หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 401 กลั่นแกล้งสหาย เปิดโปงคดีลับ (4)
ตอนที่ 401 กลั่นแกล้งสหาย เปิดโปงคดีลับ (4)
“ได้ เจ้ารอฟังข่าวดีได้เลย” หันหมิงชั่นพยักหน้า แล้วขึ้นรถม้ากลับจวนพร้อมกับเซียวหลิน
วันนั้น เหยาเยี่ยนอวี่สกัดใบอิ๋นซิ่งออกมาเป็นของเหลว แล้วค่อยๆ ฉีดเข้าไปในเส้นเลือดดำของผู้เฒ่าเซียว
เดิมทีผู้เฒ่าเซียวยังรู้สึกตื่นเต้นมาก หลังจากตอนแรกที่เข็มทิ่มเข้าผิวหนังแล้วทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยเหมือนถูกยุงกัดแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอีกต่อไป ดังนั้นจึงผ่อนคลายไปมาก ขณะเดียวกันก็ได้พูดคุยเล่นกับเหยาเยี่ยนอวี่สองสามประโยค
หลังจากฉีดยาเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่ก็สั่งให้ชุ่ยเวยเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งคืน หากผู้เฒ่าเซียวเกิดอาการผิดปกติ ให้นางรีบกลับจวนมารายงานทันที จากนั้นก็ยังบอกอาการหลายๆ อย่างที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายเริ่มทำปฏิกิริยากับยาที่ฉีดเข้าไป
ก่อนจากไป หมอหลวงเหยายังกำชับให้ผัวจื่อสองคนที่คอยรับใช้อย่างใกล้ชิดหนึ่งรอบ ห้ามให้ทำเช่นนี้เช่นนั้น ต้องทำเช่นนี้เช่นนั้น
ส่วนเรื่องที่เหลือก็คือการรักษาปลอดภัยในสำนัก เหยาเยี่ยนอวี่ออกจากเรือนของผู้เฒ่าเซียวแล้วยืนอยู่ตรงกลางสวนสักพัก ถึงแม้ทหารแปดนายจะเป็นคนของฝ่าบาท แต่นางยังไม่ค่อยไว้วางใจ หากตนเองรักษาอาการได้และไม่พบปัญหาอะไร กลับเป็นทหารรักษาการณ์ที่สร้างปัญหาขึ้นเอง ตนเองคงตายไปอย่างไม่ยุติธรรมหรือเปล่า
คิดไปคิดมาแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่วางใจอยู่ดี ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่จึงสั่งให้คนกลับจวนเพื่อเชิญแม่ทัพเว่ยมา
เว่ยจางได้ยินคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่ กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่เพียงสั่งให้เก๋อไห่มา แล้วสั่งการโดยตรง “วันหลัง เจ้ามาเฝ้ากะดึกที่สำนักแพทย์ เจ้าต้องคุ้มกันผู้เฒ่าเซียวให้ปลอดภัย มิเช่นนั้น จวนแม่ทัพของพวกเราต้องมีเรื่องให้รับผิดชอบแน่”
เก๋อไห่รีบค้อมตัวรับคำ “แม่ทัพวางใจเถอะ นอกจากข้าตายไป มิเช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีใครกล้ามาแตะต้องผู้เฒ่าเซียวแม้แต่ขนเส้นเดียว ตอนกลางคืนข้าจะนอนในเรือนของเขา”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นยิ้มๆ “ได้ เจ้าไปนอนในเรือนของผู้เฒ่าเซียวเลย ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนเพิ่มเตียงเข้าไป”
“เพิ่มเตียงไปไยกัน แค่เก้าอี้ก็พอแล้ว”
“ไม่ได้” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไป ก็สั่งให้คนยกตั่งไม้เตี้ยเข้าไปในเรือนของผู้เฒ่าเซียว
หลังจากจัดการกับเรื่องทางนี้แล้ว เว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่กำลังจะกลับจวน เซียวหลินก็มาเยือนอีกครั้ง
