หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 395 ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ที่มิอาจปฏิเสธ (1)
ตอนที่ 395 ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ที่มิอาจปฏิเสธ (1)
ทว่าฮ่องเต้กลับใส่พระทัยยิ่งนัก เขาหันไปสั่งการไหวเอิน “ไปบอกห้องเครื่องจักรพรรดิว่าเครื่องเสวยเที่ยงนี้ เจิ้นจะเสวยพร้อมกับขุนนางที่เพิ่งหายป่วย ให้พวกเขาเตรียมน้ำแกงบำรุงร่างกายมาสองอย่าง”
ไหวเอินน้อมรับคำสั่ง แล้วออกไปสั่งห้องเครื่องจักรพรรดิทันที
เหยาเยี่ยนอวี่และเซียวตั้นขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณอีกครั้ง ทว่าภายในใจกลับพร่ำบ่น ห้องเครื่องจักรพรรดิจะตุ๋นน้ำแกงบำรุงร่างกายอะไรออกมาได้บ้าง แล้วของพวกนั้นจะดีไปกว่ายาต้มบำรุงร่างกายที่หมอหลวงอย่างข้าปรุงเองหรือ
คำโบราณกล่าวว่าไม่มีสว่านมือชั้นดี ก็คงไม่กล้าซ่อมเครื่องเคลือบดินเผา ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่าคำพูดเช่นนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย ผู้ที่เป็นหัวหน้าพ่อครัวแม่ครัวในห้องเครื่องจักรพรรดิต้องไม่ใช่พ่อครัวแม่ครัวทั่วไป แต่นั่นเป็นถึงยอดพ่อครัวแม่ครัวจักรพรรดิแน่ะ
หมอหลวงเหยาลิ้มลองน้ำแกงหอยเป๋าฮื้อตุ๋นถั่วเช่านี้ไปหนึ่งคำ แววตาเป็นประกายทันที…รสชาติไม่เลวจริงๆ! จากนั้นลิ้มลองรังนกปาเจินชาววัง…อื้ม นี่ก็ไม่เลว! เพียงแต่ว่าอาหารอร่อยเช่นนี้ กลับกินอย่างเต็มที่ไม่ได้ ทุกครั้งที่นางกำนัลด้านข้างยกอาหารหนึ่งจานมาให้ ก็ต้องลุกขึ้นขอบพระทัยฮ่องเต้ตลอด…ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อยิ่งนัก
โชคดีที่ฮ่องเต้ก็คือมนุษย์เช่นกัน หากเกิดเป็นมนุษย์ก็ย่อมหวังว่าจะได้กินอาหารอย่างเงียบๆ เหยาเยี่ยนอวี่และเซียวตั้นขอบพระทัยไปหลายครั้งแล้ว ทำเอาฮ่องเต้ก็ทรงขัดเคืองพระทัยนัก จึงผายพระหัตถ์ “ตั้งใจรับประทานสำรับของพวกเจ้าเถอะ อย่าได้มากพิธีอะไรอีกเลย”
ท้ายที่สุดก็ไม่ต้องกินหนึ่งคำแล้วต้องลุกขึ้นมาขอบพระทัยอีกแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่จึงเริ่มลิ้มลองอาหารเลิศรสด้วยความตั้งอกตั้งใจ
ทว่า วันนี้ไม่ใช่วันที่นางดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสจริงๆ นางเพิ่งจะกินไปสองสามคำ ฮ่องเต้ก็เริ่มเสวนากับเซียวตั้น ตอนแรกเหยาเยี่ยนอวี่ยังพึมพำในใจ คนโบราณไม่ได้เข้มงวดในเรื่องที่ไม่พูดคุยเวลากินข้าวและไม่พูดคุยเวลานอนหรือ เหตุใดแม้กระทั่งตอนฮ่องเต้เสวยอาหารกลับยังชวนผู้อื่นพูดคุยด้วยเล่า
หลังจากที่ฟังไปสองสามประโยชน์ หมอหลวงเหยาก็ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป!
