หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 405 เฟิ่งเกอแกว่งมือ อวี้เหิงประสบภัย (3)
ตอนที่ 405 เฟิ่งเกอแกว่งมือ อวี้เหิงประสบภัย (3)
ตระกูลซูเป็นตระกูลเลื่องชื่อมานานนับร้อยปี ทั้งยังเป็นพระประยูรญาติ ตระกูลขุนนางทั่วไปมิอาจเทียบเทียมได้ อีกอย่าง หลิวซั่งซิวมีฐานันดรศักดิ์ไม่สูงส่ง อันที่จริงเขาเป็นเพียงหมอทหารธรรมดา ตำแหน่งไม่ได้สูงศักดิ์อยู่แล้ว อีกอย่างหมอทหารอาศัยอยู่ในค่ายทหารเป็นประจำ ไม่มีโอกาสเข้าไปเยือนในจวนตระกูลที่มีอำนาจอยู่แล้ว ดังนั้นหมอทหารหลิวเดินเข้าประตูใหญ่จวนติ้งโหวก็เก็บสีหน้าเย่อหยิ่ง ตอนนี้ นอกจากรู้สึกตื่นเต้นดีใจแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าตนเองจะผ่านพ้นช่วงเวลาลำบากได้เสียที
หลังจากเสร็จสิ้นการน้อมคำนับ ลู่ฮูหยินก็สั่งเหลียนหมัวมัว “พาใต้เท้าหลิวไปดูอาการให้เจ้าสามได้แล้ว”
หลิวหมัวมัวรีบรับคำ แล้วพาหลิวซั่งซิวมุ่งหน้าไปยังเรือนฉีเสียง
หลิวซั่งซิวรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าคุณชายสามแห่งจวนติ้งโหวเป็นพี่เขยของเหยาเยี่ยนอวี่ วันนี้จวนติ้งโหวเชิญตนมาดูอาการให้คุณชายสาม ทำให้เห็นว่าเป็นการดูหมิ่นเหยาเยี่ยนอวี่ ดูสิ แม้กระทั่งญาติมิตรยังไม่ปกป้องนาง นางไม่ช่ำชองการไปมาหาสู่กับผู้อื่นจริงๆ หมอทหารหลิวครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
ในสายตาของหลิวซั่งซิว แผลของซูอวี้เสียงเป็นแผลเล็กๆ เท่านั้น หากอยู่ในค่ายทหาร เขาคงไม่ต้องรักษาแผลเช่นนี้ ปล่อยให้ผู้ช่วยหมอจัดการก็พอ นอนพักบนเตียงไปก็คงหายดี
ทว่าคุณชายสามตระกูลซูคือใคร เป็นถึงลูกผู้ลากมากดีที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจ หลิวซั่งซิวจะกล้าไม่แยแสเขาได้อย่างไร ดังนั้น เขาเลยจับชีพจร ดูแผล และนวดเส้นเอ็นให้เขา จากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็ได้ผลสรุป “แผลของคุณชายสามไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่ต้องพักฟื้นตัวสักพักก็ดีขึ้นแล้ว ช่วงนี้อย่าเพิ่งลงมาเดิน เอวของบุรุษ แน่นอนว่าเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่ง จึงต้องดูแลเป็นอย่างดี”
ซูอวี้เสียงทำเสียงฮึดฮัด “ตามที่เจ้าพูด ข้าเพียงแค่นอนนิ่งๆ บนเตียงหนึ่งเดือน แผลก็จะดีขึ้นใช่หรือไม่”
หลิวซั่งซิวได้ยินน้ำเสียงนี้ของคุณชายสาม จึงทำหน้ายิ้มๆ ทันที “ไม่ขอรับ ครั้งหน้าข้าจะนำยาทาบรรเทากระดูกอักเสบมาให้ท่านสองชุด คุณชายสามใช้นวด จากนั้นก็กิน ‘ยาเม็ดสลายเลือดคั่งและช่วยให้เลือดหมุนเวียน’ ประมาณสิบวัน ก็ลงมาเดินบนพื้นได้แล้วขอรับ”
ซูอวี้เสียงไม่ได้สนใจใดๆ เพียงแค่นเสียงฮึดฮัดแล้วหันหน้าไปทางอื่น
หลิวซั่งซิวเอายาทาและยาเม็ดเก็บไว้กับหลิงจือ แล้วกำชับวิธีใช้ จากนั้นกล่าวอำลา
หลิวหมัวมัวพาหลิวซั่งซิวออกจากเรือนฉีเสียง แล้วไปเรือนของลู่ฮูหยิน ลู่ฮูหยินตบรางวัลหมอทหารหลิวเป็นเงินยี่สิบตำลึงและผ้าชั้นดีสองผืน หมอทหารหลิวกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็นำรางวัลจากไปด้วยใบหน้าระรื่น
กล่าวถึงซูอวี้เหิงที่ออกจากเมืองหลวงแล้วมุ่งหน้าไปยังสุสานขององค์หญิงต้าจั่ง พวกเขาเดินทางไม่หยุดพัก ถึงแม้จะยากลำบาก ทว่าก็ถือว่าราบรื่นไปด้วยดี
เพียงแต่ว่ารอให้นางถึงสถานที่นั้นแล้วมองหากลุ่มคนที่เฝ้าสุสาน มีผู้เฒ่าคนหนึ่งกลับบอกว่าอันหมัวมัวเสียชีวิตไปแล้ว ซูอวี้เหิงสะดุ้งตกใจทันที ผ่านไปสักพักถึงจะถามว่า “เสียชีวิตได้อย่างไร พวกเจ้าก็บังอาจยิ่งนัก คนตายทั้งคนกลับไม่ส่งสารกลับไปที่จวน?!”
ผู้เฒ่าคนนั้นส่ายหัว แล้วพูดว่า “บ่าวแค่รับผิดชอบถางหญ้ารอบสุสานองค์หญิงต้าจั่งเท่านั้น ส่วนคนที่เฝ้าสุสานนั้นพ่อบ้านเฉาเป็นคนจัดการ คุณหนูได้โปรดไปถามพ่อบ้านเฉาขอรับ”
ซูอวี้เหิงจึงสั่งด้วยน้ำเสียงโมโหทันที “พ่อบ้านเฉาล่ะ ไปตามเขามาหาข้า!”
“เอ่อ…เมื่อคืน คนในครอบครัวของพ่อบ้านเฉาบอกว่ามารดาของเขาป่วยหนัก เขาเลยเดินทางกลับบ้านเกิดตอนกลางดึก”
ซูอวี้เหิงได้ยินคำพูดนี้จึงสิ่งโมโหทันที “พูดเช่นนี้ ทุกวันนี้ไม่มีใครคาดคะเนออกถึงเรื่องราวทุกอย่างขององค์หญิงต้าจั่ง! พวกเจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก! พวกเจ้ารู้สึกว่าองค์หญิงต้าจั่งทรงสวรรคตไปแล้ว เรื่องของนางก็จะไม่มีใครยุ่งอีกกระนั้นหรือ!”
“คุณหนูได้โปรดอย่าโกรธเคือง เมื่อคืนพ่อบ้านเฉาเพิ่งจะออกเดินทาง ข้ารับใช้หลายสิบคนที่อยู่ในนี้ล้วนมีหน้าที่ที่พึงกระทำ ไม่มีใครกล้าทำให้งานที่ได้รับมอบหมายล่าช้าไป”
ซูอวี้เหิงเกียจคร้านพูดให้มากความจึงเอ่ยถามโดยตรง “อันหมัวมัวสิ้นใจไป บุตรชายและสะใภ้ของนางล่ะ”
“บ้านเกิดของอันหมัวมัวอยู่ที่มณฑลจั้นหวา บุตรชายและสะใภ้ของนางนำเถ้ากระดูกของนางไปฝังที่สุสานตระกูลนางแล้ว เพิ่งจะจากไปสองวัน”
“เพิ่งจะจากไปสองวันหรือ!” ซูอวี้เหิงรู้สึกเครียดจนเลือดแทบกระอัก สองวัน! ว่าไปแล้วนี่ก็คือวันที่สองที่นางบอกว่าจะมาเยือนสุสานองค์หญิงต้าจั่ง บุตรชายและสะใภ้ของอันหมัวมัวเพิ่งจะส่งเถ้ากระดูกกลับบ้านเกิด! นี่ต้องมีสาเหตุแอบแฝง!
เพียงแต่ว่าพวกเขาจากไปสองวันแล้ว ต่อให้จะตามไปทีหลังก็คงไม่ทันการ ซูอวี้เสียงนึกถึงเช่นนี้จึงอดยิ้มขมขื่นมิได้ ตามไปอะไรกัน ไม่แน่สองสามีภรรยาอาจถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว
ทำเช่นไรดี! ทำเช่นไรดี! ซูอวี้เหิงยืนมองมรณะศิลาจารึกหยกขาวอันสูงใหญ่ขององค์หญิงต้าจั่งท่ามกลางลมหนาว เพียงรู้สึกว่าหนาวสะท้านทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ความหนาวเย็นเข้ากระดูกนี้แทบจะหยุดความคิดของนางไว้ ทำให้นางครุ่นคิดอะไรไม่ออก และหนาวสะท้านถึงขั้วหัวใจ
ก่อนที่นางจะมา เหลียงฮูหยินบอกนางว่าฮูหยินใหญ่สั่งให้เหลียนรุ่ยไปในจวน บอกว่าไปส่งธูปไม้จันทน์ขาว ท่าทีของเหลียนรุ่ยไม่ผิดปกติ เพียงแค่มาส่งของธรรมดาเท่านั้น ทว่าดูท่าแล้ว นี่เป็นเพียงการอำพรางของพวกเขาเท่านั้น คนที่เหลียงฮูหยินส่งไปก็ถูกพวกเขาหลอกล่อ
“คุณหนู?” จั๋วอวี้เดินหน้ามารายงานด้วยเสียงแผ่วเบา “บ่าวเจอจือเซียงแล้วเจ้าค่ะ”
“อยู่ไหน” ภายในใจของซูอวี้เหิงมีความหวังขึ้นมาทันที
“อยู่ด้านหลัง ให้บ่าวบอกให้นางมาเจอคุณหนูไหมเจ้าคะ” จั๋วอวี้ตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ
แววตาของซูอวี้เหิงฉายแววเลือดเย็น แล้วมองตัวอักษรที่สลักบนมรณะศิลาจารึกขององค์หญิงต้าจั่ง พร้อมพูดว่า “ไม่ต้อง เจ้าพาข้าไปเจอนาง”
จั๋วอวี้รับคำ “คุณหนูตามบ่าวมาเจ้าค่ะ”
จือเซียงเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติองค์หญิงต้าจั่ง ถึงแม้นางจะถูกเลือกภายหลัง ทว่าก็ปรนนิบัติอยู่ข้างกายองค์หญิงต้าจั่งมาสี่ห้าปีแล้ว แต่นางเป็นคนที่พิถีพิถันและรอบคอบ สองมือของนางทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังทำอาหารได้เลิศรส องค์หญิงต้าจั่งโปรดปรานนางมาก ถือว่าเป็นบ่าวคนสำคัญที่มากความสามารถ
ก่อนหน้านี้ซูอวี้เหิงมักจะพูดคุยเล่นอย่างสนุกสนานกับจือเซียงอยู่บ่อยครั้ง สาวใช้ที่ถูกคัดเลือกให้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายองค์หญิงต้าจั่ง ก็ต้องเป็นสาวใช้รูปงามที่น่าดึงดูดอยู่แล้ว
ทว่าไม่เจอกันเพียงแค่ปีกว่า ตอนนั้นที่ซูอวี้เหิงเจอนาง น้ำตาก็อดไหลรินลงมาไม่ได้ และเกือบจะร้องไห้เสียงดัง
ตอนนี้ จือเซียงกลับมีดวงหน้าเหลืองซีดและซูบผอมยิ่งนัก นางสวมเสื้อผ้าหยาบสีเทาตัวบาง ทั้งเรือนร่างสั่นสะท้านไม่หยุด พอมองสองมือที่ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วคู่นั้น กลับหยาบกร้านและเน่าเปื่อย ไม่เหมือนแต่ก่อนแม้แต่น้อย!
“น้อมคำนับคุณหนูเจ้าค่ะ” จือเซียงโค้งคำนับ แล้วถูกซูอวี้เหิงฉุดรั้งไว้
“เหตุใดเจ้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!” น้ำเสียงของซูอวี้เหิงใคร่อยากร้องไห้
“คุณหนูอย่าได้เสียใจไป” จือเซียงพลันปลอบโยนซูอวี้เหิง “บ่าวยังทนไหว”
ซูอวี้เหิงส่ายหัวด้วยน้ำตา “ข้าเองที่กระทำผิดต่อพวกเจ้า ข้ากระทำผิดต่อองค์หญิงต้าจั่ง…ข้าเองที่ไร้ความสามารถ ข้าไร้ความสามารถ…”
“คุณหนูอย่าถือโทษตัวเองเลย นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณหนูเจ้าค่ะ” จือเซียงดึงซูอวี้เหิงเข้าไปในเรือนเล็กๆ ของตน ด้านในหนาวสะท้านราวกับอยู่ในถ้ำหิมะ จั๋วอวี้รีบสั่งให้คนขนเตาผิงบนรถม้าเข้ามาในเรือนแล้วเติมถ่านให้เต็ม
ซูอวี้เหิงรีบเอาเตาผิงมือของตนไปให้จือเซียง และถามว่าตอนนี้หลิงเซียงเป็นเช่นไรบ้างแล้ว
จือเซียงยิ้มอย่างขมขื่น “หลิงเซียงเพิ่งจะแต่งงานกับบุตรชายของพ่อบ้านเฉาเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อวานพ่อบ้านเฉากลับบ้านเกิด จึงพาบุตรชายและสะใภ้กลับไปด้วยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเรื่องของอันหมัวมัวมันเป็นอย่างไรกันแน่”
จือเซียงเปรยอย่างจนปัญญา “อันหมัวมัวสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่แรกแล้ว คุณหนูก็เห็นว่าวิถีชีวิตอยู่ที่นี่ นางอาศัยอยู่ที่นี่มานานนมเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว…”