หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 387 จวนซูทะเลาะแก่งแย่ง จวนเว่ยรักใคร่ปรองดอง (3)
ตอนที่ 387 จวนซูทะเลาะแก่งแย่ง จวนเว่ยรักใคร่ปรองดอง (3)
“วันนี้เรื่องที่คุณชายสามซูบอกกับตู้เจวียน ข้าบังเอิญไปได้ยินพอดี” เหยาเยี่ยนอวี่พูดถึงเรื่องนี้ ก็ปั้นหน้าเยือกเย็น “น้าตู้ซานสิ้นใจเพื่อข้า ข้าไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีกับบุตรีของนางแน่นอน ทั้งๆ ที่เขาเป็นบุรุษ กลับพูดเช่นนี้กับเด็กคนหนึ่ง ไม่ควรสั่งสอนเขาหน่อยหรือ”
“ควร” เว่ยจางลอบกัดฟัน พอรู้ความจริงเข้า นี่น่าจะสั่งสอนเบาไป
“พอเถอะ เจ้าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว พวกเราไปดูฝั่งโน้นหน่อยเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือจับคางของเว่ยจาง ทรงคางของเขาเป็นส่วนที่นางโปรดปรานที่สุด
“มิเช่นนั้นพวกเรากลับจวนทีเดียวเลย มีอะไรน่าดูเล่า” เว่ยจางไม่อยากอยู่ต่อที่นี่แม้แต่น้อย กลับจวนตนเองแหละดีที่สุดแล้ว อยากทำอะไรก็ทำอะไร
เหยาเยี่ยนอวี่ตบแก้มเขาแล้วยิ้มเบาๆ พร้อมพูดขึ้น “อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติพี่สาวของข้าหน่อยไหม แล้วยังมีฮูหยินซื่อจื่อแห่งจวนติ้งโหวอยู่อีก”
แม่ทัพเว่ยปั้นหน้าดื้อดึง มือใหญ่ของเขาไม่ปล่อยเอวของเหยาเยี่ยนอวี่เสียที
“อย่าดื้อสิ” เหยาเยี่ยนอวี่จุมพิตลงบนคางของเขาหนึ่งที
“ตอนดึกเจ้าต้องฟังข้านะ” เว่ยจางถือโอกาสต่อรอง
“ได้” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าอย่างจนปัญญา การเผชิญกับสุนัขหมาป่าที่หิวโหยคนนี้ นางไม่ใช้วิธีเช่นนี้ไม่ได้ ทำได้เพียงตอบตกลงไปก่อน ถึงตอนกลางคืนค่อยหาวิธีรับมือเอา
ตอนนี้ซูอวี้เสียงถูกยกไปอยู่นอกห้องอักษรของเหยาเหยียนอี้ และได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดสะอาด ใบหน้าและทรงผมกลับสู่สภาพที่สะอาดสะอ้าน ทว่าหมอหลวงยังมาไม่ถึงเสียที เขานอนตะแคงข้างอยู่บนตั่งไม้ ซ้ำยังร้องอย่างทุกข์ทรมานไม่หยุด
ทันทีทันใดที่เหยาเยี่ยนอวี่และเว่ยจางไปถึง เหยาเฟิ่งเกอก็ดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไปคุยข้างๆ
“เกิดอะไรขึ้น” เหยาเฟิ่งเกอเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
เดิมทีเหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่อยากปิดบังนาง จึงพูดตามความจริงไป จากนั้นค่อยพูดต่อ “พี่สาวไม่เชื่อ ก็ลองเรียกตู้เจวียนมาถามได้เลย”
เหยาเฟิ่งเกอเปรยด้วยเสียงต่ำ “ข้ามีอะไรไม่เชื่อด้วยเล่า”
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเหยาเฟิ่งเกอทำหน้าหม่นหมอง แล้วเอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด “พี่สาวกลัวว่าไม่รู้จะกลับไปรายงานเรื่องนี้ที่จวนอย่างไรใช่ไหม”
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มอย่างจนปัญญา “นี่มีอะไรน่ากลัวด้วยเล่า เขาเป็นคนตกน้ำเอง เจ้าไม่ได้เป็นคนผลักเขาเสียหน่อย”
“แต่อย่างไรเหตุการณ์ก็เกิดในจวนของพวกเรา” พอเหยาเยี่ยนอวี่นึกย้อนดูแล้วก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่ผิดที่นางสั่งสอนคนแซ่ซู ทว่าไม่ควรลงไม้ลงมือในจวนตนเอง
“ไม่เป็นไร” เหยาเฟิ่งเกอกลับรู้สึกอุ่นใจ ทำอย่างไรได้ เขาแค่ตกลงไปในน้ำเท่านั้น ไม่ได้ถึงแก่กรรมเสียหน่อย
มากสุดก็แค่ล้มจนกลายเป็นคนพิการ และต้องดูแลเขาตลอดชีวิต อย่างไรก็มีบ่าวไพร่คอยปรนนิบัติ เขาจะได้ไม่ต้องออกมาเที่ยวหยอกล้อยั่วเย้าหญิงเล่นไปทั่ว แล้วยังพากลับจวนทำเมียไม่หยุด เช่นนั้นนางจะได้ไม่ต้องคอยปวดหัวอีก
ประจวบกับตอนนี้หมอหลวงมาพอดี เหยาเฟิ่งเกอตบมือของเหยาเยี่ยนอวี่เบาๆ แล้วเดินไปเฝ้าอยู่ข้างตั่งไม้