ฮ่องเต้กลับเสวนาถึงการศึกษา กิริยาท่าทางตอนอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม และบุคลิกลักษณะของเหล่าองค์ชายกับเซียวตั้น ต่อให้เหยาเยี่ยนอวี่เป็นเพียงหมอหน้าโง่คนหนึ่ง และไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับราชกิจ แต่ก็ยังรู้สึกว่าฮ่องเต้ไม่เพียงแต่พูดขึ้นลอยๆ ทว่ากลับตั้งใจยกมาคุยเป็นประเด็น
นี่…ไม่ใช่ปัญหาทั่วไป! หากก่อปัญหา ตนคงต้องเจอดีแน่ๆ
ดังนั้น เหยาเยี่ยนอวี่จึงเหยียดกายลุกขึ้นในระหว่างที่ฮ่องเต้และเซียวตั้นเสวนากัน แล้วเดินออกจากที่นั่ง จากนั้นไปคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ “ทูลฮ่องเต้ หม่อมฉันรับประทานสำรับเสร็จแล้ว ฝ่าบาทและใต้เท้าเซียวเสวยให้อร่อยเพคะ หม่อมฉัน…”
“เจ้ารับประทานไปแค่สองสามคำเอง อาหารเหล่านี้ไม่ถูกปากเจ้าหรือ ไหวเอิน ไปบอกห้องเครื่องจักรพรรดิทำอาหารที่หมอหลวงเหยาชื่นชอบ”
“ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณ หม่อมฉัน…” ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่กำลังครุ่นคิดว่าฝ่าบาทเสวนาเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน แล้วจะให้นางที่เป็นเพียงสตรีคนหนึ่งฟังอยู่ข้างๆ ไปไยกัน ข้าไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้จริงๆ
ฮ่องเต้กลับไม่ปล่อยให้เหยาเยี่ยนอวี่มากความ แค่เพียงชี้ไปยังที่นั่งของนางเมื่อครู่นี้ พร้อมตรัสว่า “เจ้านั่งลงก่อนเถอะ ประเดี๋ยวเจิ้นมีเรื่องจะถามเจ้า”
นี่เป็นยุคสมัยที่ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ขุนนางตาย ก็ต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้เพียงแค่สั่งให้นางนั่งลงกินข้าวเท่านั้น
เหยาเยี่ยนอวี่ได้เพียงน้อมก้มกราบแล้วขอบพระทัย จากนั้นก็กลับไปนั่งประจำที่แล้วกินอาหารต่อ
ฮ่องเต้และเซียวตั้นเริ่มพูดคุยประเด็นเมื่อครู่นี้ พวกเขากล่าวถึงตั้งแต่องค์ชายรองเหยาเจ๋อร์ที่มีอายุห้าขวบ จวบจนถึงองค์ชายเจ็ดที่มีอายุสิบเอ็ดขวบ ทุกคนล้วนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงจุดเด่นจุดด้อย นิสัยการทำงานและอื่นๆ แม้กระทั่งองค์ชายใหญ่ที่ถูกส่งตัวไปหลิ่งหนานก็ยังวิจารณ์ถึง
เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงกล่อมให้ตนเองเคลิบเคลิ้มไปกับอาหารเลิศรส เพื่อไม่ฟังบทเสวนาของคนที่อยู่ด้านข้าง นางตั้งใจลิ้มรสอาหารแต่ละอย่างว่าใช้วัตถุดิบอะไร ใช้เครื่องปรุงอะไรและใช้สมุนไพรอะไรบ้าง แม้กระทั่งยังพยายามครุ่นคิดว่าใช้ไฟแรงเพียงใด ซ้ำยังอยากจะลิ้มลองให้ออกว่าใช้น้ำมัน เกลือ น้ำส้มสายชู และซีอิ้วในปริมาณเท่าใด
อาหารมื้อนี้กินอย่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
รอให้พวกเขาเสวนาจบ เหยาเยี่ยนอวี่ก็กินจนแน่นท้องเล็กน้อย
อย่างไรเซียวตั้นก็คือคนที่เหยาเยี่ยนอวี่ช่วยชีวิตจากความตาย หลังจากเสวนาเป็นเพื่อนฮ่องเต้ไปสักพัก เขาก็ดูไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา ดังนั้นฮ่องเต้เลยปล่อยให้เขากลับไปพักผ่อน เซียวตั้นพลันลุกขึ้นแล้วกล่าวอำลาทันที
ฮ่องเต้มองผู้เฒ่าวัยแปดสิบกว่าออกจากศาลา ถึงจะตรัสกับเหยาเยี่ยนอวี่ “หมอหลวงเหยา ออกไปเดินเล่นกับเจิ้นที”
เหยาเยี่ยนอวี่ที่กินจนท้องแน่นกำลังอยากจะออกไปเดินย่อยพอดี ทว่าการเดินเล่นกับฮ่องเต้กลับไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายเลย แต่นางจะปฏิเสธได้อย่างไร
บรรยากาศปลายเดือนสิบ ต่อให้ดวงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้า ก็ต้านทานลมหนาวทางเขตตอนเหนือไม่ได้
ตอนออกประตู ไหวเอินก็คลุมเสื้อคลุมขนมิงค์ม่วงให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้หันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงพริบตาเดียว แล้วตรัสด้วยคิ้วขมวด “เจ้าซูบผอมเช่นนี้ สวมชุดขุนนางคงไม่พอ ไหวเอิน เจิ้นจำได้ว่าก่อนหน้านี้มีเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกขาวที่เตรียมไว้เป็นของขวัญวันเกิดองค์หญิงสี่ สั่งให้คนส่งไปหรือยัง”
ไหวเอินพลันค้อมตัวลง แล้วทูลกลับ “ทูลฮ่องเต้ เหตุเพราะองค์หญิงไม่โปรดปรานเชือกรัดเอว ตอนนี้ยังไม่ได้สั่งให้คนไปแก้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงสั่งการ “เช่นนั้นก็เอามาให้เยี่ยนอวี่สวมใส่ก่อนเถอะ แล้วค่อยเอาเครื่องบรรณาการปัวซือที่เป็นฉากกั้นกระจกส่งไปให้องค์หญิงสี่แทน บอกว่าเจิ้นให้เป็นของขวัญวันเกิด”
องค์หญิงสี่คือบุตรีทางสายเลือดของฮองเฮาเหนียงเหนียง หลังจากนางครบหนึ่งขวบก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงอันผิง และเป็นหนึ่งในองค์หญิงสี่คนที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุด ฮ่องเต้กลับเอาเสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกขององค์หญิงสี่ให้ตนเอง?
