หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 384 เข้าเรือนหอ งานเลี้ยงสหายคนสนิท กลับไปเยี่ยมเยียนต้นตระกูล (5)
- Home
- หมอหญิงจ้าวดวงใจ
- ตอนที่ 384 เข้าเรือนหอ งานเลี้ยงสหายคนสนิท กลับไปเยี่ยมเยียนต้นตระกูล (5)
ตอนที่ 384 เข้าเรือนหอ งานเลี้ยงสหายคนสนิท กลับไปเยี่ยมเยียนต้นตระกูล (5)
พูดตามตรง ตอนแรกการสมรสกับจวนติ้งโหวนั้นเป็นเพียงผลประโยชน์ทางฝั่งตระกูลเท่านั้น
จวนติ้งโหวเป็นสายเลือดขององค์หญิงต้าจั่ง ถึงแม้ตำแหน่งโหวจะไม่ตกเป็นของซูอวี้เสียง ทว่าการที่เขาเกิดเป็นบุตรชายของตระกูลชั้นสูงคงไม่ย่ำแย่อะไร ต่อให้คิดในมุมแย่ที่สุดก็ยังมีวงศ์ตระกูลคอยคุ้มครอง ต่อให้ภรรยาของเขาจะไม่ถูกแต่งตั้งให้มีตำแหน่งใดๆ ก็ตาม ทว่าก็เขาก็เลี้ยงดูให้ภรรยาและบุตรมีชีวิตที่สุขสบายได้
ว่ากันว่าตระกูลชั้นสูงที่แท้จริงต้องสืบทอดทายาทถึงสามร้อยปี ส่วนตระกูลเหยา แม้จะเป็นตระกูลปัญญาชนมาหลายรุ่น ทว่าบรรพบุรุษก็แค่ร่ำรวยมั่งมีเท่านั้น
ปู่และบิดาของเหยาเหยียนอี้เป็นขุนนางที่สอบผ่านการคัดเลือก รากฐานของตระกูลเหยาจึงแย่ไปกว่าตระกูลชั้นสูงมาก หากอยากจะพัฒนาวงศ์ตระกูล วิธีที่ได้ผลดีที่สุดก็คือการสมรสกับบุตรหลานในตระกูลชั้นสูง
เมื่อกล่าวถึงรูปลักษณ์ หน้าตาของซูอวี้ผิงก็ไม่ได้ถือว่าแย่เลย เขามีเสน่ห์ที่องค์ชายในตระกูลชั้นสูงควรมี กล่าวได้เสนาะหูหน่อย ก็คือบุรุษที่หล่อเหลาและสง่าผ่าเผย ทว่าหากกล่าวได้ไม่เสนาะหูก็คือลูกผู้ลากมากดีที่เอาแต่ใจ ทุกคนล้วนเป็นตาทิพย์ เพียงแต่ว่าจะใช้มุมมองใดในการมองคนอื่นเท่านั้น
เหมือนวันนี้ เมื่อเทียบกับเว่ยจางที่อยู่ด้านข้าง เหยาเหยียนอี้มองอย่างไรก็รู้สึกว่าซูอวี้เหิงดูด้อยกว่าซูอวี้เสียงหลายเท่า
โดยเฉพาะตอนที่หนิงฮูหยินน้อยเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ของจวนติ้งโหวให้เหยาเหยียนอี้ฟัง เหยาเหยียนอี้ก็คิดอยากจะแฉเรื่องนี้ออกมา อยากให้หออาลักษณ์หลวงจัดการกับจวนติ้งโหว และให้ฮ่องเต้ทรงลงโทษพวกเขาอย่างสาสม
พูดถึงตอนสุดท้าย ความสัมพันธ์ที่เกิดการการสมรส ต่อให้อยากจะตัดขาดกันอย่างไรก็ตัดขาดไม่ได้ เหยาเหยียนอี้รู้สึกเกลียดชังในใจ ทว่ากลับหาเรื่องบาดหมางกันไม่ได้
แท้จริงแล้ว ก่อนหน้านี้เหยาเหยียนอี้ก็ให้หนิงฮูหยินน้อยเสวนากับเหยาเฟิ่งเกอดีๆ ตอนนี้ตระกูลเหยามีบุตรีที่มากความสามารถทางการแพทย์อย่างไร้เทียมทานแล้ว หรือว่านางยังกลัวเรื่องคลอดบุตรอีก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้มีเย่ว์เอ๋อร์แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะมีบุตรไม่ได้ แล้วจะปล่อยให้มีเมียบ่าวเพื่อสร้างความลำบากให้กับตนเองไปไยกัน
แค่เหยาเฟิ่งเกอตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว บอกว่าตนคลอดเย่ว์เอ๋อร์แล้วรู้สึกร่างกายเสื่อมโทรมลงไปเยอะมาก บอกว่าตนไม่อยากจะเสี่ยงอันตรายอีกต่อไป
ดังนั้นเหยาเหยียนอี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทว่าภายในใจลึกๆ ก็ยังรู้สึกขุ่นเคือง เขารู้ หากไม่ใช่เพราะว่าซูอวี้เสียงร่วมสังวาสไปทั่ว น้องสาวของตนจะเสียใจได้ถึงปานนี้ได้อย่างไร
ประจวบเหมาะกับงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่มีคนนอกแม้แต่คนเดียว เหยาเหยียนอี้จึงใช้สุราที่ดื่มไปเพียงไม่กี่คำพูดลองใจซูอวี้เสียง “เหวินติ้ง พี่ชายของเจ้าไปเมืองเฟิ่งสักพักแล้ว มีสารใดส่งกลับมาหรือไม่”
“อา มีจดหมายส่งกลับมาเมื่อหลายวันก่อน บอกว่าเขาสุขสบายดี อย่างไรสงครามก็จบลงแล้ว เหลือเรื่องเล็กน้อยต้องจัดการ พี่ใหญ่น่าจะรับมือไหวอยู่” ซูอวี้เสียงไม่ได้ใส่ใจกับการที่พี่ใหญ่ไปเฝ้ารักษาการณ์ในเมืองเฟิ่ง ในสายตาของเขา นี่เป็นเพราะจวนติ้งโหวถูกฮ่องเต้เมินเฉยเท่านั้น มิเช่นนั้นตอนออกรบในครั้งนั้น เหตุใดฮ่องเต้ถึงลืมส่งคนของจวนติ้งโหวไปออกรบเล่า
เหยาเหยียนอี้แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ของเจ้าต้องมีความสามารถอยู่แล้ว มิเช่นนั้นฮ่องเต้ก็คงไม่รับสั่งให้เขาไปประจำการที่นั่นหรอก”
“พี่รองกล่าวถูก” ก่อนหน้านี้ซูอวี้เสียงดูหมิ่นเหยาเหยียนอี้ รู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษที่มีหัวการค้าเกินไป และไม่มีทางทำการใหญ่ ทว่าความรู้สึกนั้นเหมือนค่อยๆ จืดจางไป โดยเฉพาะวันนี้ที่เขาสร้างจวนใหม่ ภายในใจของเขาก็รู้สึกประหลาดมาก
ตระกูลเหยามีเงินทองมากเพียงใดกันเชียว ภายในเวลาเพียงครึ่งค่อนปีกลับสร้างจวนขนาดใหญ่กลางเมืองได้?
วันนี้คุณชายสามซูมัวแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ เหยาเฟิ่งเกอก็ไม่ได้เอาเงินให้เขาใช้จ่ายอย่างไม่มีขีดจำกัดอีกต่อไป สุดท้ายเขาถึงจะรู้ซึ้งถึงคำว่าเงินเป็นสิ่งที่หอมหวาน!
“แล้วเจ้าล่ะ มีแผนการชีวิตอย่างไร” เหยาเหยียนอี้จึงเบี่ยงประเด็น แล้วไปพูดถึงซูอวี้เสียงแทนทันที
“ข้า?” ซูอวี้เสียงเงยหน้ามองเว่ยจางเพียงปราดเดียว ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว วันนี้มีแม่ทัพเป็นน้องเขย ก็เริ่มรังเกียจเขาที่เป็นคุณชายสามซูแล้วหรือ
เพียงแต่ว่าแม่ทัพเว่ยไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย ยังคงกินอาหารของตนเอง
“เช่นนั้น เจ้าคงอยู่ว่างๆ ต่อไปไม่ได้แล้วหรือเปล่า” เหยาเหยียนอี้เอ่ยถามด้วยยิ้มจางๆ
“ธุระในจวนมีมากมายที่ต้องให้ข้าคอยสะสาง พี่ใหญ่ไม่อยู่ ท่านพ่อก็มีสุขภาพร่างกายไม่สู้ดีนัก ข้าต้องคอยกลุ้มใจเรื่องทุกอย่างในจวนอยู่ตลอดเวลา” ซูอวี้เสียงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เบี้ยเลี้ยงที่จวนติ้งโหวมอบให้เขาเป็นค่าว่างงานหนึ่งปี ยังไม่พออาหารและสุรามื้อเดียวของเขาด้วยซ้ำ และสาเหตุที่เขาว่างงาน นั่นก็เพราะเขาไม่มีงานให้ทำ
“ไม่ใช่ว่ายังมีคุณชายรองหรือ” เหยาเหยียนอี้ถามกลับ
“พี่รองก็มีงานของเขา” ซูอวี้เสียงปากแข็ง
“ตอนนี้เจ้าเป็นบิดาแล้ว ตอนว่างก็คิดวางแผนเกี่ยวกับอนาคตของตนให้มากเถอะ ตอนนี้ในที่ทำงานของพกเรายังขาดอยู่หนึ่งตำแหน่ง หากเจ้าต้องการงาน ก็มาทำเป็นการชั่วคราวได้” เหยาเหยียนอี้ที่เป็นพี่ชายภรรยา การที่เขาให้คำแนะนำน้องเขย ก็เป็นการแสดงออกมาจากใจจริง