หมอหลวงเข้ามาก็น้อมคำนับ จากนั้นตรวจร่างกายของซูอวี้เสียงหนึ่งรอบค่อยกล่าวว่า “ไม่ได้มีอาการร้ายแรงอะไรขอรับ เพียงแต่ว่ากระดูกก้นกบน่าจะแตก ต้องพักฟื้นตัวสักพัก แค่ทายาบรรเทาปวดข้อปวดกระดูกที่หมอหลวงเหยาคิดค้นสามชุด แล้วอย่าเพิ่งลงเตียงมาเดินเล่นเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพียงเท่านี้ ก็น่าจะไม่เกิดอาการร้ายแรงอะไรแล้วขอรับ”
เหยาเฟิ่งเกอกล่าวขอบคุณทันที “ลำบากหมอหลวงแล้ว”
“ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ” หมอหลวงท่านนี้ต้องรู้ว่านี่เป็นคนในครอบครัวของเหยาเยี่ยนอวี่ จึงรู้สึกค่อนข้างมีความใกล้ชิด จากนั้นเขาก็พูดยิ้มๆ “ยาทาข้าน้อยคงไม่ให้คุณชายสามแล้ว ประเดี๋ยวฮูหยินค่อยไปเอากับใต้เท้าเหยา”
เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว”
หนิงฮูหยินน้อยที่อยู่ในเรือนอดพึมพำเสียงต่ำมิได้ “เขาดื้อดึงไม่ยอมให้น้องสาวดูอาการให้เขาเช่นนั้น สุดท้ายก็ต้องใช้ยาที่น้องสาวคิดค้นอยู่ดี”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “ก็ไม่รู้ว่าข้าไปสร้างเรื่องบาดหมางใจอะไรกับเขา เขากลับกีดกันข้ามากเช่นนี้”
หนิงฮูหยินน้อยได้ยินซูอวี้เสียงยังคงร้องเจ็บ ด้วยเหตุนี้พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หมอหลวงไม่ได้บอกว่าไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วหรือ เหตุใดเขายังร้องอย่างทุกข์ทรมานเช่นนี้เล่า หากปล่อยเขากลับไปด้วยสภาพเช่นนี้ น้องใหญ่คงต้องเจอเรื่องเครียดแน่เลย”
เหยาเยี่ยนอวี่โบกมือเรียกชุ่ยเวยมา แล้วสั่งให้นางเอายาเม็ดแก้ปวดที่ตนปรุงเองให้เหยาเฟิ่งเกอสามสี่เม็ด เหยาเฟิ่งเกอสั่งให้สาวใช้ป้อนยาให้ซูอวี้เสียงหนึ่งเม็ด ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ ถึงจะทำให้เขาหยุดร้อง
เหยาหยียนอี้กลัวว่าเหยาเฟิ่งเกอกลับจวนไปแล้วไม่รู้ว่ารายงานเรื่องนี้กับลู่ฮูหยินอย่างไร จึงเป็นคนส่งซูอวี้เสียงกลับจวนเอง
ลู่ฮูหยินเห็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนออกจากจวนอย่างรื่นเริงยินดี ขากลับกลับถูกคนยกกลับมา ทันใดนั้นก็เหมือนหัวใจแตกสลาย นางร้องห่มร้องไห้ไปด้วยและสบถหยาบไปด้วย ซ้ำยังหันไปตำหนิเหยาเฟิ่งเกอ
เหยาเหยียนอี้รีบเดินหน้าไปน้อมคำนับ “ฮูหยินอย่าเพิ่งขุ่นเคืองใจเลย เรื่องนี้เกิดจากคุณชายสามเองที่ดื่มสุรามึนเมาจนไม่ระวังตกจากสะพาน ตอนนั้นพวกเราต่างก็ไม่อยู่ แล้วจะโทษคนอื่นได้อย่างไร”
ลู่ฮูหยินต้องไม่เชื่ออยู่แล้ว จึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ปรนนิบัติสามีเป็นหน้าที่ของภรรยา รู้ทั้งรู้ว่าเขาดื่มสุรา เหตุใดถึงยังปล่อยให้เขาเดินไปเรื่อยเปื่อยตามลำพังด้วยเล่า”
เหยาเหยียนอี้ยิ้มอย่างเลือดเย็น “ขอพูดอะไรที่ไม่กลัวว่าฮูหยินจะโกรธเคืองหน่อยเถอะ ต่อให้คนของตระกูลเหยาของข้าไม่รู้หลักเหตุผลนี้ ทว่าก็ถือว่ารู้พื้นฐานที่ดีทั้งสี่ของสังคมอยู่บ้าง ไม่มีทางทำพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อย หากฮูหยินไม่กลัวว่าคนอื่นจะรู้ปัญหาครอบครัวของฮูหยิน ข้าจะสั่งให้สาวใช้ในจวนมาเป็นพยาน คุณชายสามอ้างว่าจะไปสุขา กลับขวางทางหาเรื่องสาวใช้ในจวนของข้า จากนั้นเขาเองที่ไม่ระวังตกน้ำ ตอนนี้น้องสาวข้ากลับเป็นฝ่ายผิดไปแล้ว? ฮูหยินรักใคร่และเอ็นดูบุตรชาย ตระกูลเหยาของพวกเราไม่รักและเอ็นดูบุตรีตนเองหรือไร”
ลู่ฮูหยินถูกเหยาเหยียนอี้ฉีกหน้าจนพูดอะไรไม่ออก แค่เพียงเปรยไม่หยุด “ช่างเถอะๆ! ตอนนี้องค์หญิงต้าจั่งทรงสวรรคต ดูท่าแล้วไม่ว่าใครหน้าไหนก็เหยียบหัวของพวกเราได้เสียแล้ว!”
