หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 393 รักษาโรค พักฟื้นตัว เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (4)
ตอนที่ 393 รักษาโรค พักฟื้นตัว เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (4)
“ยังไม่ดึกเลย ข้ายังอยากอ่านต่ออีกหน่อย” เหยาฮูหยินพูดอย่างไม่พอใจ
“แสงเทียนสลัวเกินไปแล้ว ดวงตาของเจ้าอาจรับไม่ไหว” เว่ยจางดับแสงเทียนตรงหัวเตียง แล้วยกมือปล่อยม่านลง
“ตอนกลางวันข้านอนเยอะเกินไป ตอนนี้ยังไม่ง่วงเลยสักนิด”
“เช่นนั้นพวกเราก็พูดคุยเล่นกันบนเตียงเถอะ” เว่ยจางเปิดผ้าห่มนอนลงไป แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดอย่างคล่องแคล่ว
อากาศเย็นลงแล้ว ต่อให้เว่ยจางไม่กลัวหนาว แต่เสื้อผ้าต่วนตัวบางของเขายังค่อนข้างเย็น ตอนที่ใบหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ไปแนบชิดกับเสื้อของเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือก ดังนั้นนางยื่นมือไปจับไหล่ของเขา แล้วพร่ำบ่นด้วยเสียงเบา “เจ้ามาใกล้ข้าเช่นนี้ ไม่หนาวหรือ”
“ไม่หนาว” เว่ยจางก้มหน้าจุมพิตลงบนเส้นผมดำเงาของนาง ทั้งยังกอดนางให้แน่นขึ้น “เจ้าหนาวหรือไม่”
เสื้อผ้าต่วนตัวบางถูกความเร่าร้อนของร่างกายเขาทำให้อบอุ่น นางพิงอยู่กลางอ้อมกอดของเขาแล้วจะรู้สึกหนาวได้อย่างไร เพียงแต่ว่า…เสื้อผ้าผืนบางนี่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือบดบังปฏิกิริยาร่างกายของเขาไม่ได้
เหยาเยี่ยนอวี่อดกลั้นความอยากหัวเราะไปสักพัก แล้วถึงจะเอ่ยถามด้วยเสียงเบา “ทนไม่ไหวแล้วหรือ”
เว่ยจางกลั้นหายใจ อุณหภูมิร่างกายของเขาเพิ่มสูงมากขึ้น น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย ทว่ากลับพูดด้วยเสียงนิ่งเฉย “ไม่เป็นไร หลับเถอะ”
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือไปทาบคอของเขาไว้ แล้วเงยหน้ามองเขาที่อยู่ภายใต้แสงจันทรา “พวกเราเริ่มกันไหม”
เว่ยจางมือเอาแขนของนางออกจากซอกคอของเขา แล้วตำหนิด้วยเสียงเบา “เงียบปากไป นอนเถอะ!”
“เหอะๆ…” เหยาเยี่ยนอวี่อดหัวเราะเสียงเบาไม่ได้ จากนั้นก็ใช้มือลูบไล้เสื้อผ้าของเขา
“!” เว่ยจางเกร็งไปทั้งร่างกาย จากนั้นจับมือเล็กๆ ที่กำลังลูบไล้ไปเรื่อยเปื่อยทันที
“ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ” น้ำเสียงของนางอ่อนโยนจับใจ ลมหายใจที่หอมละมุนดุจดั่งดอกกล้วยไม้กระทบข้างหูของเขา
“…” เว่ยจางกัดฟันกรอด ยังไม่ปล่อยให้ตนเองส่งเสียงใดๆ ออกมา
แสงจันทร์สลัวนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ามีก้อนเมฆลอยบนท้องฟ้ายามราตรีเมื่อใด และค่อยๆ บดบังดวงจันทรากระจ่าง ภายในม่านแดงปักลายยวนยางหลากสีสะท้อนสองร่างที่กอดรัดคลอเคลียกันอย่างรักใคร่
ผ่านไปสักพัก ในม่านลายยวนยางมีเสียงครางอื้ออึงพร่าต่ำ ผสมผสานกับเสียงเสียดสีบดกระแทกเข้าใส่กัน จากนั้นราตรีนี้จึงค่อยๆ สงบลง
เหยาเยี่ยนอวี่พักฟื้นร่างกายอย่างสุขสบายในจวนเป็นเวลาหนึ่งเดือน จวบจนถึงปลายเดือนสิบ ก็ถูกแม่ทัพเว่ยปล่อยตัวออกจากจวน เนื่องด้วยคำพูดของจางฉางเป่ยที่กล่าวว่า “พักฟื้นตัวมาหนึ่งเดือน ก็ได้เวลาออกมาสูดอากาศด้านนอกแล้ว”
