หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 389 จวนซูทะเลาะแก่งแย่ง จวนเว่ยรักใคร่ปรองดอง (5)
ตอนที่ 389 จวนซูทะเลาะแก่งแย่ง จวนเว่ยรักใคร่ปรองดอง (5)
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า!” แม่ทัพเว่ยขมวดคิ้วเป็นปมแล้วยื่นมือดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด พร้อมพูดอย่างไม่พอใจ “พวกเราเพิ่งจะแต่งงานกันไม่กี่วัน เจ้าก็พูดเช่นนี้แล้วหรือ เจ้าว่าเจ้าควรถูกลงโทษหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่มองเขาอย่างนิ่งสงบแล้วเอ่ยถามอย่างดื้อดึง “อย่าเบี่ยงประเด็น ตอบข้ามาก่อน”
เว่ยจางดึงนางออกจากอ้อมอก แล้วก้มหน้าจุมพิตตรงหว่างคิ้วของนาง พร้อมพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “มีเจ้าอยู่ ข้าจะไปมีใจให้คนอื่นได้อย่างไร สตรีใดเล่าที่เทียบเทียมกับฮูหยินของข้าได้ แม้กระทั่งเอามาช่วยเจ้ายกรองเท้าก็ยังไม่คู่ควรเลย”
เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะเสียงเบา กลับถอนหายใจภายในใจ คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่ความเท็จ เพียงแต่ว่านางไม่รู้ว่าจะมัดใจเขาได้นานเพียงใด
หลังจากนิ่งงันไปสักพัก เว่ยจางก็ขานเรียกด้วยเสียงเบาอย่างฉับพลัน “เยี่ยนอวี่?”
“อืม?” เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้าด้วยความแปลกใจ “มีเรื่องอะไร”
“ร้องเพลงให้ข้าฟังสักเพลง” เว่ยจางพูดด้วยเสียงทุ่มต่ำ
“ข้าร้องไม่เป็น” เหยาเยี่ยนอี่ยิ้มจางๆ
“ตอนอยู่ในจวนติ้งโหวเมื่อคราที่แล้ว ข้าเคยได้ยินเจ้าเล่นกู่ฉิน” เว่ยจางเอาคางทาบลงบนศีรษะของเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “เสนาะหูจับใจยิ่งนัก”
เหตุเพราะน้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเกินไป ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ปฏิเสธกลับไม่ได้ หรือบางทีความรู้สึกนั้นอาจเต็มล้นในใจของตนไปแล้ว และอยากใช้เสียงเพลงสื่อความรู้สึกนั้นออกมา ดังนั้นเลยเริ่มร้องเพลงเพลงหนึ่งที่นางเคยชื่นชอบออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
เพียงเพราะมองเจ้าในท่ามกลางผู้คนมากมายเพียงพริบตาเดียว ก็ลืมใบหน้าของเจ้าไม่ได้อีก ฝันว่าวันหนึ่งจะได้เจอเจ้าโดยบังเอิญ จากนี้ไป ข้าเริ่มเฝ้าคะนึงถึงเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
ตอนเฝ้าคะนึงถึงเจ้า เจ้าอยู่สุดขอบฟ้า ตอนเฝ้าคะนึงถึงเจ้า เจ้าอยู่ตรงหน้าข้า ตอนเฝ้าคะนึงถึงเจ้า เจ้าอยู่ในความทรงจำของข้า ตอนเฝ้าคะนึงถึงเจ้า เจ้าอยู่ในใจของข้า
เชื่อว่าชาติปางก่อนพวกเราเคยพบเจอกัน เรื่องราวความรักในวันข้างหน้าไม่มีวันแปรเปลี่ยนไป ข้ายอมใช้ทั้งชีวิตนี้รอคอยให้เจ้าหันมามอง ข้ายอมอยู่เคียงข้างเจ้าและจะไม่จากไปตลอดกาล…
นางร่ำร้องด้วยเสียงแผ่วเบา เสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลราวอยู่ในฝัน
เว่ยจางกลับฟังอย่างเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลง เสียงของนางเสนาะหูจับใจราวกับฝันไป
ทั้งสามีภรรยาเคลิบเคลิ้มไปด้วยเสียงเพลงตลอดทางกลับจวน หลังจากลงจากรถม้า เว่ยจางยังคงกุมมือเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ไม่ปล่อย ทั้งสองกลับเข้าไปในเรือนเยี่ยนอันภายใต้สายตาของบ่าวไพร่ที่มองอย่างปลื้มปิติและเก้อเขิน
หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่บอกว่าเหนื่อย จึงไปอาบน้ำก่อน เว่ยจางซ้อมดาบอยู่กลางสวนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม หลังจากฝึกซ้อมจนเหงื่อท่วมตัวก็เข้าไปอาบน้ำ พอเข้าไปในเรือนนอน กลับเห็นฮูหยินของเขาที่อยู่ในม่านแดงหลับสนิทไปแล้ว
ดังนั้นแม่ทัพเว่ยลอบถอนหายใจอย่างแรง แล้วหยิบตำรายุทธศาสตร์มาอ่านครึ่งชั่วยาม หลังจากที่อ่านจนง่วงถึงจะขึ้นเตียงนอน เพียงแต่ตอนที่ขยับเข้านอนข้างกายนาง ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจตอนหลับใหลของนาง ร่างกายของเขามีเสียงตะโกนออกมาว่า ต้องการนาง ต้องการนาง ต้องการตัวนาง!