เหยาเหยียนอี้ยังคิดจะพูดอะไรต่อ กลับถูกซูอวี้อันขัดขวาง “คุณชายรองอย่าได้ขุ่นเคืองใจเลย มารดาของข้าเพียงเอ็นดูน้องสามเท่านั้น ถึงได้พูดจาออกมาตามอารมณ์ไป” ขณะที่กล่าว ซูอวี้อันหันไปสั่งการผัวจื่อ “ยังไม่รีบพาคุณชายสามกลับไปพักฟื้นตัวในเรือนอีก”
ลู่ฮูหยินต้องรู้สึกโกรธเคืองอยู่แล้ว จึงหันไปสบถหยาบซูอวี้อัน เฟิงฮูหยินน้อยพลันเดินหน้ามาเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่อย่าขุ่นเคืองใจเลย น้องสามเป็นเช่นนี้ คุณชายเหยาจะไม่รู้สึกปวดใจได้อย่างไร ต่อให้เขาไม่รักใคร่น้องสาม ก็คงจะจะไม่ได้ไม่รักและเอ็นดูในน้องสาวตนเองหรือเปล่า”
ซุนฮูหยินพลันเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างๆ “ท่านแม่ได้โปรดสงบอารมณ์ พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูก ท่านดูเย่ว์เอ๋อร์ร้องไห้จนหายใจไม่ทันเสียแล้ว หากไม่เห็นแก่หน้าผู้ใหญ่ ก็ควรเห็นแก่เด็กหน่อยไหม”
ลู่ฮูหยินได้ยินคำพูดนี้ ภายในใจก็ยิ่งรู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ จึงชี้หน้าตวาดใส่เหยาเฟิ่งเกอ “เจ้าเป็นคนคลอดบุตรชายออกมาไม่ได้ หรือเจ้าอิจฉาบุตรชายของข้า?”
เหยาเฟิ่งเกอได้ยินคำพูดนี้จึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วหันไปมองลู่ฮูหยินพลางพูดว่า “ไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านแม่ก็เขียนใบหย่าให้ข้าแล้วรีบส่งข้ากลับต้นตระกูลสิ ท่านแม่จะได้หาสะใภ้ที่ดีกว่าข้าให้คุณชายสามไรเล่า ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลว่าคุณชายสามจะไม่มีทายาทอีก”
“เจ้า!” ลู่ฮูหยินรู้สึกเครียดจนพูดไม่ออก จะเป็นลมเป็นแล้ง
“พอเถอะ!” ท่านซูโหวกลับจากด้านนอก เสียงตะโกนอย่างโมโหเพียงเสียงเดียวก็ทำให้เสียงทะเลาะถกเถียงในเรือนหยุดลงทันที “แยกย้ายกลับจวนตนเอง หากใครคิดจะหาเรื่องอีก ข้าจะให้ไปเฝ้าสุสานองค์หญิงต้าจั่ง!”
เสียงตะคอกโมโหนี้ทำให้ในเรือนมีเสียงร้องห่มร้องไห้ดังขึ้น
ซูกวงฉงใช้สายตาโมโหกวาดมองลู่ฮูหยิน แล้วสั่งด้วยเสียงทุ่มต่ำ “พวกเจ้าพยุงฮูหยินเข้าไปด้านในเถอะ”
เหยาเฟิ่งเกอและเฟิงฮูหยินน้อยพลันค้อมตัวขานรับ พวกนางพยุงลู่ฮูหยินคนละข้าง แล้วเดินจากไปทันที