ดังนั้นหมอหลวงเหยาถึงเริ่มไปสำนักแพทย์ ส่วนซูอวี้เหิงก็ควรเก็บข้าวเก็บของกลับจวนตนเอง
ชีวิตหนึ่งเดือนที่อาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพ ทำให้คุณหนูซูสนิทสนมกับรองแม่ทัพถังมากขึ้น สำหรับครั้งนี้ที่นางจะกลับจวน เหยาเยี่ยนอวี่ก็สั่งให้ถังเซียวอี้ไปส่งนาง นางก็ไม่ได้ปฏิเสธกลับ
ถังเซียวอี้ถือโอกาสนี้สร้างภาพลักษณ์ให้ตนเอง เขาส่งดอกเทพธิดาเมฆเขียวไปถึงเรือนของคุณหนูซู
ถังเซียวอี้เป็นผู้ที่มีวาจาเหมาะสม กริยาสุภาพอ่อนโยน นับว่าเป็นนักรบที่มีสามารถทางบุ๋นมากกว่าบู๊ จึงไม่มีเสน่ห์อย่างเว่ยจาง ไม่รู้ว่าเขามีลักษณะเป็นคุณชายรูปงามที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมอันงดงามเกินไปหรือเปล่า ถึงได้ทำให้มารดาเอกของซูอวี้เหิงนามว่าเหลียงฮูหยินไม่ค่อยโปรดปรานเขามากนัก
ถึงแม้รองแม่ทัพถังจะไม่มีบิดาและมารดามาตั้งแต่เด็ก ต้นตระกูลก็มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ทว่ากลับเป็นถึงขุนนางขั้นที่ห้า และเป็นแม่ทัพอายุน้อยที่มีรูปลักษณ์หน้าตาที่ดีที่สุด อีกอย่างคนคนนี้ติดตามแม่ทัพใหญ่เว่ยจาง อนาคตต้องไร้ขีดจำกัดแน่นอน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเหลียงฮูหยินกวาดสายตามองผู้ที่มาเยือนเพียงชั่วพริบตา ก็รู้ว่ารองแม่ทัพหนุ่มคนนี้มีใจให้ซูอวี้เหิง
ดังนั้น หลังจากถังเซียวอี้กล่าวอำลาจากไป เหลียงฮูหยินก็สั่งให้ซูอวี้เหิงมาหา ซ้ำยังสั่งให้สาวใช้ออกไปจนหมด แล้วเอ่ยถามซูอวี้เหิงด้วยยิ้มจางๆ “นี่ก็ผ่านการไว้อาลัยขององค์หญิงต้าจั่งไปหนึ่งปีแล้ว อายุของเจ้าไม่น้อยแล้ว อย่างไรเรื่องวิวาห์ก็ได้เวลาวางแผนแล้ว”
ซูอวี้เหิงตะลึงงัน แล้วพูดอย่างงงงัน “ข้าติดตามอยู่ข้างกายองค์หญิงต้าจั่งมาตลอด องค์หญิงต้าจั่งทรงรักใคร่ข้าเป็นอย่างมาก ข้าเลยอยากไว้อาลัยสามปีเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นเด็กที่กตัญญู องค์หญิงต้าจั่งไม่ได้รักใคร่เจ้าอย่างเปล่าประโยชน์เสียเลย ทว่าบุตรที่ให้กำเนิดโดยภรรยาเอกถึงจะไว้อาลัยสามปี ส่วนรุ่นหลานนั้นกลับไม่จำเป็นต้องไว้อาลัยนานเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเพียงบอกว่าให้เจ้าวางแผน ยังไม่ได้บอกให้เจ้าออกเรือนเสียหน่อย อย่างไรงานวิวาห์ก็เป็นเรื่องซับซ้อน และต้องผ่านหลายขั้นตอน หากจะผ่านหกพิธีการไปได้ อย่างไรก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยปีกว่า รอให้เวลาไว้อาลัยองค์หญิงต้าจั่งผ่านไปสามปีแล้ว เจ้าก็ได้เวลาจะออกเรือนพอดี หากรอให้ผ่านไปสามปี เจ้าถึงจะเริ่มวางแผนงานวิวาห์ของเจ้า ตอนเจ้าออกเรือนคงมีอายุยี่สิบปีแล้ว”
ซูอวี้เหิงรู้ว่านางกำลังพูดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ดังนั้นเลยก้มหน้าไม่มากความอีกต่อไป