เหยาเยี่ยนอวี่ที่ได้รับความโปรดปรานเกินไปจนทำให้รู้สึกหวาดผวายิ่งนัก นางพลันคุกเข่าลง “หม่อมฉันไม่สำนึกในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาทเอง เนื่องด้วยชุดคลุมขององค์หญิงนั้นล้ำค่าเกินไป หม่อมฉันมิบังอาจรับไว้ได้ ฝ่าบาทได้โปรดถอนพระราชโองการเพคะ”
“แค่เสื้อคลุมตัวเดียวเท่านั้น อีกอย่างฉยงเอ๋อร์ยังไม่ได้ใส่ ถือว่าไม่ใช่ของนาง” ฮ่องเต้ผายพระหัตถ์ แล้วตรัสด้วยความรื่นเริง “เมื่อครู่เจิ้นเพิ่งจะบอกว่าเจ้ารักษาราชครูของเจิ้นไว้ เจิ้นยังไม่ได้ให้บำเหน็จแก่เจ้าเลย เสื้อคลุมตัวนี้ถือเป็นของบำเหน็จแล้วกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงน้อมคารวะ “ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณเพคะ”
ไหวเอินทำงานว่องไวและรอบคอบ พวกเขาเสวนาเพียงครู่เดียว เสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกก็มาถึงแล้ว เสื้อคลุมสีขาวโพลนไร้สิ่งเจือปน ด้านนอกเป็นขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว ส่วนด้านในเป็นผ้าต่วนชั้นดี ตอนคลุมบนเรือนร่างต้องรู้สึกทั้งนุ่มทั้งอบอุ่นแน่นอน
ไหวเอินผายมือ นางกำนัลสองคนที่อยู่ด้านข้างก็เดินหน้ามาสวมเสื้อคลุมให้เหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นผูกเชือกสีม่วงอ่อนตรงคอเสื้อให้นาง หมอหลวงเหยาที่อยู่ในชุดเครื่องแบบขุนนางชาย พอสวมชุดคลุมแล้ว กลับทำให้นางดูละมุนละไมขึ้นมามาก
“ไปเถอะ” ฮ่องเต้ตรัสไป ก็เดินออกจากประตูก่อน เหยาเยี่ยนอวี่รีบตามติดๆ ไปทันที
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่คิดว่าการที่ตนช่วยชีวิตราชครูเซียวในครั้งนี้ จะทำให้ฮ่องเต้ทรงปฏิบัติเช่นนี้กับตน เริ่มแรกเป็นการเชิญชวนตนกินอาหาร จากนั้นก็ยังเอาชุดคลุมขององค์หญิงอันผิงให้ตนเอง ต้องเข้าใจว่าแม้กระทั่งราชครูเซียวยังแค่กินข้าวไปมื้อเดียวเท่านั้น ทว่าตนกลับได้ชุดคลุมกลับไปหนึ่งตัว?!
ดังนั้นตอนที่เดินตามหลังฮ่องเต้ เหยาเยี่ยนอวี่จึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ทุกฝีเท้าก้าวเดินอย่างหวาดระแวง และยังบอกกับตนเองซ้ำๆ ประเดี๋ยวไม่ว่าฮ่องเต้จะตรัสถามอะไร ก็ต้องครุ่นคิดให้รอบคอบค่อยทูลกลับ
อากาศปลายเดือนสิบ ดอกเบญจมาศร่วงหล่น ดอกเหมยเริ่มออกดอกตูม เพื่อความปลอดภัย ในสวนพฤกษาจักรพรรดิจึงห้ามปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ มีเพียงต้นไผ่เป็นหย่อมๆ เท่านั้น ทำให้นางยิ่งรู้สึกหดหู่ใจ
เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ เดินบนถนนที่มีไม้ประดับตั้งอยู่ริมทางกับฮ่องเต้อย่างช้าๆ รองเท้าหนังแกะก้าวเดินบนพื้นหินกรวด ทำให้เท้าสัมผัสกับความแข็งของหิน ทว่ากลับรู้สึกสบายเท้ายิ่งนัก