หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 394 รักษาโรค พักฟื้นตัว เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (5)
ตอนที่ 394 รักษาโรค พักฟื้นตัว เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (5)
“วันนี้ยัยหนูสามกลับจากจวนแม่ทัพ ฮูหยินแม่ทัพวานให้รองแม่ทัพถังส่งนางกลับมา ข้าได้พบหน้ากับรองแม่ทัพถังแล้ว เขาไม่เพียงแต่มีหน้าตาที่สง่าราศีและดูมีความสามารถ ทั้งยังดูมีใจให้เหิงเอ๋อร์ ซ้ำยังส่งดอกเบญจมาศเขียวหนึ่งกระถางให้เหิงเอ๋อร์”
ซูกวงหลิงได้ยินคำพูดนี้จึงอดยิ้มไม่ได้ “เกรงว่านี่เป็นความหมายของหมอหลวงเหยาหรือเปล่า”
เหลียงฮูหยินหลุดยิ้ม “ท่านพี่เห็นทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่งจริงๆ” เหยาเยี่ยนอวี่ให้ถังเซียวอี้ส่งซูอวี้เหิงกลับมา มิใช่ว่าต้องการให้ตนเองได้พบหน้าเขาหรือ
“ถังเซียวอี้ดูไม่เลว เพียงแต่ว่าต้นตระกูลไม่ได้สูงศักดิ์มากเพียงนั้น เขาเทียบไม่ได้กับเว่ยจาง ปู่ของเว่ยจางสร้างผลงานยิ่งใหญ่ทางการทหารไว้ เคยติดตามฮ่องเต้องค์ก่อนออกรบ ตระกูลเว่ยถือเป็นตระกูลขุนนางที่มีนาน ทว่าตระกูลของถังเซียวอี้…” ซูกวงหลิงค่อนข้างลังเลใจ
“ท่านพี่ เท่าที่ข้าเห็น เหล่าแม่ทัพเทียบกับขุนนางฝ่ายบุ๋นมิได้ ทว่าหากขุนนางฝ่ายบุ๋นอยากมีอนาคตที่ก้าวหน้าก้าวไกล ต่อให้ใช้เวลาสิบกว่าปีก็คงบรรลุไม่ได้ ทว่าแม่ทัพกลับไม่เหมือนกัน ท่านดูรองแม่ทัพถังที่ยังหนุ่มยังแน่นกลับได้กลายเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ท่านดูแม่ทัพเว่ยสิ ปีก่อนๆ ที่ไปออกรบที่เขตชายแดนตะวันตก ยังเป็นขุนนางขั้นห้าอยู่เลย ทว่าสองปีมานี้กลับได้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ขั้นที่สาม แล้วยังถูกแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นปั๋วเจวี๋ยอีก”
ซูกวงหลิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล เพียงแต่ว่าแม่สื่อทางฝ่ายหญิง…”
เหลียงฮูหยินยิ้มจางๆ “ท่านพี่รู้สึกว่าข้าควรไปขอให้ท่านป้าออกหน้าคุยเรื่องนี้กับหมอหลวงเหยาหรือไม่”
ซูกวงหลิงตะลึงงันทันที เขายิ้มจางๆ พลางพยักหน้า
ป้าของเหลียงฮูหยินเป็นฮูหยินสกุลเหลียงของอัครเสนาบดีเฟิง ถึงแม้เรื่องขององค์ชายใหญ่ทำให้อัครเสนาบดีเฟิงอ้างว่าป่วย จึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับกิจธุระในราชสำนัก และไม่ได้ไปมาหาสู่กับองค์ชายใดอีก ทว่าอย่างไรเขาก็คือบิดาของฮองเฮา ตำแหน่งอัครเสนาบดีคงเพิกถอนไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงยังเป็นถึงพระสัสสุของฮ่องเต้ เรื่องอื่นคงไม่แน่ใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงจะช่วยเหลือได้ไหม แต่ถ้าเรื่องที่เป็นแม่สื่อ อย่างไรนางก็ต้องช่วยเหลือแน่นอน
ไม่ต้องกล่าวถึงเหลียงฮูหยินว่าจะช่วยคุยเรื่องสู่ขอซูอวี้เหิงอย่างไร เพียงเอ่ยถึงหมอหลวงเหยาที่พักฟื้นร่างกายจนหายดีแล้วกลับไปสะสางกิจธุระในสำนักแพทย์จะดีกว่า
หมอหญิงชุดแรกก็ผ่านการทดสอบแล้ว ก่อนหน้านี้เหยาเยี่ยนอวี่ได้ส่งลายน้ำที่บันทึกรายชื่อของหมอหญิงที่สอบผ่านไปให้ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตร วันนี้ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการลงมา ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงได้กลายเป็นหมอหลวงขั้นแปด ส่วนหมอหญิงอีกหกสิบเก้าคนที่เหลือ สี่สิบคนที่มีคุณสมบัติครบครัน สิบคนได้กลายเป็นหมอหญิงที่ดูแลยาสมุนไพร ส่วนอีกสามสิบคนก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยหมอหญิงอย่างเป็นทางการ