เหลียงฮูหยินเอ่ยถามอีกครั้ง “รองแม่ทัพถังที่มาส่งเจ้าเมื่อครู่นี้ ข้ามองว่าไม่เลว ถึงแม้ต้นตระกูลของเขาจะมีที่มาไม่ค่อยชัดเจน ทว่าเขากลับเป็นบุรุษมากความสามารถกว่าใคร ยิ่งไปกว่านั้น เขาคือคนของจวนแม่ทัพเว่ย เจ้ากับฮูหยินแม่ทัพก็เป็นสหายที่สนิทฉันพี่น้องทางสายเลือด หากได้ออกเรือนกับเขา พวกเจ้าจะได้ดูแลซึ่งกันและกัน วิญญาณขององค์หญิงต้าจั่งที่อยู่บนสวรรค์ก็คงวางพระทัย”
“ฮูหยิน ข้า…” ซูอวี้เหิงมีสีเขินอายทันที ภายในใจมีความรู้สึกยากจะอธิบาย รู้สึกเขินอาย รู้สึกชอกช้ำใจ ซ้ำยังรู้สึกไร้วิตกกังวลแอบแฝง เหมือนก้อนหินหล่นลงบนพื้น ไม่ว่าจะหล่นเข้าไปในโคลนหรือว่าในน้ำ ทว่าอย่างไรก็ต้องหล่นลงมาอยู่ดี ความรู้สึกกระวนกระวายภายในใจหายไปภายในชั่วพริบตาเสียที
“เจ้าแค่เพียงบอกข้าว่าเจ้ายินยอมหรือไม่ หากเจ้ายินยอม ก็แค่พยักหน้า ส่วนเรื่องที่เหลือเจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าจะเป็นคนจัดการให้เจ้าอย่างเสร็จสมบูรณ์เอง” เหลียงฮูหยินมองซูอวี้เหิงที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “ตั้งแต่โบร่ำโบราณ บุรุษสู่ขอภรรยาและสตรีออกเรือนเป็นเรื่องที่ถูกทำนองคลองธรรม นี่ไม่มีอะไรน่าอับอาย ข้าถามเจ้าเช่นนี้ แค่เพียงหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า ไม่อยากให้เจ้ามีชีวิตคู่ที่ล้มเหลว”
ซูอวี้เหิงได้ยินคำพูดนี้ ท้ายที่สุดก็รวบรวมความกล้าทั้งหมด แล้วพยักหน้าเบาๆ
เหลียงฮูหยินตบมือนางด้วยรอยยิ้มพลางพูดว่า “เอาเถอะ! เจ้ากลับเรือนได้แล้ว”
ซูอวี้เหิงค่อยๆ เหยียดกายลุกขึ้น แล้วค้อมตัวให้เหลียงฮูหยิน “เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัว”
จวบจนถึงกลางดึก เหลียงฮูหยินก็ได้พูดคุยเรื่องงานวิวาห์ของซูอวี้เหิงกับซูกวงหลิง ซูกวงหลิงเปรยว่า “เดิมทีก็นึกว่าองค์หญิงต้าจั่งทรงโปรดปรานนางมาหลายปี ก็คงจะเลือกคู่หมั้นคู่หมายให้นางแล้ว ทว่านึกไม่ถึงว่ากลับยังไม่ทันเตรียมการนี้”
เหลียงฮูหยินเปรยว่า “ดังนั้นข้าถึงได้รู้สึกลำบากใจยิ่ง หากอยากจะคัดเลือกตระกูลสูงศักดิ์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าเหิงเอ๋อร์เป็นบุตรีอนุภรรยา ต่อให้นางดีมากเพียงใด เกรงว่าคนพวกนั้นก็คงจะดูหมิ่นเหยียดหยามนางอยู่ดี ขืนคู่ชีวิตในภายภาคหน้าของนางรักษาไว้ไม่ได้ อย่าว่าแต่องค์หญิงต้าจั่งที่อยู่บนสวรรค์ทนดูไม่ได้เลย แม้กระทั่งข้าก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ”
ซูกวงหลิงพยักหน้า “ตระกูลสูงศักดิ์ย่อมสำคัญ ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ของตระกูลพวกเรา อันที่จริงนี่ก็เป็นช่วงเวลาที่อับอายของครอบครัว คงไม่ต้องไปพิจารณาตระกูลกงโหวหรอก ต่อให้ตระกูลเหล่านั้นยินยอม อย่างไรนางก็คือบุตรีอนุภรรยา ในสายตาของเหล่าคุณชายตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวง แม้กระทั่งบุตรีภรรยาเอกยังไม่เข้าตาพวกเขา นับประสาอะไรกับสตรีที่เป็นบุตรีอนุภรรยาล่ะ”
“ดังนั้น ข้าเลยคิดว่าจะเลียนแบบตระกูลเหยา เลือกแม่ทัพที่โดดเด่นและมีอนาคตที่ดีออกมาหนึ่งคน เช่นนี้ดีกว่าหรือไม่”
“แม่ทัพ…” ซูกวงหลิงครุ่นพึมพำเสียงเรียบสักพัก แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามีใครที่เลือกไว้แล้วหรือ”