หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 402 กลั่นแกล้งสหาย เปิดโปงคดีลับ (5)
ตอนที่ 402 กลั่นแกล้งสหาย เปิดโปงคดีลับ (5)
ความหมายที่แองแฝงอยู่ในคำพูดเหล่านี้ หากไม่ใช่เพราะว่าองค์หญิงต้าจั่งทรงขัดขวาง ตอนนี้แม่ทัพใหญ่ฟู่กั๋วก็ได้กลายเป็นสามีของซูอวี้เหิงแล้ว
พอกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา เหลียงฮูหยินก็ค่อยยังชั่ว ทว่าเหยาเฟิ่งเกอกลับไม่สบอารมณ์ก่อน เหมือนว่าเว่ยจางเป็นบุรุษที่ซูอวี้เหิงไม่เลือกแล้วถึงจะตกเป็นของน้องสาวตนเอง หากคำพูดพวกนี้หลุดออกไปให้คนนอกได้ยินเข้า ตระกูลเหยาจึงจะอับอายขายขี้หน้า
เรื่องอื่นนางอดทนได้ ทว่าเรื่องนี้กลับทนฟังไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงพูดยิ้มๆ “ดูท่านแม่พูดเข้าสิ งานสมรสของแม่ทัพใหญ่ฟู่กั๋วและน้องสาวเป็นงานสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท ขืนคนนอกมาได้ยินคำพูดของท่านแม่เข้า เกรงว่าจะเป็นความผิดที่ดูหมิ่นอำนาจของฝ่าบาทหรือเปล่า”
ลู่ฮูหยินและเหยาเฟิ่งเกอไม่ถูกคอกันเป็นเรื่องที่เห็นกันทั่วหน้าอยู่แล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าสะใภ้คนนี้กลับไม่ให้เกียรติตนเองต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงมีสีหน้าเยือกเย็นแล้วพร่ำบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่ก็อยู่ในจวนตนเอง และสิ่งที่ข้าพูดก็คือความจริง ตอนนั้นพวกเราพูดคุยถึงเรื่องนี้ เจ้าเองก็อยู่ด้วย เหตุใดเจ้าถึงไม่เปิดโปงข้าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ลงโทษข้าที่ดูหมิ่นอำนาจของฝ่าบาท”
เฟิงฮูหยินน้อยเห็นทั้งสองกำลังถกเถียงกันต่อหน้าฮูหยินรอง ทำได้เพียงยุติความขัดแย้งนี้ ด้วยการพูดยิ้มๆ “พูดถึงแล้ว งานสมรสครั้งนี้เพียงเพราะเป็นฟ้าลิขิต น้องเหยาและแม่ทัพเว่ยมีบุพเพสันนิวาสกัน เมื่อได้ครองรักกันแล้วจึงอยู่ครองเรือนกันอย่างมีความสุข น้องสามของพวกเราก็ถือว่ามีบุพเพกับรองแม่ทัพถังเช่นกัน ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยพบปะกับรองแม่ทัพถัง เขาก็คือบุรุษที่สง่าผ่าเผยและมากความสามารถเช่นกัน ตระกูลพวกเรามีเขยที่ฉลาดหลักแหลมและรูปร่างหน้าตาดีเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”
ลู่ฮูหยินเหลือบมองเหยาเฟิ่งเกอด้วยแววตาเลือดเย็นแล้วไม่พูดไม่จาอีก เหยาเฟิ่งเกอจิบชาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่มองลู่ฮูหยินแม้แต่พริบตาเดียว อย่างไรพวกนางก็ฉีกหน้ากันตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ก็อย่าไปสนใจเลย
เหลียงฮูหยินกลับคาดไม่ถึง ก่อนหน้านี้นางได้ยินว่าฮูหยินน้อยสามและลู่ฮูหยินไม่ถูกคอกัน ช่วงก่อนเนื่องด้วยเรื่องของเจ้าสามทำให้พวกนางมองหน้ากันไม่ติด เพียงแต่ว่านางไม่เคยเห็นกับตามาก่อน ยังนึกว่าข้ารับใช้บรรยายเกินจริง วันนี้ดูท่าแล้วกลับเป็นความจริง
อันที่จริงคำพูดเมื่อครู่นี้ของลู่ฮูหยิน คนที่โมโหที่สุดไม่ใช่เหยาเฟิ่งเกอ กลับเป็นซูอวี้เหิง
ซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้องทางสายเลือด ในใจของซูอวี้เหิง ตนเองกับพี่เหยาสนิทสนมกันจนบอกได้ว่าตายแทนกันได้ วันนี้กลับถูกลู่ฮูหยินพูดเช่นนี้! นางจะไม่โมโหได้อย่างไร!
