หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 397 ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ที่มิอาจปฏิเสธ (3)
ตอนที่ 397 ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ที่มิอาจปฏิเสธ (3)
ยังจะรออะไรอีก หากยังรอคอยต่อไป คนที่ต้องให้หมอหลวงดูอาการก็คือแม่ทัพเว่ย
“แต่ว่า วันนี้ข้าไม่สะดวกจริงๆ” เหยาเยี่ยนอวี่หลบหน้าไปทางอื่น หน้าของนางมุดเข้าไปใต้หมอนแล้วก็แอบยิ้มอยู่อย่างนั้น
“มีอะไรไม่สะดวก…” แม่ทัพเว่ยได้สติกลับมา จึงค่อยๆ เข้าใจในคำพูดของนาง ทว่าเขาชะงักไปสักพักก็รีบโต้แย้งกลับทันที “ไม่มีทาง!” หนึ่งเดือนมาหนึ่งครั้ง วันนี้เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว นางยังดีๆ อยู่เลย!
เหยาเยี่ยนอวี่อยากให้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์กับบุรุษของตนเสียหน่อย นางเลยอธิบายด้วยความอดทน “ทีแรกก็ไม่ใช่วันนี้หรอก ทว่าช่วงนี้กินยาบ่อยไปหน่อย ทำให้ร่างกายผิดปกติ ข้าก็จนปัญญาจริงๆ”
“กินยาแล้วยังจะทำให้ร่างกายผิดปกติด้วยหรือ” แม่ทัพเว่ยไม่อยากเชื่อ
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจด้วยเสียงเบา แล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้วอย่างไร ยามีพิษสามส่วน ต่อให้โสม เขากวางอ่อน เห็ดหลินจือ และถั่วเช่าจะมีประโยชน์มากเพียงใด ก็กินทุกมื้อติดต่อกันไม่ได้ เข้าใจไหม”
ไม่เข้าใจ! เว่ยจางลอบถอนหายใจ แล้วนอนลงข้างกายนางอีกครั้ง จากนั้นยื่นมือไปกุมมือนาง
“ทำอะไรของเจ้า” เหยาเยี่ยนอวี่หันหลังไป ก็เห็นเขาปั้นหน้าดื้อดึง ใบหูแดงระเรื่อ
“เจ้าเป็นคนจุดไฟในตัวของข้า เจ้าต้องดับเอง” เขากุมมือนางด้วยความดื้อดึง
ในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง นางรู้ดีว่าหากทำให้บุรุษปลดปล่อยอารมณ์ไม่ได้ จะนำพาความอันตรายอะไรมาให้นาง ดังนั้น…นี่เรียกว่ากรรมชั่วที่ตนก่อจนมิอาจหลุดพ้นหรือเปล่า เหยาฮูหยินลอบถอนหายใจ
หลังจากนอนดิ้นไปดิ้นมาอย่างทุกข์ทรมาน เว่ยจางยังคงบรรลุความต้องการไม่ได้เช่นเดิม ทว่าก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นเขาถอนหายใจยาวแล้วโอบกอดฮูหยินที่ต้องลำบากตรากตรำเมื่อครู่นี้ เขาบังคับแขนขาที่ยาวเหยียด แล้วเริ่มพูดคุยเรื่องสำคัญ
“วันนี้เข้าวังมาหรือ”
“อืม ฮ่องเต้ให้ข้าไปวัดชีพจรให้ราชครูเซียว”
“จากนั้นล่ะ” เว่ยจางอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เจ้าไม่สนใจชีวิตตนเอง นึกว่าตนเองเป็นเจ้าแม่กวนอิมหรือ”
“เปล่า” เหยาเยี่ยนอวี่เลยเหล่าเหตุการณ์ตั้งแต่แรกจนจบให้เว่ยจางฟัง
หลังจากฟังจบ เขาก็นิ่งงันไปชั่วครู่แล้วถอนหายใจเบาๆ เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่กลางอ้อมกอดของเขา พร้อมพูดด้วยเสียงต่ำ “เรื่องนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว”
“หากอยู่ในสำนักหมอหลวง เกรงว่าวันข้างหน้าเจ้าคงไม่มีชีวิตที่สงบสุข” สิ่งที่เว่ยจางกังวลไม่ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ แต่กังวลว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนั้นในอีกไม่ช้า
เบื้องหลังขององค์ชายทุกคนมีอิทธิพลและอำนาจ ในบรรดาองค์ชายสี่คน องค์ชายเจ็ดอายุน้อยที่สุด และถือว่าหลานของอันกั๋วกง มารดาของเขาจิ่นกุ้ยเหรินเป็นน้องสาวมารดาเดียวกับฮุ่ยกุ้ยเฟย