ส่วนพวกที่ไม่ผ่านการคัดเลือก บางคนไม่ยอมเรียนรู้ต่อไป จึงเก็บข้าวเก็บของกลับจวนตนเอง มีเพียงสิบกว่าคนที่ยอมเรียนรู้ต่อไป
สิ่งแรกที่เหยาเยี่ยนอวี่ทำตอนมาถึงสำนักแพทย์ ก็คือพบปะกับเหล่าหมอหญิงที่ได้รับการตั้งแต่งเหล่านี้ ทั้งยังเอาประวัติส่วนตัวของชุ่ยเวยและชุ่ยผิงให้กับจางเหล่าหย่วนลิ่ง หลังจากที่ผู้เฒ่าจางอ่านประวัติส่วนตัวแล้ว เขาก็ประทับตรา แม้กระทั่งประวัติส่วนตัวของหมอหญิงสิบสองคนนั้นเขายังเก็บไว้หนึ่งฉบับ
เหตุเพราะหมอหลวงเหยามีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์เกินไป จึงถูกคนมากมายจับตามอง นางเพิ่งจะกลับไปสำนักแพทย์ ก็มีคนไปกราบทูลฮ่องเต้แล้ว
ดังนั้นยังไม่ถึงตอนกินมื้อเที่ยง ขันทีเอกไหวเอินก็มาเยือนที่สำนัก
เหยาเยี่ยนอวี่พลันลุกขึ้นพลางเข้าไปยกน้ำชาให้กงกงท่านนี้ที่โถงใหญ่ ไหวเอินประสานมือคารวะเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วพูดยิ้มๆ “ฝ่าบาททรงรับสั่งให้บ่าวมารับใต้เท้าเหยาเข้าวังหลวง อย่าได้บังอาจชักช้าเลย ใต้เท้าเหยา เชิญตามบ่าวไปเดี๋ยวนี้เถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ตนเข้าวังหลวงนั้นมีเรื่องอะไร ทว่าไม่ว่าเรื่องอะไร นางก็ขัดขืนคำสั่งไม่ได้ ทำได้เพียงตามไหวเอินไป
ฮ่องเต้ไม่ได้ให้นางไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงอักษร และไม่ได้ไปที่ตำหนักจื่อเฉิน ทว่ากลับไปในศาลาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางสวนพฤกษา
หลังจากถึงที่นั่น ไหวเอินก็เข้าไปกราบทูลก่อน ผ่านไปสักพัก เขาก็ออกมาจากด้านในแล้วคารวะเหยาเยี่ยนอวี่ “ใต้เท้าเหยา ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านเข้าไปได้”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือจัดหมวกบนศีรษะ คอเสื้อและแขนเสื้อให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
สิ่งที่คาดคิดไม่ถึงคือด้านในไม่เพียงแต่มีผู้อื่นอยู่ ทว่าผู้อื่นที่เอ่ยถึงคือเซียวตั้น
ตอนนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ฝังเข็มให้เซียวตั้น กลับเห็นผู้เฒ่าเซียวฟื้นขึ้นมาแล้วสลบไปต่อ หลังจากนั้นนางก็พักฟื้นตัวเองในจวนตลอดมา ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งที่สองที่ได้เจอกับผู้เฒ่าที่อัศจรรย์ท่านนี้
“หม่อมฉันเหยาเยี่ยนอวี่ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ! ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” เหยาเยี่ยนอวี่ถวายบังคมอย่างมากพิธี ขณะเดียวกันก็กำลังพร่ำบ่นถึงกฎระเบียบที่ขุนนางต้องปฏิบัติกับฮ่องเต้ว่าซับซ้อนยิ่งนัก
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้ทรงพอพระทัย น้ำเสียงฟังดูปลื้มปิติยิ่งนัก
เหยาเยี่ยนอวี่ขอบพระทัยพลางเหยียดกายลุกขึ้นได้ยินฮองเต้ตรัสและแย้มพระสรวลจางๆ “ครั้งที่แล้วหมอหลวงเหยาสละชีวิตช่วยราชครูของเจิ้นไว้ เจิ้นรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก หากไม่มีหมอหลวงเหยา หลังจากเจิ้นกลับจากเขตล่าสัตว์ เกรงว่าคงไม่ได้พบหน้าราชครูแล้ว เจิ้นต้องขอบคุณเจ้าถึงจะถูก”