ดังนั้น ผู้ที่เป็นแม่ทัพทำได้เพียงทำตามความต้องการของตน เขาดึงนางเข้ามากอด ไม่ว่านางจะหลับลึกเพียงใด เขากดศีรษะของนางไม่ให้ขยับไปไหน แล้วจุมพิตลงบนริมฝีปากของนางอย่างดุเดือด ความต้องการร่วมสังวาสนี้มิอาจยับยั้งไว้ได้ คล้ายกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ลิ้มลอง
เหยาเยี่ยนอวี่จึงตื่นเพราะหายใจไม่ออก จากนั้นก็พึมพำด้วยเสียงต่ำ แล้วยกมือผลักเขาออก
จุมพิตของเขากลับลึกซึ้งกว่าเดิม ลิ้นของเขาพัวพันกับลิ้นของนาง ส่วนกำปั้นที่อยู่กลางอกของเขาค่อยๆ คลายออก
“ตื่นหรือยัง” เว่ยจางยิ้มจางๆ “หากตื่นแล้ว ข้าจะได้เริ่มเลย”
“น่าเกลียด” เหยาเยี่ยนอวี่หลับตาตวาดใส่เขา “ข้ายังเจ็บอยู่เลย ไสหัวไปให้พ้น”
นางใช้แรงดิ้นออกจากอ้อมกอดของเขา ทั้งยังยกขาถีบเขา เท้าที่เปลือยอยู่ถีบลงตรงหน้าอกของเขาจนเกิดเสียงดัง
“เป็นไปไม่ได้แน่นอน ข้าเป็นคนทายาให้เจ้าเองกับมือ ฤทธิ์ของยาตัวนั้นข้าก็เคยลองมาแล้ว เจ้าช่างไม่เป็นเด็กดีเอาเสียเลย” เขากลับจับเท้าของนางไว้ แล้วจุมพิตลงบนฝ่าเท้าของนาง
“อย่าจุมพิตบนเท้าข้า” น้ำเสียงของนางคล้ายกับว่ากำลังขอร้องอ้อนวอน ทำให้นางที่ได้ยินเสียงของตนเองยังรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางจับแก้มตนไว้ แค่ได้ยินเสียงหายใจแรงของตน จากนั้นก็ได้ยินเขาบอกว่า “ขอร้องข้าตอนนี้คงจะสายไปหรือเปล่า”
…
หลังจากพวกเขาบรรเลงเพลงรักจนจบลง ฮูหยินเหยาใคร่ว่าถูกทำให้ทุกข์ทรมานปางตาย สุดท้ายก็ใช้กำปั้นชกลงบนแผงอกที่แข็งแรงอย่างไร้เรี่ยวแรงแล้วหลับใหลไป
ชีวิตหลังจากนี้ กลับว่างเป็นอย่างมาก
เหตุเพราะทั้งสองเพิ่งจะแต่งงานกัน แม่ทัพจึงไม่เอ่ยถามถึงกิจธุระทางการทหาร ส่วนหมอหลวงเหยาเองก็ไม่ได้ไปสำนักแพทย์ สองสามีภรรยาพูดคุยเล่นกันในเรือน และออกมาเดินเล่นกลางสวนดอกไม้เป็นบางเวลา
ฮูหยินเหยาจึงถือโอกาสนี้เดินวนทั่วจวนแม่ทัพไปหนึ่งรอบ นอกจากเรือนของข้ารับใช้แล้ว นางก็เดินสำรวจทุกที่ เว่ยจางยังสั่งให้ฉังเหมาเปิดคลังเก็บของ แล้วเขาก็พาฮูหยินตนเองเข้าไปดูของสะสมที่เขาเก็บตุนมาหลายปี
เหยาเยี่ยนอวี่จึงตกตะลึงกับของสะสมเหล่านี้ ก่อนหน้านี้เขาเหมือนเคยบอกตนเองว่าในจวนแม่ทัพมีของล้ำค่านับไม่ถ้วน ตอนนั้นนางแค่รู้สึกว่าเขากล่าวเกินจริง ทว่าวันนี้ดูทว่าแล้ว มันเป็นของที่นับไม่ถ้วนจริงๆ
กล่าวได้ว่าเหล่าแม่ทัพล้วนเป็นโจรเศรษฐี แค่ดูจากทรัพย์สมบัติแต่ละหีบในคลังของจวนแม่ทัพนี้ ฮูหยินเหยาจินตนาการออกว่าคนพวกนี้ทำตัวเหมือนสุนัขป่าหรือเสือที่บุกเข้าไปถิ่นศัตรู จากนั้นก็ปล้นทรัพย์ทั้งหมดมา
เว่ยจางพาเหยาเยี่ยนอวี่ดูหีบใส่ไข่มุกและพลอยเสร็จก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่หันไปมองด้วยความแปลกใจ ก็เห็นนางทำท่าทางที่เหมือนจะครุ่นคิดอะไรอยู่ จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “คิดอะไรของเจ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่มองคลังของจวนด้วยนัยน์ตาที่ว่างเปล่า ตอนนี้แม้กระทั่งฉังเหมายังถูกไล่ออกไปด้านนอก ในคลังกว้างใหญ่นี้มีเพียงพวกเขาสองคน ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามอย่างไม่แยแส “ของพวกนี้เจ้าไปปล้นมาใช่หรือไม่”
“จุ๊!” แม่ทัพเว่ยขมวดคิ้วอย่างพอใจ “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้เหล่า นี่เป็นบำเหน็จจากการรบชนะต่างหาก”
“ทรัพย์สินที่ปล้นมาจากข้าศึกไม่ใช่ว่ามีเพียงฝ่าบาทที่ได้รับหรือ จากนั้นฝ่าบาทค่อยให้บำเหน็จตามความชอบธรรมของแต่ละคน และของพวกนี้?” เหยาเยี่ยนอวี่ยกหีบขึ้นมาหนึ่งอัน ด้านในเป็นพลอยแดงที่เจิดจรัสอย่างมาก “นี่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนสิ่งที่ฝ่าบาทพระราชทาน”
“ฝ่าบาทจะเอาของพวกนี้ไปทำอะไร จะเสวยก็เสวยไม่ได้ ตอนเกิดอุทกภัยและภัยแล้ง ใช้เป็นอาหารบรรเทาทุกข์ก็ไม่ได้”
“…” ฮูหยินเหยามองสามีของตน ใบหน้าเคล้าด้วยความฉงนสงสัย…นี่เป็นคำพูดที่แม่ทัพควรกล่าวหรือ
“วางใจเถอะ ทุกครั้งที่ปล้นทรัพย์สินข้าศึกก็ต้องส่งมอบให้ฝ่าบาทก่อน ทว่าก็ต้องอนุญาตให้เหล่าแม่ทัพเก็บไว้เป็นบางส่วนอยู่แล้ว” มิเช่นนั้นใครจะยอมสู้สุดชีวิตเพื่อฮ่องเต้เล่า
เดิมทีเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ควรหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว ฮ่องเต้แค่ขอให้เหล่าแม่ทัพทุกคนสร้างสันติภาพ ส่วนทรัพย์สินที่ปล้นมาจากข้าศึกจะเข้าคลังหลวงหรือไม่ นั่นก็คือเรื่องของกระทรวงการคลัง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหล่านักรบที่ยอมเสียเลือดเสียเนื้ออยู่แล้ว
จู่ๆ เหยาเยี่ยนอวี่ก็นึกถึงเรื่องที่ตนรักษาหันซังเกอให้หายในครั้งนั้น และนึกถึงเพชรพลอยพวกนั้นที่จวนเจิ้นกั๋วกงส่งมา นัยน์ตาของนางเป็นประกายทันที “ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพหรือทหารผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาการ ก็ทำเรื่องเช่นนี้หรือ”
เว่ยจางยิ้มจางๆ “เจ้าสนใจเรื่องเยี่ยงนี้ไปไยกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่ก็แย้มยิ้ม “เช่นนั้นข้าควรสนใจเรื่องอะไร”
“เจ้าแค่สนใจว่าจะใช้สอยของพวกนี้อย่างไรก็พอ” เว่ยจางเอากุญแจไว้ในมือของเหยาเยี่ยนอวี่
“ข้าไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเพชรพลอย เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะทำให้เสียของหมดหรือ”
“เจ้าจะทำอย่างไรก็เชิญตามสบาย” เว่ยจางยกมือขยี้ปลายผมของนางด้วยความรักใคร่ สิ่งของที่บุรุษแลกมาด้วยชีวิต เดิมทีก็เพื่อที่จะให้สตรีที่หมายปองได้ใช้สอยอยู่แล้ว