หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 39 ความรักใคร่ผูกพันของพี่น้อง
ชุ่ยเวยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหนู เหตุใดอยู่ดีๆ จึงต้องต้มยาด้วยเจ้าคะ หากกลิ่นยาโชยออกไป เหล่าพระอาจารย์ในวัดฉือซินต้องถามเป็นแน่”
“เช่นนั้นก็บอกไปว่าท้องไส้ของข้าไม่ดีสิ เลยต้องกินยาต้มสองห่อเพื่อปรับความสมดุล เจ้าไปหาหม้อใบใหญ่มา แล้วต้มสมุนไพรเหล่านี้ให้หมดในคราเดียว”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยรู้ว่าคุณหนูของตนต้องมีแผนการร้ายแน่นอน แต่นางก็เชื่อฟังคำสั่งของเหยาเยี่ยนอวี่ทุกอย่าง และไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ เพียงทำตามคำสั่งอย่างเดียวเท่านั้น
ชุ่ยเวยใช้หม้อใบใหญ่ต้มยา จนได้ยาต้มสีเข้มกว่าครึ่งหม้อ จากนั้นนางก็ยกหม้อเข้าไปให้เหยาเยี่ยนอวี่ดู
เหยาเยี่ยนอวี่ใช้ช้อนตักยาต้มขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเอาเข้าปากแล้วชิม ปากเล็กๆ ของนางพูดขึ้นพลางส่ายหน้าในคราเดียวกัน “ช่างดื่มยากยิ่งนัก”
“คุณหนูจะดื่มยาต้มนี้หรือเจ้าคะ” ชุ่ยเวยตกใจ
“ไม่ใช่เช่นนั้น เจ้านำผ้าบางมากรองยาต้มนี้สองรอบ จากนั้นนำไปวางให้หายร้อนแล้วค่อยใส่น้ำผึ้งกับมันเทศลงไป และนำมาปั้นให้กลายเป็นเม็ดยาขนาดใหญ่เท่าดวงตามังกร
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ นางขานรับแล้วยกหม้อออกไป
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงทำงานตลอดทั้งคืน นำยาต้มครึ่งหม้อนั้นมาปั้นเป็นยาเม็ดกว่าแปดสิบเม็ด เช้าตรู่วันถัดไป ตอนนำไปให้เหยาเยี่ยนอวี่ดูนั้น นางก็ใช้มือหยิบเม็ดยาขึ้นมาหนึ่งเม็ด จากนั้นก็กัดมันในปากไปเคี้ยวส่วนหนึ่ง อืม กลิ่นสมุนไพรคละคลุ้งกับน้ำผึ้งและมันเทศ ทำให้รสชาติดียิ่งนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงใส่ยาทั้งเม็ดเข้าปาก หลังจากที่เคี้ยวเสร็จแล้วก็กลืนลงไป
“คุณหนู?” ชุ่ยเวยขมวดคิ้วเป็นปมแล้วเกลี้ยกล่อม “ยานั้นไม่อาจกินเรื่อยเปื่อยได้นะเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางโบกมือ “ไม่เป็นไรหรอก ข้าต้องชิมสมุนไพรนับร้อยชนิด เพื่อเป็นหมอที่ดี”
ชุ่ยผิงที่ปรนนิบัติรับใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเหยาเยี่ยนอวี่อยู่นั้น ก็พูดขึ้น “ชิมสมุนไพรนับร้อยชนิด? นี่ถือเป็นการเอาร่างกายของตนไปล้อเล่นไม่ใช่หรือเจ้าคะ ทำเช่นนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ!”
“ไม่เป็นไร มีหรือที่ข้าจะกินจนตนเองล้มป่วย นี่เป็นยาที่ช่วยปรับสภาพของท้องไส้เท่านั้น” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้พูดสิ่งใดให้มากความ หลังจากที่สวมใส่เสื้อผ้าและล้างหน้าล้างตาเสร็จ แล้วนางก็ออกไปเดินเล่นออกกำลังกายด้านนอกเรือน
หลังจากที่มาอยู่วัดฉือซิน ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของการมาที่นี่ก็คือนางสามารถตื่นเช้าแล้วออกไปเดินเล่นรอบๆ วัดนับสิบนับร้อยรอบตามที่นางพึงพอใจ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าคนในจวนติ้งโหวจะกล่าวหาว่าตนสติวิปลาส
นางกินยาสามครั้งต่อวัน ทุกเช้า กลางวัน เย็น อย่างตรงต่อเวลา
เริ่มแรกก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ชุ่ยเวยและชุ่นผิงจึงนึกว่าเป็นยาปรับสภาพท้องไส้จริงๆ พวกนางเลยรู้สึกวางใจ ไม่ได้กล่าวอะไรมากความอีก
ทว่าเมื่อถึงวันที่ห้า แขนของเหยาเยี่ยนอวี่เริ่มมีตุ่มแดง นางไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือคันอะไรเลย เพียงแต่ตอนที่มองตุ่มแดงก็จะรู้สึกไม่สบายตาเท่านั้น
ชุ่ยเวยเห็นเป็นคนแรก ข้อมือขาวดุจหิมะมีตุ่มแดงขึ้น ช่างเป็นที่สะดุดตายิ่งนัก ชุ่ยเวยในเวลานั้นตกใจอย่างยิ่ง จึงรีบเลิกแขนเสื้อของเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นมาดู พบว่าแขนทั้งสองข้างของนางมีตุ่มแดงขึ้นเต็ม ด้วยเหตุนี้จึงขานเรียกเฝิงหมัวมัว
เฝิงหมัวมัวได้ยินเช่นนั้นจึงรีบมา เมื่อเห็นตุ่มแดงบนเรือนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่ นางตกใจจนร้องไห้ “สวรรค์! ได้โปรดอย่าได้เป็นไข้ทรพิษเลย! จะทำเช่นไรดี!”