เพียงแต่ว่าต่อให้นางอยากพูดอะไรออกมามากเพียงใด ก็ถูกสายตาของเหลียงฮูหยินขัดขวาง ลู่ฮูหยินกำชับนางด้วยสายตาว่าอย่าสร้างปัญหา นางก็ไม่กล้ามีเรื่องบาดหมางใจกับมารดาเอกคนนี้ ทว่าคิดไปคิดมา ความโมโหนี้ก็ยากที่จะอัดอั้นไว้ หลังจากฟังทุกคนเบี่ยงประเด็นนี้แล้ว จู่ๆ นางก็เอ่ยว่า “วันก่อนข้าฝันว่าองค์หญิงต้าจั่งหาว่าข้าไม่มีจิตสำนึก เวลาล่วงเลยมานานเช่นนี้กลับไม่ไปเยี่ยมเยียนนางเลย ว่าไปแล้วข้าก็ไม่มีจิตสำนึกจริงๆ งานสมรสก็ถูกกำหนดไว้แล้ว กลับไม่ได้บอกองค์หญิงต้าจั่งแม้แต่คำเดียว วันนี้หากไม่ใช่เพราะว่าฮูหยินใหญ่เอ่ยถึงองค์หญิงต้าจั่ง ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดข้าถึงฝันเช่นนั้น ท่านแม่ ข้าอยากถือเวลาที่อากาศยังไม่หนาวเกินไปนี้ไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงต้าจั่งเสียหน่อย คิดว่าหากรอให้ถึงครั้งหน้า ก็คงเป็นช่วงเชงเม้งแล้ว”
ตอนที่ซูอวี้เหิงกล่าวคำพูดนี้ออกมาก็ลอบมองสีหน้าของลู่ฮูหยินอย่างเงียบๆ กลับเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางจืดจางลงดั่งที่คาด แววตาดูกระวนกระวาย ท่าทีราวกับว่ากำลังร้อนตัว
เหลียงฮูหยินไม่โต้แย้งคำพูดของซูอวี้เหิงอยู่แล้วจึงเปรยว่า “ข้าจะสั่งให้คนไปเตรียมการ เจ้าก็ไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงต้าจั่ง อย่างไรนางก็รักใคร่และเอ็นดูเจ้ามาหลายปี วันนี้เจ้าใกล้จะออกเรือนแล้ว ก็ควรบอกนางให้ทราบเรื่องเสียหน่อย”
ซูอวี้เหิงเหยียดกายลุกขึ้นพร้อมโค้งคำนับและขานรับว่า ‘เจ้าค่ะ’ จากนั้นเอ่ยขึ้นต่อ “เช่นนั้นข้าขอกลับไปเตรียมตัวก่อน ช่วงก่อนข้าจดบทสวด ‘อ่วงแซ’ ให้องค์หญิงต้าจั่ง วันรุ่งขึ้นจะได้นำไปให้คนเฝ้าสุสานสวด”
“ดี” เหลียงฮูหยินพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ ฮูหยินใหญ่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เจ้าไม่อยู่เคียงข้างนาง นางก็คงไม่ถือโทษเจ้าหรอก”
ซูอวี้เหิงจึงโค้งคำนับพร้อมทั้งกล่าวขอโทษกับลู่ฮูหยิน จากนั้นก็ขอตัวกับเฟิงฮูหยินน้อยและสะใภ้อื่นๆ จากนั้นก็กลับเรือนของตน
เดิมทีเป็นการอยู่ร่วมโต๊ะกันเพื่อเฉลิมฉลองอย่างรื่นเริงยินดี ทว่าเนื่องจากปัญหาระหว่างลู่ฮูหยินและเหยาเฟิ่งเกอ และคำพูดสองสามประโยคของลู่ฮูหยิน ทำให้ทุกคนหมดสนุก เฟิงฮูหยินน้อยเห็นว่าต่อให้นั่งพูดคุยเล่นกันต่อก็คงไม่มีความหมายอะไร จึงหาข้ออ้างว่าจิ่นอวิ๋นเป็นไข้ เลยขอตัวกลับไปดูแลนางก่อน
เหยาเฟิ่งเกอเลยเอ่ยว่า “คุณชายสามต้องการคนดูแลอย่างไม่คลาดสายตา ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ขอตัวกลับก่อน”
พวกนางสองคนจากไป ซุนฮูหยินน้อยก็ไม่ได้นั่งต่อ ทว่ากลับไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไร เพียงแค่หันไปมองลู่ฮูหยิน ลู่ฮูหยินจึงพูดว่า “ข้าก็เหนื่อยแล้ว วันนี้ขอบคุณสำหรับอาหารและสุราชั้นดีที่น้องสะใภ้รองจัดเตรียม พวกเราจะกลับกันแล้ว ไว้จะชวนน้องสะใภ้รองไปนั่งเล่นในเรือนวันหลัง”