เดิมทีเขาก็ไม่วางใจอยู่แล้ว หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จจึงมาดูสถานการณ์ทางนี้ เพราะเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เว่ยจางยังสั่งให้เก๋อไห่มารักษาการณ์ที่นี่โดยเฉพาะ นอกจากทำให้เขาวางใจแล้วยังรู้สึกซาบซึ้งใจอีกด้วย จึงประสานมือคารวะให้กับสองสามีภรรยา “บุญคุณอันใหญ่หลวงของทั้งสองท่าน ชีวิตนี้ ข้าคงยากที่จะตอบแทน”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นยิ้มๆ “ไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้ ก็ค่อยตอบแทนภพหน้าสิ”
เว่ยจางตำหนิด้วยรอยยิ้ม “พูดอะไรของเจ้า”
เซียวหลินได้ยินคำพูดนี้ก็ยกยิ้ม “หากว่าภพหน้ามีจริง ข้าต้องไม่ลืมเลือนในมหาการุณย์แน่นอน”
เหยาเยี่ยนอวี่หยอกล้อด้วยหน้าระรื่นต่อ “ข้าไม่ใช่มหาการุณย์ที่ท่านไม่ควรลืมเลือน ข้าไม่ได้เตรียมตัวเป็นวัวเป็นม้าในภพหน้านะ”
ได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างหัวเราะตาม เว่ยจางตำหนิในใจว่าไม่มีอะไรทำให้ฮูหยินของตนหยุดพูดเลย ซ้ำยังทำให้เซียวหลินรู้สึกรื่นเริงในการหยอกล้ออันหวังดีของเหยาเยี่ยนอวี่จากใจจริง จากนั้นเซียวหลินเกลี้ยกล่อมพวกเขาทั้งสองรีบกลับไปกินมื้อค่ำ เขาจะอยู่เฝ้าปู่ของเขาให้หลับก่อน ถึงจะออกจากที่นี่
ระหว่างทางกลับ เว่ยจางบอกเหยาเยี่ยนอวี่ว่าหลายวันมานี้ถังเซียวอี้โศกเศร้าเสียใจยิ่งนัก สุดท้ายจึงเอ่ยถาม “เจ้าจะทรมานเขาไปถึงเมื่อใด”
เหยาเยี่ยนอวี่อดถามด้วยรอยยิ้มเบิกบานไม่ได้ “เจ้าไม่ได้เป็นถึงแม่ทัพหรือไร เป็นคนที่ตัดสินใจทุกอย่างเองมาตลอด เหตุใดเรื่องนี้ถึงดูสับสนงงงวยเช่นนี้เล่า”
“เจ้าไม่เคยได้ยินคำพูดหนึ่งหรือ” เว่ยจางทอดถอนหายใจ ต้แย้งแทนสหายไม่เอาถ่านของตน
“คำพูดอะไร”
“ผู้กล้ายากฝ่าด่านหญิงงาม”
“อ้อ?” เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินจึงขยับเข้าไปใกล้ ในรถม้ามีเพียงไฟดวงเดียว ด้านในมืดมัวอย่างมาก ใบหน้าที่เยือกเย็นของเขาอ่อนโยนขึ้นมาก นิ้วมือของเหยาฮูหยินลูบไล้คิ้วโฉบเฉี่ยวของเขา แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเบา “แล้วเจ้าล่ะ”
เว่ยจางอุ้มนางมาไว้บนตัก แล้วก้มหน้าประกบริมฝีปากนางอย่างดุเดือด
ผ่านไปสักพักถึงจะปล่อยออก “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
“แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าดูนิ่งเฉยตอนอยู่ต่อหน้าข้า”
“หืม?” เว่ยจางกัดติ่งหูของนาง ทำให้คนของอ้อมกอดดิ้นไปดิ้นมา เขาจึงกอดรัดเอวของนางไว้แน่นๆ พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ตอนแรกที่อยู่ในสนามม้า ตอนที่เจ้าสอนข้าขี่ม้า ข้าน่ะนับถือแม่ทัพใหญ่อย่างเจ้าที่ชอบปั้นหน้าเคร่งขรึมจริงๆ!”
“ข้าหวังดีต่อเจ้า มิเช่นนั้นตอนนี้เจ้าจะขี่ม้าได้ดีเช่นนี้หรือ” แม่ทัพเว่ยเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งสงบ
เหยาฮูหยินเบะปากแล้วพร่ำบ่น “แน่อยู่แล้ว ใครที่มีประสบการณ์ล้มหกคะเมนหลายรอบ ก็ย่อมพัฒนาตนเองเป็นเรื่องธรรมดา”
ท้ายที่สุดเว่ยจางก็อดหัวเราะไม่ได้ กลับถูกฮูหยินตบแรงๆ หนึ่งที
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถังเซียวอี้รู้สึกหดหู่ใจ กลัวว่าเขาจะขาดสติแล้วออกไปทำเรื่องอะไรที่ไม่ยั้งคิด เว่ยจางจึงให้เขาอยู่ค้างคืนในค่ายทหารใหญ่ ให้เขาคอยดูแลงานทางการทหาร