“ฝ่าบาททรงตรัสเกินจริงแล้วเพคะ! การช่วยชีวิตผู้ป่วยเป็นหน้าที่พึงกระทำของหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ” เหยาเยี่ยนอวี่รีบค้อมตัวทูลกลับ
“อืม วันนี้เจิ้นให้เจ้ามาที่นี่ ก็เพราะสุขภาพร่างกายของราชครูเจิ้น หมอหลวงจางบอกเจิ้นว่า หลังจากผ่านการรักษาของเจ้า ราชครูของข้ายังมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร้ความกังวลใจ ดังนั้นวันนี้เจิ้นเลยอยากให้เจ้ามาจับชีพจรให้ราชครู”
เหยาเยี่ยนอวี่ประสานมือคารวะอีกครั้ง “เพคะ” ทูลจบก็ค้อมลงต่อหน้าเซียวตั้นอย่างมีมารยาท “ใต้เท้าเซียว ข้าน้อยขอวัดชีพจรให้ท่าน”
เซียวตั้นประสานมือคารวะเหยาเยี่ยนอวี่ “เรื่องเมื่อคราที่แล้ว ยังไม่ได้ขอบคุณหมอหลวงเหยาเลย วันนี้ต้องมารบกวนเจ้าอีกแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ใต้เท้าไม่ต้องเกรงใจหรอก นี่เป็นสิ่งที่เยี่ยนอวี่ควรทำ”
เหยาเยี่ยนอวี่แทนตัวเองด้วยชื่อ แน่นอนว่าเป็นเพราะหันหมิงชั่น ครั้งที่แล้ว นางยอมฝังเข็มให้ผู้เฒ่าคนนี้ ล้วนเป็นเพราะมิตรภาพที่มีต่อหันหมิงชั่นและเซียวหลิน และวันนี้ นางมาที่นี่ก็คำสั่งของฮ่องเต้ จึงถือเป็นงานทางราชสำนัก
เซียวตั้นเป็นผู้เฒ่าที่ฉลาดหลักแหลม ความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่ เขาย่อมฟังแล้วรู้ความ
เหยาเยี่ยนอวี่เดินหน้ามาจับชีพจรให้เซียวตั้นเสร็จ จึงค้อมตัวลงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ “ทูลฝ่าบาท สุขภาพร่างกายของใต้เท้าเซียวดีขึ้นมากแล้ว ภายในหนึ่งปีไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ทว่าก็ควรบำรุงรักษาและพักผ่อนให้มาก เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลใจอะไรอีกต่อไป และควรดื่มยาต้มบำรุงชี่และฝังเข็มปรับลมทุกวันเพคะ”
“อืม เช่นนั้นเจิ้นต้องรบกวนเจ้าช่วยดูแลราชครูของเจิ้นแล้ว” ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า พลางแย้มสรวล “แต่ว่าห้ามใช้วิธีก่อนหน้านี้อีก เจ้าก็คือคนที่เจิ้นให้ความสำคัญเช่นกัน”
พอฮ่องเต้ตรัสถึงเช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ต้องน้อมก้มกราบขอบพระทัยอยู่แล้ว ความหมายนี้กำลังสื่อว่าตนกับราชครูเซียวสำคัญเหมือนกัน!
“ลุกขึ้นเถอะ เจ้าก็เพิ่งจะหายจากอาการป่วยหนัก อย่าได้คุกเข่าบนพื้นเลย” ฮ่องเต้คล้ายกับว่าอยากตรัสอะไรอีก ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้าวังหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันทูลกลับ “ทูลฮ่องเต้ เพคะ”
ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า และแสดงความมีเมตตากรุณา “เช่นนั้นก็พอดีเลย เจ้ากับราชครูอยู่กินสำรับเที่ยงกับเจิ้นที่นี่เถอะ”
เซียวตั้นและเหยาเยี่ยนอวี่ได้รับการโปรดปรานจนรู้สึกหวาดผวา ทั้งสองคุกเข่าลงทันที “ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณเพคะ”
ไม่รู้ว่าท่าทีที่ซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณของราชครูเซียวเป็นความจริงหรือไม่ แต่ว่าท่าทีของหมอหลวงเหยาเป็นเพียงการแสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น นี่กำลังเล่นอะไรอยู่ ร่วมโต๊ะกับฮ่องเต้กระนั้นหรือ แล้วสำรับมื้อนี้จะอิ่มได้อย่างไร ข้าเพิ่งหายจากอาการหนัก ต้องการบำรุงร่างกาย แม้กระทั่งอาหารก็ยังกินไม่อิ่ม แล้วจะบำรุงร่างกายได้อย่างไร