เหลียงฮูหยินทำได้เพียงลุกขึ้นเดินไปส่ง พอเห็นทุกคนต่างนั่งเกี้ยวจากไป จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วไปเยือนเรือนของซูอวี้เหิง
ซูอวี้เหิงเห็นเหลียงฮูหยินเข้ามา จึงรีบลุกขึ้นและยกน้ำชาคำนับ
เหลียงฮูหยินเห็นนางกำลังเก็บข้าวของตนเอง จึงพูดว่า “อากาศเหน็บหนาวแล้ว เมื่อครู่เพราะอยู่ต่อหน้าฮูหยินใหญ่ ข้าเลยไม่อยากพูดอะไรออกมา เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงอยากไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงต้าจั่งเล่า”
ซูอวี้เหิงหันไปมองจั๋วอวี้เพียงแวบตาเดียว จั๋วอวี้พลันค้อมตัวลง แล้วพาเหล่าสาวใช้ออกจากเรือน
เหลียงฮูหยินเห็นแล้วรู้สึกประหลาดใจ เลยเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ซูอวี้เหิงจึงเล่าอาการประชวรก่อนจะสวรรคตขององค์หญิงต้าจั่งและเรื่องที่ตนไปตามเหยาเยี่ยนอวี่มารักษา ทั้งยังมีเรื่องที่หลังจากนางกลับมา จู่ๆ องค์หญิงต้าจั่งก็สวรรคตไปแล้ว ตอนนั้นกลับมีเพียงลู่ฮูหยินที่เฝ้าอยู่ข้างกายองค์หญิงต้าจั่ง ส่วนอันหมัวมัว เถียนซื่อ จือเซียง หลิงเซียงและคนอื่นๆ ก็ไม่อยู่แม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ ตอนที่องค์หญิงต้าจั่งจากไป ฮูหยินใหญ่ก็ฝันร้ายทุกคืน
เหลียงฮูหยินฟังจบ ผ่านไปพักใหญ่ก็ไม่เอ่ยพูดใดๆ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ หากเป็นความจริงขึ้นมา เกรงว่าทั้งตระกูลซูคงถูกผลาญ
ซูอวี้เหิงพูดขึ้นต่อ “หลังจากฝังศพขององค์หญิงต้าจั่ง ตามกฎระเบียบแล้ว อันหมัวมัวและเถียนซื่อจะถูกปล่อยไปใช้ชีวิตของตนเองตามลำพัง ส่วนสาวใช้จือเซียงและหลิงเซียงน่าจะได้รับการเมตตา ทว่าวันนี้ถูกฮูหยินใหญ่สั่งให้ไปเฝ้าสุสาน หากพูดถึงเรื่องเหล่านี้ อาจถูกมองว่าเป็นการพูดเพ้อเจ้อ หากนางกระทำความผิดร้ายแรงเช่นนั้นจริง ความผิดนี้ก็คงเป็นเหตุให้ทั้งตระกูลซูถูกผลาญอย่างสิ้นซาก ข้าก็คงไม่อยากเอาเรื่องนี้มาทำให้ทั้งตระกูลต้องตาย ทว่าข้าก็รู้สึกสงสารพวกอันหมัวมัว ข้ากลัวว่า…พวกนางจะเจอเรื่องที่คาดไม่ถึง”
เหลียงฮูหยินถึงจะได้สติกลับมา แล้วจับมือซูอวี้เหิงไว้ทันที พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “เจ้าได้พูดเรื่องนี้กับใครแล้วบ้าง”
ซูอวี้เหิงยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจไป ข้าไม่ใช่คนซื่อ คำพูดพวกนี้ต้องไม่เอ่ยออกมาอย่างเรื่อยเปื่อยอยู่แล้ว นอกจากท่านแม่ ข้าไม่เคยบอกใครอีกเลย อีกอย่างข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้น ท่านแม่ก็ไม่ต้องหวาดกลัวอะไร ข้าเพียงคิดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก!” เหลียงฮูหยินผุดลุกด้วยความกระวนกระวาย แล้วเดินไปเดินมาในเรือนสองรอบ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปสุสานองค์หญิงต้าจั่งกับเจ้า”
ซูอวี้เหิงตะลึงงัน แล้วพูดว่า “นี่…คงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรหรือเปล่า ท่านแม่ระดมกำลังคนมากมายเช่นนี้ กลับทำเหมือนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ”
“อืม เจ้าก็กล่าวได้มีเหตุผล” ตอนนี้เหลียงฮูหยินคิดอะไรไม่ออกจริงๆ