ทางฝั่งเหยาเยี่ยนอวี่ก็ฉีดยาอิ๋นซิ่งให้เซียวตั้นติดต่อกันสามวันแล้ว ทั้งยังฝังเข็มให้เขาวันละสองเค่อ ผู้เฒ่าเซียวดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น แค่ไม่มีปัญหาต่อการสอนตำราก็พอ ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่จึงเขียนสาส์นกราบทูลให้ฮ่องเต้ว่าเชิญเหล่าองค์ชายมาร่ำเรียนตำราได้แล้ว
ฮ่องเต้เห็นสาส์นกราบทูลของเหยาเยี่ยนอวี่จึงทรงพระเกษมสำราญยิ่งนัก เลยสั่งให้เหล่าองค์ชายไปร่ำเรียนตำรากับราชครูเซียวในวันถัดไป
เดิมทีเหยาเยี่ยนอวี่ยังให้คนของสำนักแพทย์เตรียมชาและของว่างไว้สี่ชุด ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่ามีเพียงองค์ชายสองคนที่มาร่ำเรียนเท่านั้น
แล้วองค์ชายสามและองค์ชายสี่ล่ะ เหยาเยี่ยนอวี่ฉงนสงสัย กลับไม่กล้าเอ่ยถาม
องค์ชายหกอวิ๋นยิงพอสนิทสนมกับเหยาเยี่ยนอวี่อยู่บ้าง จึงตรัสด้วยรอยยิ้ม “วันนี้พี่สามและพี่สี่ไปฟังเหล่าขุนนางว่าราชการที่ราชสำนัก ข้ากับน้องหกยังร่ำเรียนไม่จบ จึงทำให้เสด็จพ่อกังวลพระทัย วันนี้เลยมาร่ำเรียนตำราที่นี่ ต้องรบกวนหมอหลวงเหยาแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูด “หม่อมฉันรับเบี้ยเลี้ยงมา ก็สมควรแบ่งเบาภาระฝ่าบาทอยู่แล้ว เตี้ยนเซี่ยทั้งสอง ผู้เฒ่าเซียวมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ห้องร่ำเรียนตำราจึงถูกจัดไว้ในเรือนของเขา เชิญตามหม่อมฉันมาเพคะ”
“ได้ หมอหลวงเหยา เชิญ” อวิ๋นยิงพาองค์ชายเจ็ดอวิ๋นรุ่ยเดินตามเหยาเยี่ยนอวี่ไปเรือนของราชครูเซียว
อย่าเห็นว่าหันหมิงชั่นเป็นกุลสตรีที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจในจวน วันนี้พอนางสร้างครอบครัวแล้ว นางที่เกิดมาก็มีพรสวรรค์ในการควบคุมการหุงหาอาหารในบ้านอยู่แล้ว สำหรับเรื่องของถังเซียวอี้และซูอวี้เหิง นางที่เป็นตัวแทนของฝ่ายชาย ก็ได้จัดการกับพิธีกรรมทั้งหกของงานสมรสได้อย่างรอบคอบและเหมาะสม
ทางฝั่งเหลียงฮูหยินแห่งจวนติ้งโหวไม่ได้จับผิดอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งเฟิงฮูหยินผู้เฒ่ายังเอ่ยชมบุตรีขององค์หญิงใหญ่ว่าสะสางทุกอย่างได้อย่างรอบด้าน
งานสมรสของซูอวี้เหิง แน่นอนว่าปิดลู่ฮูหยินไม่อยู่ แม้กระทั่งเหลียงฮูหยินยังจัดอาหารเลิศรสแล้วเชิญลู่ฮูหยินและสะใภ้ทั้งสี่มาร่วมโต๊ะด้วยกัน เหล่าสตรีในจวนติ้งโหวนั่งพูดคุยเล่นกันตามปกติ
ลู่ฮูหยินได้ยินว่าบุรุษที่ซูอวี้เหิงจะฝากชีวิตไว้คือทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเว่ยจาง นามว่าถังเซียวอี้ จึงยิ้มจางๆ “ตอนแรกพวกเขาได้รับชัยชนะจากการรบที่เขตชายแดนตะวันตก ท่านโหวก็เคยปรึกษาหารือกับข้าว่าจะให้เหิงเอ๋อร์แต่งงานกับเว่ยจาง ตอนนั้นเว่ยจางเป็นเพียงขุนนางขั้นห้าเท่านั้น พูดถึงก็ยังเป็นแม่ทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้าใหญ่ ทว่าองค์หญิงต้าจั่งรู้สึกว่าเหิงเอ๋อร์มีนิสัยตรงไปตรงมา หากนางออกเรือนกับแม่ทัพคนหนึ่ง อนาคตกลัวว่าจะทะเลาะถกเถียงกันบ่อยๆ จึงบอกว่าจะเลือกปัญญาชนที่สอบคัดเลือกขุนนางช่วยวสันต์และยังมีตระกูลสูงศักดิ์ให้นาง นึกไม่ถึงว่าเรื่องนี้กลับถูกยืดเยื้อมานานนม จวบจนองค์หญิงต้าจั่งก็ทรงประชวรจนสวรรคต พอพูดถึงแล้ว งานสมรสของเหิงเอ๋อร์กลับเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างจริงๆ”