“ไม่ต้องหรอก งานในศาลาว่าการของพี่รอง ข้าไม่ค่อยถนัด” ภายในใจของซูอวี้เสียงไม่ได้สนใจงานในศาลาว่าการ กรมป่าไม้มีอะไรน่าทำเล่า หรือว่าจะให้คุณชายสามไปเด็ดสมุนไพรหรือไร
เหยาเหยียนอี้เหลือบตามองเขาเพียงชั่วพริบตา วันนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับการกลับจวนต้นตระกูลหลังออกเรือนของเหยาเยี่ยนอวี่ ถึงแม้จะไม่มีคนนอก ทว่าก็เอาเรื่องของซูอวี้เสียงมาเป็นประเด็นสำคัญในวันนี้ไม่ได้ เขาจึงให้คำแนะนำเพียงสองสามคำเท่านั้น หากยังไม่ได้สติ คราวหน้าจะสั่งสอนเขาอีกครั้ง ดังนั้นคุณชายรองจึงยกจอกเหล้าขึ้นแล้วยื่นไปทางฝั่งเว่ยจาง พร้อมพูดยิ้มๆ “เสี่ยนจวิน มา ข้าขอคำนับเจ้าด้วยสุราจอกนี้”
“มิบังอาจ พี่รองเชิญ” เว่ยจางพลันยกจอกขึ้นแล้วชนกับของเหยาเหยียนอี้ จากนั้นทั้งสองต่างก็ต่างดื่มสุราจอกของตัวเอง แล้วยิ้มแลกเปลี่ยนสายตา
ท่าทีเช่นนี้ ในสายตาของซูอวี้เสียงนี้เป็นการดูหมิ่นและการรังเกียจชัดๆ คุณชายสามซูก็ไม่ได้เป็นคนโง่ หากนี่ก็ยังดูไม่ออก เขาก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ดังนั้นทันใดนั้นสีหน้าของเขาดูย่ำแย่มาก
เพียงแต่ว่า เผชิญกับบทสนทนารื่นเริงของทั้งสองคน ซ้ำยังเห็นความโกรธของเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ เขากลับสร้างเรื่องผิดใจกันในตอนนี้ไม่ได้ ทำให้เขาต้องอดกลั้นอารมณ์นี้ไว้ในใจ ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยเสียงเรียบ “ขอโทษที ข้าขอไปสุขาเสียหน่อย” จากนั้นก็ลุกขึ้น
เหยาเหยียนอี้หันกลับไปสั่งการสาวใช้ชั้นอายุสิบสองปีหนึ่งคน “พาคุณชายสามไปสุขาที”
สาวใช้ชั้นล่างค้อมตัวลงพลางตอบกลับด้วยเสียงเสนาะหู “คุณชายสามเชิญเจ้าค่ะ”
ซูอวี้เสียงพยักหน้าให้เว่ยจาง แล้วหันหลังเดินจากไป
เหยาเหยียนอี้ถึงจะเอ่ยถามเว่ยจาง “ตอนนี้หมอทหารแซ่หลิวเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
เว่ยจางแสยะยิ้มเย็นชา “หลายวันมานี้ยุ่งเป็นพิเศษ จึงไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ทว่าก่อนหน้านี้ข้าได้ยินบ่าวของข้ามารายงานว่า ชีวิตของเขาไม่ค่อยดีนัก”
“อ้อ?” เหยาเหยียนอี้อยากฟังละเอียดกว่านี้
เว่ยจางเอ่ยเสียงต่ำ “ค่ายทหารทางเขตตอนเหนือเป็นเขตสงวนที่ห้ามเข้าออก ผู้ที่คอยเฝ้ารักษาการณ์อยู่ด้านในล้วนเป็นบุตรเอกของฮ่องเต้ ล้วนเป็นคนที่ยากที่จะปรนนิบัติรับใช้ เขาได้เลื่อนขั้นตั้งสามลำดับเช่นนี้ หมอทหารคนอื่นจะพึงพอใจหรือ”
“อืม เป็นเช่นนั้น” เหยาเหยียนอี้พยักหน้า จริงๆ การจัดการกับหมอทหารคนอื่นก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก ทว่าคนคนนี้กลับเป็นคนของเหิงอ๋อง
องค์ชายใหญ่ถูกกักขังตัวไว้ในจวนเป็นเวลาครึ่งปี ทั้งยังถูกปลดตำแหน่งต่างๆ หลังจากนั้นเหิงอ๋องอวิ๋นหมินก็ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้อย่างช้าๆ ฮ่องเต้ไม่อยู่เมืองหลวง ตอนนี้เหิงอ๋องก็คือผู้ปกครองแคว้น ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าสร้างเรื่องบาดหมางใจกับเขา