หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 392 รักษาโรค พักฟื้นตัว เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (3)
ตอนที่ 392 รักษาโรค พักฟื้นตัว เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (3)
สำหรับการจากไปขององค์หญิงต้าจั่ง เดิมทีเหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกฉงนสงสัย วันนี้พอได้ยินซูอวี้เหิงเอ่ยถึง ก็ยิ่งทำให้ยืนยันในสิ่งที่คิดในใจ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม ข้ารับใช้ที่คอยปรนนิบัติองค์หญิงต้าจั่งในตอนนั้น ตอนนี้ไปไหนกันหมดแล้ว”
“ฮูหยินสั่งให้พวกเขาไปเฝ้าสุสานขององค์หญิงต้าจั่งแล้ว”
“อ้อ” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า ภายในใจคิดว่า นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
จู่ๆ ซูอวี้เหิงกลับนึกอะไรออก แล้วกุมมือเหยาเยี่ยนอวี่แน่นกว่าเดิม
“เป็นอะไรไป” เหยาเยี่ยนอวี่หันข้างมองนาง ก็เห็นสีหน้าของนางค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป
ซูอวี้เหิงกำลังอยากพูดอะไร ด้านหลังมีเสียงเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งส่งมา “อากาศเหน็บหนาวเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่อยู่ในเรือน กลับออกมาเดินเล่นด้านนอก”
ทั้งสองรีบหันไปมอง กลับเห็นเว่ยจางยังไม่ทันเปลี่ยนชุดขุนนาง ก็เดินมาอย่างเร่งรีบ ข้างหลังของเขามีเฮ่อซีและถังเซียวอี้ติดตามอยู่
“น้อมคำนับแม่ทัพ” ซูอวี้เหิงค้อมตัวลงเล็กน้อย
“ไม่ต้องมากพิธีอะไร” เว่ยจางพลันยกมือ แล้วขมวดคิ้วมองเหยาเยี่ยนอวี่ “วันนี้ลมเย็นเกินไป พวกเรากลับเข้าไปในเรือนเถอะ”
“ข้าเพิ่งจะออกมา อยากเดินเล่นในสวนอีกสักพัก” เหยาเยี่ยนอวี่ออดอ้อนด้วยเสียงต่ำ “หากยังไม่รีบออกมาเดินเล่นกลางสวน เกรงว่าดอกเบญจมาศคงร่วงหมดไปก่อน”
“อยากชมดอกเบญจมาศก็ง่ายมาก เจ้าแค่กลับเรือนกับข้าก็พอแล้ว” เว่ยจางไม่พูดไม่จาก็เดินหน้ามาช้อนตัวนางขึ้น
“นี่…” เหยาฮูหยินปั้นหน้าเขินอายทันที ทำเช่นนี้ต่อหน้าคนมากมาย คนผู้นี้ไม่รู้จักเก็บอาการหน่อยเลยหรือไร
ตอนเว่ยจางช้อนตัวนางเดินกลับไปก็มองถังเซียวอี้เพียงพริบตาเดียว และพูดว่า “รบกวนคุณหนูซูและเซียวอี้ไปเลือกดอกเบญจมาศที่กำลังเบ่งบานในสวนเสียหน่อย แล้วให้สาวใช้ขนเข้ามาในเรือนเยี่ยนอาน”
ถังเซียวอี้พลันขานรับด้วยรอยยิ้มเบ่งบาน “ขอรับ”
ซูอวี้เหิงมองเหยาเยี่ยนอวี่ทำหน้าเขินแดงและหลบอยู่ในอ้อมกอดของเว่ยจาง
“คุณหนูซู ทำให้เจ้ารู้สึกขบขันเสียแล้ว พี่ใหญ่ของพวกเรามักจะทำนิสัยแย่ๆ เช่นนี้แหละ” เพื่อที่จะเอาอกเอาใจคุณหนูซู เขากลับหยอกล้อพี่ใหญ่ของตนโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ค่อยยังชั่ว แม่ทัพเว่ยปฏิบัติต่อพี่เหยาด้วยความจริงใจก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว” ซูอวี้เหิงสีหน้าเขินอาย หันหลังเดินเข้าไปในสวนพฤกษา
ถังเซียวอี้ลูบคางโดยไม่รู้ตัว ภายในใจกำลังคิดว่า นางกำลังบอกข้าว่านางก็ชอบบุรุษที่ใช้ไม้แข็งหรือ