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา แม้แต่ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเองก็ร้องไห้ไปด้วย ชุ่ยเวยร้องไห้พลางต่อว่าเฝิงหมัวมัว “หมัวมัวท่านอย่าพูดจาเหลวไหลสิ! ก็แค่ตุ่มแดงเท่านั้น จะเป็นไข้ทรพิษได้อย่างไร”
ในราชวงศ์ต้าอวิ๋น ไข้ทรพิษไม่มียาป้องกันใดๆ ถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคน ผู้ที่ป่วยเป็นไข้ทรพิษนั้นรอดชีวิตเพียงหนึ่งในเก้าเท่านั้น ผู้ที่สามารถรอดชีวิตกลับมามีน้อยมาก
เมื่อสาวใช้ที่คอยติดตามปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายร้องไห้ บรรดาสาวใช้และผัวจื่อที่อยู่ด้านนอกต่างตื่นตกใจยิ่งนัก พวกนางยืนเบียดกันตรงหน้าประตูแล้วมองเข้ามาในเรือน ผัวจื่อสองคนที่เหยาเฟิ่งเกอส่งมา เมื่อได้ยินเรื่องนี้ พลันเบียดเข้ามาด้านในเรือน พอเห็นตุ่มแดงบนแขนของเหยาเยี่ยนอวี่ พวกนางก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
“ไอ้หยา คุณหนูของบ่าว! ทำเช่นไรดีเจ้าคะ!” หนึ่งในผัวจื่อพลันย่ำเท้าอย่างกระวนกระวาย แต่ไม่กล้าเดินเข้ามา
ผัวจื่ออีกคนรีบพูดขึ้น “รีบสั่งให้คนกลับเข้าเมือง ไปรายงานฮูหยินน้อยสาม จากนั้นก็ไปตามหมอหลวงมา!”
“เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น! ไปตามหมอหลวงโดยด่วน!” ผัวจื่อพลันสั่งบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างอย่างตื่นตระหนก “ยังไม่รีบสั่งให้คนกลับเข้าเมืองอีก!”
บ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ส่งข่าวนั้นรีบทำตามคำสั่งแล้วออกไปในทันที เหลือเพียงกลุ่มคนที่กำลังตื่นตกใจกันในเวลานี้
เฝิงหมัวมัวจับผ้าเช็ดหน้าแล้วเช็ดน้ำตา “คุณหนูไปนอนบนเตียงก่อนเจ้าค่ะ บ่าวจะไปเชิญพระอาจารย์มาดูอาการ ไม่รู้ว่าจะมีวิธีอะไรหรือไม่”
ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่ได้ร้อนใจแม้แต่น้อย นางกลับบอกกับเฝิงหมัวมัวและทุกคน “พวกเจ้าออกไปเถอะ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิต กังวลไปก็ไร้ประโยชน์”
ชุ่ยเวยไม่อาจอดทนได้ นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง ‘โฮ’ เฝิงหมัวมัวร้อนใจจนยืนไม่นิ่ง “นี่มันเวลาใดแล้ว อย่าเอาแต่ร้องไห้เลย!”
ทว่าสาวใช้ที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นอกจากร้องไห้แล้วนั้น พวกนางจะทำสิ่งใดได้อีก
เรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่ป่วยเป็นไข้ทรพิษจึงถึงหูของเหยาเฟิ่งเกอทันที เหยาเฟิ่งเกอในเวลานั้นกำลังใช้ช้อนเงินตักขี้เถ้าธูปจากกระถางธูป เมื่อได้ยินเช่นนี้มือของนางก็สั่นเทา ทำให้ขี้เถ้าที่ยังมีไฟร้อนร่วงหล่นลงตรงอุ้งมือของนาง มือที่ขาวดุจหิมะถูกลวกจนโป่งพอง
“นายหญิงระวังเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวพลันสั่งให้บ่าวรับใช้ไปหยิบยาขี้ผึ้งมา
“ไม่เป็นไร” เหยาเฟิ่งเกอผลักหลี่หมัวมัวออก จากนั้นขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามคนที่มาส่งสาร “เจ้ามั่นใจหรือว่าเป็นไข้ทรพิษ”
“บ่าวเองก็ไม่เห็นเจ้าค่ะ ได้ยินเพียงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายคุณหนูรองกล่าว เฝิงหมัวมัวและพวกชุ่ยเวยร้อนใจจนร้องไห้กันไปหมด”
“เหลวไหล!” เหยาเฟิ่งเกอถลึงตาโตพร้อมด่าทอ “พวกนางจะไปรู้ความอะไร หากพวกนางรู้มากเช่นนี้จะมีสำนักหมอหลวงเอาไว้เพื่อการใด!”
หลี่หมัวมัวพลันปลอบโยน “นายหญิงอย่าได้วิตกไปเลย สั่งให้บ่าวรับใช้ตามหมอหลวงไปตรวจชีพจรให้คุณหนูรองที่วัดฉือซินก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอสั่งการทันที “สั่งให้หลี่จงไปตามหมอหลวง”
หลี่จงเป็นบุตรชายของหลี่หมัวมัวที่เป็นแม่นมของเหยาเฟิ่งเกอ ถือเป็นคนที่พึ่งพาได้
“เจ้าค่ะ” คนที่อยู่ด้านนอกประตู เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบไปบอกกับหลี่จง
เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกใจอยู่ไม่เป็นสุข หลังจากที่นางเดินวนไปวนมาในเรือนหลายรอบ ก็เอ่ยถามหลี่หมัวมัว “ตัวเยี่ยนอวี่เองก็มีความรู้ด้านการแพทย์ แม้แต่อาการป่วยของข้า นางยังสามารถรักษาให้หาย ไม่แน่ว่าไข้ทรพิษนี้นางก็สามารถรักษาให้หายได้”
“คุณหนูอย่ากังวลใจไปเลย ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ไข้ทรพิษก็ได้เจ้าค่ะ วัดฉือซินตั้งอยู่บนป่าบนเขา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะถูกแมลงกัดก็ได้เจ้าค่ะ”
“ขอให้เป็นเช่นนี้” เหยาเฟิ่งเกอประกบมือทั้งสิบนิ้วเข้าด้วยกันขึ้นไหว้ แล้วหันไปด้านนอกพร้อมก้มศีรษะลง นางถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “หากนางเป็นอะไรขึ้นมา ข้าไม่รู้ว่าจะบอกกับคนในตระกูลอย่างไรดี”
หลี่หมัวมัวลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถาม “หากคุณหนูไม่วางใจ เช่นนั้นประเดี๋ยวบ่าวตามหมอหลวงไปวัดฉือซิน เพื่อดูคุณหนูรองดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน” เหยาเฟิ่งเกอตกปากรับคำในทันที “เมื่อเจ้าได้พบเยี่ยนอวี่ให้กล่าวคำพูดของข้าว่า ข้าจะหาหมอที่ดีที่สุดในสำนักหมอหลวง ข้าจะคิดหาทุกวิถีทางเพื่อรักษานางให้หายดี บอกนางว่าอย่าหวาดกลัว”
“เจ้าค่ะ นายหญิงวางใจเถอะ บ่าวจดจำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวรีบขานรับ “บ่าวจะไปจัดเตรียมสัมภาระเสียก่อน ประเดี๋ยวจะได้ติดตามไปพร้อมหมอหลวงเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปเถอะ” เหยาเฟิ่งเกอครุ่นคิด จากนั้นพูดเพิ่มเติมขึ้นอีก “เจ้าพกเงินไปเยอะหน่อย”
คำพูดที่ว่าให้เหยาเยี่ยนอวี่กลับมาพักรักษาตัวในเรือนนั้น เหยาเฟิ่งเกอครุ่นคิดอยู่นาน ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดออกไป
หลังจากที่มองหลี่หมัวมัวเดินจากไป ภายในใจของเหยาเฟิ่งเกออึดอัดทรมานยิ่งนัก เหยาเยี่ยนอวี่เป็นน้องสาวของตน ถึงแม้จะเป็นบุตรีคนละมารดา จึงไม่มีความรักความผูกพันกันมากมาย อย่างไรก็ตาม นางก็เป็นบุตรีที่เกิดจากบิดาคนเดียวกัน อีกทั้งน้องสาวคนนี้ก็เพิ่งช่วยชีวิตตนเอาไว้
แต่…ไข้ทรพิษ! เป็นโรคติดต่อ!