หลังจากที่องค์ชายใหญ่ถูกส่งตัวไปที่หลิงหนาน องค์ชายสามที่ให้กำเนิดโดยฮุ่ยกุ้ยเฟยจึงกลายเป็นองค์ชายที่มีอายุมากที่สุด ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับเขามาก ฤดูร้อนในปีนี้ยังเคยเป็นตัวแทนของไท่จื่อทำพิธีขอน้ำฝน ขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างนึกว่าองค์ชายสามเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ที่ฮ่องเต้ทรงเลือก
องค์ชายสี่ให้กำเนิดโดยเสียนเฟย บิดาของเสียนเฟยนามอู่อันโหวควบคุมอำนาจทหารซีหนาน เมื่อเทียบกับเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋น ก็ยังไม่ควรดูหมิ่นเขาให้มาก
แล้วยังมีองค์ชายหก ต่อให้มารดาของเขาซูเฟยจะบวชเป็นชี ทว่าท่านตาของเขาก็เป็นถึงอวี้สื่อต้าฟูขั้นที่สามในราชสำนัก เป็นผู้นำฝ่ายตรวจการ และคอยเป็นหูเป็นตาให้ฮ่องเต้ ไม่เพียงแต่ “ตรวจสอบความดีความชั่วที่เหล่าขุนนางกระทำ” นอกจากนี้ยังมีหน้าที่คอยชี้แนะ “ส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองการปกครอง” อีกด้วย
ดังนั้น หากคนเหล่านั้นเกิดเรื่องอะไรที่ไม่สุขสมหวังขึ้น คงทำได้เพียงไปเยือนสำนักแพทย์ทันที จางฉางเป่ยที่เป็นผู้เฒ่าตัวคนเดียว และยังติดตามฮ่องเต้มาหลายปี ฮ่องเต้ทรงพระชนม์อยู่ แน่นอนว่าเขาไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอยู่แล้ว ดังนั้นหากคนพวกนั้นมาเยือนสำนักแพทย์จริง ก็คงมาหาเรื่องเหยาเยี่ยนอวี่คนเดียว
ตอนนี้เป็นรอบแรกที่ฮ่องเต้จะคัดเลือกองค์ชายทั้งสี่ เซียวตั้นต้องไม่กลัวแน่นอน เขาคือคนเฒ่าคนแก่ ซ้ำยังมีฐานะเป็นราชครูฮ่องเต้ ถึงเขาจากเมืองหลวงไปยี่สิบกว่าปี ก็ไม่ได้ทนดูสีหน้าของเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักอยู่แล้ว
ตอนนี้แม้ว่าเซียวหลินจะเป็นขุนนางในราชสำนัก ทว่าเขาก็คือบุตรเขยขององค์หญิงใหญ่หนิงหวา มีจวนเจิ้นกั๋วกงคอยหนุนหลัง ใครจะกล้ามีเรื่องบาดหมางใจกับเขา
พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ เว่ยจางต้องเป็นห่วงเหยาเยี่ยนอวี่เป็นเรื่องธรรมดา นิสัยของนางถึงจะดูอ่อนโยนและรอบคอบในการทำงาน ทว่านางเป็นคนตรงไปตรงมาที่สุด การต้องเผชิญกับคนเหล่านั้น เกรงว่านางจะถูกเอารัดเอาเปรียบ
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินเว่ยจางทอดถอนใจจึงพูดยิ้มๆ “ถอนหายใจไปไยกัน นี่เป็นโชคลาภ ไม่ใช่เคราะห์ร้าย ต่อให้เป็นเคราะห์ร้ายก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาชีวิตที่ดีที่สุดของฝ่าบาท ต่อให้คัดเลือกองค์ชายสืบทอดบัลลังก์ ทว่าก็ยังคงไม่มอบบัลลังก์ในเร็ววัน ขอเพียงฝ่าบาททรงพระชนม์อยู่ ข้าก็คงไม่เป็นอันตรายหรอก”
เว่ยจางเปรยว่า “ฝ่าบาททรงประทับอยู่เบื้องบน และต้องคอยกังวลพระทัยในราชกิจทางการทหารทุกวัน แล้วจะมีเวลามานึกถึงเรื่องในสำนักแพทย์ได้อย่างไร”
“ข้าก็ไม่ยอมให้ใครรังแกง่ายๆ เช่นนั้นหรอก” เหยาเยี่ยนอวี่ลูบหน้าเว่ยจางเบาๆ แล้วเปรยด้วยเสียงต่ำ “หากสำนักแพทย์มีราชครูฝ่าบาทเพิ่มมาอีกคน ก็มีผู้เฒ่าอาศัยอยู่สองคนแล้ว อีกอย่าง คนกินธัญพืชอาหารแห้งหลายชนิด จะให้ไม่ป่วยเลยตลอดชีวิตได้อย่างไร คนเป็นหมอไม่ยอมถูกรังแกง่ายๆ”