เฮ่อซีมองถังเซียวอี้ที่ฉลาดหลักแหลมตลอดมา กลับยังยืนหน้าโง่อยู่ที่เดิม ตอนที่เกี้ยวพาราสี กลับไม่ได้รับความสนใจจากสตรีที่หมายปอง จากนั้นยกเท้าถีบเขาหนึ่งที “ยังไม่รีบไปขนดอกเบญจมาศให้ฮูหยินอีก”
“อ้อ ได้” ถังเซียวอี้ดึงสติกลับมาทันที แล้วสาวเท้าเดินตามซูอวี้เหิงไป
พ่อบ้านเอกฉังเหมาทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ก่อนที่แม่ทัพของเขาจะแต่งงานก็สั่งให้คนปลูกดอกเบญจมาศราคาแพงในสวน เพื่อที่จะให้แม่ทัพและฮูหยินมาเดินเล่นชมดอกเบญจมาศด้วยกันในยามที่มีเวลาว่าง
พอในจวนมีนายหญิง ในหนึ่งปีมีสี่ฤดู การเพาะปลูกดอกไม้ในจวนก็เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้อยู่แล้ว หากวิสัยทัศน์เท่านี้ก็ยังไม่มี ก็คงไม่ต้องเป็นพ่อบ้านแล้ว
ในสวนพฤกษาจึงมีไม้ดอกปลูกเต็มไปหมด ทว่ากลับเป็นดอกที่หายาก
สวนพฤกษาหลังจวนแม่ทัพย่อมมีเรือนเพาะปลูกไม้ดอกแน่นอน อีกอย่างยังเป็นเรือนเพาะปลูกไม้ดอกที่สมชื่อเสียงและเกียรติยศของแม่ทัพ ตอนนี้ยังไม่ถูกฮูหยินแปลงโฉมให้กลายเป็นเรือนเพาะปลูกสมุนไพร ในเรือนเพาะปลูกไม้ดอกมีดอกเบญจมาศราคาแพงยี่สิบกระถาง ดอกเบญจมาศดำ เบญจมาศเขียว และอื่นๆ
ซูอวี้เหิงมีสายตาเฉียบคม นางเพียงเดินอ้อมเรือนเพาะปลูกไม้ดอกไปสองรอบ ก็เลือกดอกเบญจมาศหน้าผาที่ถูกแต่งกิ่งอย่างงดงามหนึ่งกระถาง ดอกเบญจมาศเซียงเซียนชู่เฟิงที่กำลังผลิบานหนึ่งกระถาง และมังกรคาบแก้วที่เบ่งบานอย่างงดงามอีกหนึ่งกระถาง
ถังเซียวอี้พูดขึ้นยิ้มๆ “คุณหนูซูเป็นคนมีรสนิยมอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด”
ซูอวี้เหิงแย้มยิ้ม แล้วสั่งข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้าง “ขนระวังๆ หน่อย อย่าไปโดนกลีบดอกไม้ล่ะ”
ข้ารับใช้ค้อมตัวขานรับ แล้วเริ่มขนกระถางดอกไม้อย่างระมัดระวัง ถังเซียวอี้ถือโอกาสรั้งคุณหนูซูไว้วิจารณ์ดอกเบญจมาศแต่ละชนิด เขาจึงพูดด้วยความน่าเสียดาย “ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นมังกรคาบแก้วสีเขียวที่จวนสหายคนหนึ่ง เป็นสีที่แปลกตามาก”
ซูอวี้เหิงยิ้มอย่างขมขื่น “ที่เจ้าเอ่ยถึงไม่ได้เรียกว่ามังกรคาบแก้วหรือเปล่า น่าจะเรียกว่าดอกเทพธิดาเมฆเขียว ก่อนหน้านี้ตอนองค์หญิงต้าจั่งอยู่ ก็ปลูกดอกไม้ชนิดนี้ไว้ น่าเสียดาย…คนสวนในจวนไม่ได้ดูแลมันดีๆ ปีนี้กลับไม่มีต้นกล้างอกมาใหม่”
“ข้าเป็นฝ่ายผิดเองที่อยู่ดีๆ ก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ จนทำให้คุณหนูโศกเศร้าไปด้วย” ถังเซียวอี้พลันประสานมือคารวะพลางยิ้มอย่างรู้สึกผิด “เอาเป็นว่า วันหลังข้าจะไปขอดอกเทพธิดาเมฆเขียวกับสหายแล้วส่งไปให้คุณหนูที่จวน ถือเป็นการไถ่โทษ”
ซูอวี้เหิงพลันส่ายหัว แล้วยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นคงไม่ดีหรอก วีรชนไม่แก่งแย่งของรักของหวงของผู้อื่น”
“คำพูดนี้กล่าวไม่ผิดเลย ทว่าคนอย่างข้าไม่อยากเป็นวีรชนอยู่แล้ว ข้าไม่ชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนั้นให้ตนเอง” ถังเซียวอี้พูดยิ้มๆ “มนุษย์เราเกิดมา หากไม่ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ ชีวิตที่เกิดมาคงจะไร้ประโยชน์เกินไป”
ซูอวี้เหิงพูดยิ้มๆ “รองแม่ทัพเป็นคนที่ไม่ยอมอยู่ในกรอบ ไม่ชอบมีข้อผูกมัดดั่งที่คาดจริงๆ ทำให้น่าอิจฉายิ่งนัก”
“เจ้าก็ทำได้” ถังเซียวอี้มองคุณหนูซูด้วยรอยยิ้มเบิกบาน เขาเผยเสน่ห์ด้านที่น่าดึงดูดที่สุดของตนเองต่อหน้าสตรีผู้นี้ ราวกับนกยูงที่กางปีก
ซูอวี้เหิงยกยิ้ม หันไปมองข้ารับใช้ที่กำลังขนกระถางดอกไม้ออกจากเรือนเพาะปลูกไม้ดอก แล้วเบี่ยงประเด็นทันที “เสร็จแล้ว ข้าต้องกลับไปแล้ว”
“อืม ไปเถอะ” ถังเซียวอี้ลอบถอนหายใจ แม่นางผู้นี้ยังคงกีดกันตัวเองไม่ให้เข้าใกล้ ทว่าไม่เป็นไร การยึดพื้นที่เวลาสู้รบเป็นกลยุทธ์ที่เหล่านักรบต้องร่ำเรียน หากแม้แต่สตรีเปราะบางคนหนึ่ง เขายังเอาไม่อยู่ วันข้างหน้าคงจะถูกพี่ใหญ่และเหล่าสหายทอดทิ้งแน่นอน
คืนนั้น แม่ทัพเว่ยอยู่ในจวน ซูอวี้เหิงจึงไม่ได้ไปอยู่เป็นเพื่อนเหยาเยี่ยนอวี่ หลังจากส่งดอกเบญจมาศไปแล้ว นางก็กลับไปพักผ่อนในเรือนเล็กที่อยู่หลังเรือนเยี่ยนอาน แม้กระทั่งตอนกินมื้อค่ำก็ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้ชุ่ยเวยยกอาหารไปอยู่เป็นเพื่อนนาง ทั้งยังกำชับว่า “กินข้าวเสร็จไม่ต้องกลับมา เจ้ากับจั๋วอวี้อยู่ปรนนบัติน้องซูก็พอ”
ชุ่ยเวยรู้ในความหมายของนายหญิงตัวเอง นายหญิงกลัวว่าคุณหนูซูจะรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ชุ่ยเวยจึงไปอยู่เป็นเพื่อนซูอวี้เหิงด้วยความรื่นเริงยินดี
แม่ทัพเว่ยเฝ้ามองเหยาเยี่ยนอวี่กินมื้อค่ำในปริมาณที่ต้องการจบครบ จากนั้นก็เดินเล่นเป็นเพื่อนนางในเรือนสักพัก แล้วทำตามคำสั่งของพระอาจารย์คงเซียง ให้ฝึกซ้อมแปดท่าออกกำลังกายกับนางอย่างต่อเนื่อง หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่ออกกำลังกายจนเรียกเหงื่อออกก็ค่อยกลับเรือน รอจนเหงื่อแห้ง ถึงจะแช่อ่างอาบน้ำเพื่อผ่อนคลายร่างกาย จากนั้นนางสวมชุดคลุมผ้าต่วนและกลับไปในห้องนอน
แม่ทัพเว่ยไปอาบน้ำทีหลัง เขาไม่เคยต้องการให้ใครมาปรนนิบัติตอนอาบน้ำ ดังนั้นเหล่าสาวใช้จึงถูกไล่ออกมาจนหมด
เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่บนเตียง พลิกอ่านตำราแพทย์เล่มหนึ่ง ตอนนี้ในเรือนของนางมีตำราแพทย์วางเต็มไปหมด ไม่ว่านางจะพิงอยู่บนตั่งไม้ นอนอยู่บนเตียง หรือแม้แต่จะนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือของนางก็มักถือตำราแพทย์ไว้หนึ่งเล่มเพื่อฆ่าเวลา
ใช่ นี่คือการฆ่าเวลา
ตั้งแต่รักษาให้ราชครูเซียวจนเป็นลมเป็นแล้ง นางก็ถูกเว่ยจางขังไว้ในเรือน และไม่อนุญาตให้นางไปสำนักแพทย์ ไม่ว่าใครหน้าไหนมาเชิญหมอหลวงเหยาไปรักษาผู้ป่วย ก็มักจะถูกฉังเหมาปฏิเสธกลับ ช่างน่าขบขันยิ่งนัก ฮูหยินของตนต้องกินยาต้มสมุนไพรทุกวัน แล้วจะรักษาผู้ป่วยได้อย่างไร
ดังนั้น ตอนนี้เหยาฮูหยินทำได้เพียงอ่านตำราฆ่าเวลา
เว่ยจางสวมชุดคลุมตัวบางเดินเข้ามาจากด้านนอก ขณะที่เขาขึ้นเตียงก็ปิดตำราในมือของเหยาเยี่ยนอวี่