หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 391 รักษาโรค พักฟื้นตัว เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (2)
ตอนที่ 391 รักษาโรค พักฟื้นตัว เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (2)
ตอนนี้นางมัวแต่จดจ่อกับชีพจรของผู้เฒ่าเซียว นางจดจ่อถึงขั้นที่อยู่ในโลกส่วนตัวของตนเองเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงว่าคนรอบข้างไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ทว่าต่อให้ส่งเสียงดัง เกรงว่านางก็คงไม่ได้ยิน
การฝังเข็มครั้งนี้ล่วงเลยไปหนึ่งชั่วยามกว่า ท้ายที่สุดเหยาเยี่ยนอวี่ก็ใช้กำลังภายในทั้งหมดที่มี และรู้สึกหน้ามืดทันที แม้กระทั่งเข็มที่ฝังอยู่บนศีรษะของผู้เฒ่าเซียว ชุ่ยเวยยังเป็นคนที่ช่วยดึงออก
เว่ยจางฝ่ากลุ่มคนเข้าไปข้างเตียงแล้วอุ้มนางขึ้น จากนั้นก็หันไปถามหันหมิงชั่น “มีที่ไหนให้นางนอนพักผ่อนได้บ้าง”
“ไปเรือนของข้าเถอะ” ตอนนี้ความรู้สึกของหันหมิงชั่นนั้นยากจะสื่อออกมาด้วยคำพูด นางไม่อยากให้เซียวหลินโศกเศร้าเสียใจเพราะการจากไปของท่านปู่ และยิ่งไม่อยากให้เหยาเยี่ยนอวี่เป็นอะไรไป เพียงแต่ว่าเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงปฏิบัติด้วยความจริงใจอย่างสุดจิตสุดใจ และจะไม่ทรยศมิตรภาพอันล้ำค่าที่นางมีต่อตนแน่นอน
ครั้งนี้เหยาเยี่ยนอวี่กลับหมดสติไปสองวัน ผู้เฒ่าเซียวฟื้นขึ้นมาแล้ว ทว่านางกลับไม่ฟื้น ทำเอาหันหมิงชั่นแทบจะกระวนกระวายจวนจะขาดใจ
หมอหลวงมาจับชีพจรให้ผู้เฒ่า บอกว่าสภาพร่างกายของผู้เฒ่าดีขึ้นเยอะมาก หากบำรุงสุขภาพดีๆ จะมีชีวิตอยู่อย่างไร้ความกังวลใดๆ อีกหนึ่งปี แค่นี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีสำหรับเซียวหลินแล้ว
เซียวหลินและหันหมิงชั่นเฝ้าอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเซียวโดยไม่หลับไม่นอน ส่วนฝั่งเว่ยจางก็เฝ้าอยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่เช่นกัน ในจวนจิ้งไห่โหวมีหมอหลวงมาผลัดกันเฝ้าเวรอยู่สี่คน ไม่เพียงแต่ทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงกระวนกระวายพระทัย แม้กระทั่งฮ่องเต้ที่อยู่ในเขตล่าสัตว์ซีหวั่นก็กังวลพระทัยเช่นกัน
ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้จางฉางเป่ยรีบกลับมารักษาราชครูเซียว ทันทีที่เข้าประตูก็ถูกเหยียนฮูหยินเชิญเข้าไปในเรือน บอกว่าท่านผู้เฒ่าไม่เป็นเช่นไรแล้ว และเชิญเขาไปวัดชีพจรให้หมอหลวงเหยา
จางฉางเป่ยได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกกระวนกระวาย จึงอ้าปากตวาดทันที “ยัยหนูคนนั้นใช้กำลังภายในทั้งหมดมารักษาผู้ป่วยด้วยวิธีรมยาแบบไท่อี่กระนั้นหรือ!”