เว่ยจางหลุดยิ้ม “เจ้ามักจะพูดเช่นนี้เสมอ” ภายนอกนางดูระมัดระวังและขี้หวาดระแวง อันที่จริงกลับไม่เคยกลัวอะไรเลย
นึกถึงครั้งแรกที่นางเจอตนเองตอนอยู่ในโรงหลอมเหล็ก กลับหลบอยู่ด้านหลังซูอวี้เหิง และตนกลับนึกว่านางเป็นคนขี้กลัวจริงๆ ตอนนี้พอนึกดูแล้ว นางแค่กลัวว่าตนเองจะสร้างปัญหาให้ซูอวี้เหิงหรือเปล่า จึงพยายามหลบหน้าตน พอหลบเลี่ยงไม่ได้…จึงทำได้เพียงเผชิญหน้าโดยตรง
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่รู้ความในใจของเว่ยจาง ตอนนี้นางใกล้จะหลับแล้ว
ข้าจะไม่มีทางทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ไม่มีทางแน่นอน คนที่เคยรังแกเจ้า ข้าจะให้พวกเขาชดใช้เป็นหลายเท่า เว่ยจางก้มหน้ามองใบหน้าที่นิ่งสงบของนาง จึงอดดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้งไม่ได้ จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงบนเส้นผมที่หอมนุ่มของนาง พร้อมทั้งหลับตานอนหลับอย่างสบายใจ
วันถัดไป ตอนเหยาเยี่ยนอวี่ตื่นนอนก็ไม่เห็นหน้าเว่ยจางแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขาไปไหน ต้องไปซ้อมดาบแน่นอน
นางลุกขึ้น สวมเสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัว และกินมื้อเช้า
หลังจากยุ่งกับเรื่องทั้งหมดเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่ที่สวมชุดเครื่องแบบขุนนางหมอขั้นที่สาม และสวมชุดคลุมขนหนูสีข้าวสารด้านนอก กำลังเตรียมตัวเดินทางไปสำนักแพทย์ สำหรับชุดคลุมพระราชทานของฮ่องเต้? ช่างน่าขบขันยิ่งนัก ใครจะกล้าสวมใส่ไปเรื่อยล่ะ ต้องแขวนไว้ชื่นชมบนที่สูงสิ!
ถึงแม้เรือนในสำนักแพทย์จะไม่มาก ทว่าหากเก็บกวาดและจัดระเบียบให้เรียบร้อย ก็ถือเป็นสถานที่ที่น่าอาศัยอยู่เช่นกัน
เหยาเยี่ยนอวี่และจางฉางเป่ยปรึกษาหารือกัน จึงตัดสินใจเตรียมเรือนข้างทางฝั่งตะวันตกให้ราชครูอาศัยอยู่ และก็หมายความว่า ราชครูต้องใช้ข้ออ้างที่ป่วยไข้ เข้าพักสำนักแพทย์อย่างแจ่มแจ้ง
แน่นอน สำนักแพทย์รับผิดชอบเก็บกวาดเรือนให้สะอาด สำหรับของใช้ในเรือน จวนจิ้งไห่โหวเป็นฝ่ายจัดการทั้งหมด
วันถัดไป หันหมิงชั่นก็เข้ามาพร้อมรถม้าคันใหญ่สองคัน นางขนเตียง ตั่งไม้ ตู้ โต๊ะอักษรและเก้าอี้ ซ้ำยังมีมุ้ง ฟูก และเตาเผา ทั้งยังมีภาพวาดธรรมชาติที่ผู้เฒ่าเซียวโปรดปรานที่สุดมาประดับตกแต่งเรือน
รุ่งเช้าวันที่สาม ผู้เฒ่าเซียวก็ยังไม่ได้ย้ายเข้าไป เฟิงฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนอัครเสนาบดีกลับมาเยือนก่อน
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินรายงานของข้ารับใช้ จึงรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยทันที นางไม่เข้าใจว่าแม่เฒ่าคนนี้จะมาทำไม ทว่าก็ต้องไปต้อนรับแม่เฒ่าคนนี้ด้วยตนเอง จากนั้นก็พาไปนั่งในโถงหน้า
หลังนั่งลงแล้วยกน้ำชาให้เสร็จ เฟิงฮูหยินผู้เฒ่าจึงพูดอย่างระรื่น “วันนี้ข้าไม่ได้มาหาหมอ ตั้งแต่ข้าดูแลสุขภาพตามสิ่งที่หมอหลวงเหยาแนะนำ ร่างกายแข็งแรงกว่าแต่ก่อนเยอะ ก่อนหน้านี้ อากาศเหน็บหนาวขึ้นเมื่อไหร่ ข้ามักรู้สึกเวียนศีรษะ ปีนี้กลับไม่มีอาการดังกล่าวแม้แต่น้อย ว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณหมอหลวงเหยามากๆ”