท่านพี่คงไม่เกลียดพี่หันใช่ไหม”
“ไม่เกลียด” อวิ๋นคุนยิ้มจางๆ “เซียวจื่อรุ่นต้องมอบความสุขให้นางตลอดชีวิตแน่นอน” ส่วนข้าแค่หวังว่านางจะมีความสุขจนถึงบั้นปลายชีวิต
และซูอวี้เหิงในตอนนี้ กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพระพักตร์พระโพธิสัตว์ในเรือนสงบจิตตรงหลังสวนจวนติ้งโหว สองมือประสานพลางอธิษฐานอย่างเงียบๆ หวังว่าพระโพธิสัตว์จะคุ้มครองพี่หันหมิงชั่นและจิ้งไห่โหวเซียวหลิน พี่เหยาเยี่ยนอวี่และแม่ทัพเว่ย ให้พวกเขาเป็นคู่ครองที่ครองรักกันจนแก่จนเฒ่า และมีความสุขตลอดไป
ตอนแรกเหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่ข้างเตียง หลังจากนั้นก็รู้สึกหลับไม่สบาย จึงขยับหมอนไปข้างล่างแล้วนอนลงบนเตียง
หลังจากนั้น เว่ยจางก็ได้เข้ามาหนึ่งครั้ง พอเห็นว่านางกำลังหลับสบาย ต่อให้มงกุฎหงส์บนศีรษะของนางเบี้ยว นางก็ไม่สนใจอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วพยุงนางพลางเอามงกุฎหงส์และผ้าคลุมศีรษะลง จากนั้นปัดเม็ดเกาลัด พุทรา และอื่นๆ ที่อยู่บนเตียงออก และวางนางลงหมอน เช่นนี้นางจะได้หลับสบายขึ้น แล้วตนเองค่อยออกไปดื่มสุรากับแขกเหรื่อต่อ
แท้จริงแล้ว ตอนที่รู้ว่าเซียวหลินได้จัดพิธีสมรสวันเดียวกันตนเอง เขาก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา เขารู้ว่าถึงแม้ราชครูเซียวจะไม่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปี ทว่าแค่เขากลับมา เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นในเมืองหลวงส่วนมากก็ต้องไปดื่มสุราร่วมแสดงความยินดีที่จวนจิ้งไห่โจวเป็นแน่ ส่วนจวนของตน คงมีแขกเหรื่อที่เป็นสตรีมากยิ่งกว่า แม้กระทั่งเหล่าสตรีจากจวนต่างๆ อาจจะไม่มาเยือนก็ได้ แค่ให้คนส่งของขวัญร่วมแสดงความยินดีมาเท่านั้น
เขาในฐานะแม่ทัพครอบครองอำนาจทางการทหารต้องไม่ไปมาหาสู่กับขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่แล้ว นี่คือหลักความคิดอย่างหนึ่งที่อยู่ในใจของเว่ยจางตลอดมา
เมื่อเป็นเช่นนี้ เฮ่อซี ถังเซียวอี้ และคนอื่นๆ คอยดื่มสุรามงคลเป็นเพื่อนเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊และคนในตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊ เช่นนี้ตนเองจะได้กลับเรือนหออย่างมีสติ โดยไม่มึนเมาเพราะฤทธิ์สุรา