เหยียนฮูหยินและจางหย่วนลิ่งไม่ได้สนิทสนมกัน เดิมทีได้ยินว่านี่เป็นหมอหลวงประจำตัวของฮ่องเต้จึงวางท่าทีที่เคารพนับถืออย่างมาก พอได้ยินผู้เฒ่าคนนี้อ้าปากก็ตวาดคนไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นนางจึงนิ่งงันทันที
“ข้าบอกนางตั้งแต่แรกแล้ว ร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บ ทำให้ชี่ต้นกำเนิดถูกทำลาย และยังอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่มานานเช่นนั้น เมื่อพิษเย็นเข้าสู่ร่างกายแล้ว อย่างไรก็ต้องใช้เวลาปีสองปีถึงจะรักษาให้หายได้! ยัยหนูคนนี้หัวดื้อจริงๆ! เหตุใดถึงหัวดื้อได้ถึงปานนี้!” ผู้เฒ่าจางด่าพึมพำไปด้วยและเดินเข้าไปในเรือนของหันหมิงชั่นไปด้วย พอเห็นเว่ยจางและคนอื่นๆ ไม่สนใจเขา จึงเดินไปจับชีพจรให้เหยาเยี่ยนอวี่ตรงหน้าเตียง
ตอนนี้เหยาเยี่ยนอวี่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ทว่ายังคงรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงและไร้ชีวิตชีวา ตอนที่ได้ยินผู้เฒ่าว่ากล่าวตำหนิ นางก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว “ท่านอาจารย์ อย่างไรท่านก็ต้องเห็นแก่หน้าของลูกศิษย์หน่อยเถอะ ควรตำหนิตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่หรือเปล่า”
ผู้เฒ่าคนนี้ไม่ให้เกียรตินางแม้แต่น้อย เขายังคงตำหนิซึ่งๆ หน้า “แม้แต่ชีวิตเจ้าก็ยังไม่อยากรักษาไว้แล้ว แล้วจะให้ไว้หน้าไปไยกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่มองหันหมิงชั่นที่ปั้นหน้ารู้สึกผิดอยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงส่งยิ้มปลอบโยนนาง “ไม่เป็นไร ข้าจะไม่เอาชีวิตของตนเองได้อย่างไร ข้าเพียงแค่เหนื่อยเกินไปเท่านั้น”
จางฉางเป่ยถลึงตามองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงชั่วพริบตาแล้วยื่นมือไปจับชีพจรให้นาง จากนั้นก็สั่งเว่ยจางที่อยู่ด้านข้าง “ไปเอายาเม็ดหรงหย่างที่นางคิดค้นละลายในน้ำอุ่น แล้วให้นางกินเช้าเย็นครั้งละเม็ด จากนั้นก็ให้ดื่มโสมวันละถ้วย ดื่มติดต่อกันให้ครบหนึ่งเดือน”
พอกำชับเว่ยจางจบก็พูดขึ้นต่อ “ยัยหนูคนนี้ไม่ชอบดื่มยาที่สุด เจ้าต้องคอยเฝ้านางให้ดื่มยาเป็นเวลาและตามปริมาณที่ข้าบอก”
เว่ยจางค้อมตัวตอบกลับ “ไม่รู้ว่ายังมีอะไรที่ต้องระวังอีกไหม หย่วนลิ่งได้โปรดชี้แนะ”
“อย่าให้นางใช้กำลังภายในอีก เดิมทีกำลังภายในของนางก็ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว แล้วยังได้รับบาดเจ็บอีก ทำให้เลือดคั่งจากชี่ติดขัด ข้าบอกนางตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าให้นางบำรุงร่างกายให้ดี แต่นางกลับฝืนตัวเอง” จางฉางเป่ยถอนหายใจด้วยคิ้วขมวด หลังจากครุ่นคิดไปสักพักก็เอ่ยว่า “ไปเชิญพระอาจารย์จากวัดต้าเจวี๋ยมา ให้เขาปล่อยกำลังภายในให้ยัยหนูได้ปรับกำลังภายในตนเองเสียหน่อย”
“ข้าจะไปเชิญเอง” หันหมิงชั่นพลันขานรับเรื่องนี้ทันที
เว่ยจางมองหันหมิงชั่นเพียงปราดเดียว ภายในใจกำลังคิดว่าหากให้นามของจวนองค์หญิงใหญ่ไปเชิญพระอาจารย์คงเซียงก็คงดี
อย่างไรจวนจิ้งไห่โหวก็ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาควรอาศัยอยู่ต่อนานๆ ตอนนั้นเว่ยจางจึงอุ้มเหยาเยี่ยนอวี่นั่งรถม้ากลับไปพักฟื้นร่างกายที่จวนแม่ทัพ ขณะเดียวกัน หันหมิงชั่นก็สั่งให้ซูอิ่งกลับไปเอาโสมสิบกว่าต้นที่จวนองค์หญิงใหญ่ส่งไปที่จวนแม่ทัพ อีกทั้งยังขอให้เจิ้นกั๋วกงเดินทางไปวัดต้าเจวี๋ย เพื่อเชิญพระอาจารย์คงเซียงไปจวนแม่ทัพ
หลายวันหลังจากนี้ ฮองเฮาเหนียงเหนียงได้ยินว่าเหยาเยี่ยนอวี่ต้องการโสมบำรุงร่างกาย จึงพระราชทานโสมร้อยปีกว่าสิบต้น
เหยาเหยียนอี้ เหยาเฟิ่งเกอ และเหยาหย่วนจือที่อยู่เจียงหนานก็ให้คนไปตามหาโสมแก่แล้วส่งมา องค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็เสด็จมาเยือนถึงจวน ทันใดนั้น จวนแม่ทัพเว่ยจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่คึกคักมาก
ฮ่องเต้เสด็จกลับเมืองหลวง เว่ยจางใช้เวลาลาหยุดแต่งงานครบแล้ว เฝ้าดูแลอยู่เคียงข้างเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้อีก ส่วนหนิงฮูหยินน้อยและหร่วนฮูหยินน้อยก็กำลังตั้งครรค์ จึงทำงานเหน็ดเหนื่อยเกินไปไม่ได้ เหยาเฟิ่งเกอยังต้องเฝ้าดูแลซูอวี้เสียงที่ยังลุกเดินบนพื้นไม่ได้ ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ไม่มีใครคอยปรนนิบัติอย่างใส่ใจ ซูอวี้เสียงจึงเรียนมารดาเอกเหลียงฮูหยินว่าจะพาสาวใช้มาดูแลเหยาเยี่ยนอวี่ที่จวนแม่ทัพ นางเลยกลายเป็นคนที่คอยป้อนยาป้อนอาหารให้เหยาเยี่ยนอวี่
การพักฟื้นร่างกายก็เหลือเพียงสิบวันแล้ว ท้ายที่สุดเหยาเยี่ยนอวี่ก็ลงจากเตียงมาเดินเล่นในจวนได้ อากาศที่เข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงของเดือนตุลาคม หลังจากฝนตกในฤดูใบไม้ร่วง ดอกหอมหมื่นลี้ร่วงสู่พื้น ใบไม้ฤดูใบไม้ร่วงปลิวไสวไปกับสายลม ทำให้บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง
เหยาเยี่ยนอวี่สวมชุดคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกกำลังเดินเล่นกับซูอวี้เหิงอยู่ ขณะที่เดินอยู่นั้นก็ยิ้มเย้ยหยันตัวเอง “ข้าไม่ได้อ่อนแอดั่งที่พวกเจ้าคิด ตอนนั้นข้าเพียงแค่เหนื่อยเกินไป ได้นอนพักสองสามวันก็หายดีแล้ว พวกเจ้าอย่าเห็นข้าเป็นกระดาษแผ่นบางสิ เหมือนว่าลมพัดข้าก็จะขาดเป็นเสี่ยงๆ อย่างนั้นแหละ”
ซูอวี้เหิงพูดยิ้มๆ “พี่สาวอย่าพูดเช่นนี้กับข้า ประเดี๋ยวข้าจะไปบอกแม่ทัพ หากแม่ทัพบอกว่าพี่สาวไม่เป็นไรแล้ว ข้าจะรีบเก็บข้าวของกลับจวนเดี๋ยวนี้ และจะไปรายงานเรื่องนี้กับพี่สะใภ้สามทันที”
พอกล่าวถึงเหยาเฟิ่งเกอ จู่ๆ เหยาเยี่ยนอวี่ก็นึกถึงซูอวี้เสียงที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงเพราะถูกตนเองข่มขู่จนตกสะพาน ด้วยเหตุนี้จึงส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม พร้อมเปรยว่า “คนเรากระทำความชั่วไม่ได้เลย เพิ่งก่อกรรมทำชั่วไป กรรมก็ตามสนองแล้ว”
ซูอวี้เหิงเปรยว่า “พี่สาวเคยก่อกรรมทำชั่วอะไรหรือ พี่เหยารักษาผู้ป่วย พวกเขายังบอกว่าพี่เหยาเปรียบเสมือนพระโพธิสัตว์กวนอิมแน่ะ ท่านไม่รู้ว่าวันนั้นพี่หันมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าข้า บอกว่ารู้สึกเสียใจที่วันนั้นเชิญพี่เหยาไป จนเกือบเสียพี่เหยาไป”
“พูดจาเหลวไหล ต่อให้เป็นคนอื่นมาขอร้องข้า ข้าก็คงไม่มีทางไม่ช่วยเหลืออยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คนคนนั้นคือพี่หัน หากนางเป็นเช่นนี้ นั่นก็แสดงว่านางไม่เห็นข้าเป็นน้องสาวแล้ว”
ซูอวี้เหิงเปรยว่า “พี่เหยาต้องคิดเช่นนี้เป็นธรรมดา แต่ถ้าพี่เหยาเป็นพี่หัน ก็คงจะเข้าใจความรู้สึกของพี่หัน”
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของนางแน่นอน แม้เจ้า ข้า และนางจะไม่ใช่พี่น้องทางสายเลือด ทว่ามิตรภาพนี้ยิ่งกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือด ข้าคงไม่อยากเห็นนางที่เพิ่งเป็นเจ้าสาวต้องมาไว้อาลัยปู่สามี นางมีอายุยี่สิบปี ถือว่าช่วงอายุที่ดีงามที่สุดของสตรี แล้วจะให้นางผ่านพ้นช่วงเวลาไว้อาลัยนี้ได้อย่างไร”
“ที่พี่เหยากล่าวก็ถูก” ซูอวี้เหิงถอนหายใจอย่างแรง แล้วนึกถึงตอนที่องค์หญิงต้าจั่งจากไปอย่างกะทันหัน ในจวนก็มีข่าวเล่าข่าวลือไม่ขาดสาย ด้วยเหตุนี้นางจึงกุมมือเหยาเยี่ยนอวี่แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ตอนนั้นข้าเอาแต่โทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ควรทิ้งเสด็จย่าไปหาพี่เหยาที่นอกเมือง ทำให้อยู่ข้างกายเสด็จย่าก่อนที่ท่านจะจากไปไม่ได้ ทว่าวันนี้พอมาคิดดูแล้ว หากข้าไปหาพี่เหยาให้เร็วกว่านี้ เสด็จย่าอาจมีชีวิตอยู่เคียงข้างข้าจนถึงตอนนี้ก็ได้”