หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 409 คุณชายสามซูป่วยหนัก คุณชายรองเหยาได้บุตรชาย (3)
ตอนที่ 409 คุณชายสามซูป่วยหนัก คุณชายรองเหยาได้บุตรชาย (3)
ซูอวี้อันพลันพูด “ทำตามคำแนะนำทั้งหมดของหมอหลวงไป๋เถอะ เพียงแต่ว่ายาของสำนักแพทย์ไม่ได้ได้มาง่ายเช่นนั้น ไม่รู้ว่าร้านยาตระกูลไป๋จะหาซื้อแผ่นแปะบรรเทาอาการปวดนี้ได้หรือไม่”
ไป๋จิ้งหยางพูดขึ้นยิ้มๆ “จวนซูเป็นญาติกับตระกูลเหยา ซ้ำคุณชายสามยังเป็นถึงพี่เขยของหมอหลวงเหยามิใช่หรือ อยากได้ยาที่หมอหลวงเหยาปรุงจะไปยากได้อย่างไรกัน ไม่จำเป็นต้องซื้อหรือเปล่า”
ซูอวี้อันพูดขึ้นยิ้มๆ แล้วกล่าวว่า “กล่าวได้ไม่ผิด ทว่าช่วงนี้ก็ลำบากตระกูลเหยามามากพอแล้ว เพื่อแผ่นแปะบรรเทาอาการปวด คงไม่ต้องไปขอความช่วยเหลือถึงจวนเหยา หากร้านยาประจำตระกูลไป๋มีจำหน่ายอยู่แล้ว ประเดี๋ยวให้ส่งมาพร้อมยาต้ม เช่นนั้นไม่สะดวกกว่าหรือ”
ไป๋จิ้งหยางพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีขอรับ ข้าน้อยเขียนยาสมุนไพรไว้ให้แล้ว อันที่จริงแผ่นแปะที่เอ่ยถึงไม่ได้แตกต่างไปจากยาทาทั่วไปเลย เพียงแต่จะบรรเทาอาการปวดได้ดีกว่า แผลตรงเอวของคุณชายสามซู ไม่ควรขยับเขยื้อนจริงๆ ต้องนอนพักบนเตียงให้มากๆ”
หลังจากจวนติ้งโหวส่งไป๋จิ้งหยางไปแล้ว ก็ส่งคนไปซื้อยาที่ร้านยาตระกูลไป๋ ลู่ฮูหยินสั่งให้ซูอวี้อันไปค่ายทหารใหญ่เพื่อจับกุมตัวหมอทหารหลิวมาลงโทษ หลังจากนั้นก็ให้ติ้งโหวเขียนสาส์นกราบทูลว่าหมอทหารหลิวซั่งซิวที่ใช้ฐานะหมอหารรับเบี้ยเลี้ยงจากราชสำนัก ทว่ากลับไม่รู้สำนึกในพระกรุณาธิคุณ ลอบใช้ยาชนิดที่มีผลข้างเคียงรุนแรงแสวงหาผลกำไร และงานทุจริตอื่นๆ
ฮ่องเต้เห็นสาส์นกราบทูลนี้ จึงขบคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหมอทหารคนนี้ก็คือคนที่ตนให้บำเหน็จในก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถามไหวเอิน “หลิวซั่งซิวลอบปรุงยาชนิดรุนแรงไปทำลายผู้อื่นจริงหรือ”
ไหวเอินที่เกิดเป็นขันทีเอกของฮ่องเต้จึงมีหูตาที่ว่องไวอยู่แล้ว พอได้ยินฮ่องเต้ทรงตรัสถาม จึงรีบรายงานเรื่องที่เขาจ่ายยาเม็ดช่วยให้เลือดไหวเวียนให้แก่องค์ชายสามซูจนเกือบจะทำให้เสียชีวิตให้ฮ่องเต้ฟังตั้งแต่แรกจนจบ (หลังจากที่ลู่ฮูหยินแพร่พรายเรื่องนี้อออกมา ภายในคืนเดียวก็ร่ำลือไปทั่วเมืองอวิ๋น จึงไม่ใช่ความลับอะไรอีกต่อไป)
หลังจากฮ่องเต้ได้ยิน จึงแย้มพระสรวลอย่างเย็นชา แล้วโยนสาส์นกราบทูลไปด้านข้าง ทว่ากลับไม่ตรัสสิ่งใด
ไหวเอินค้อมตัวลง แล้วถอยไปตรงมุม
วันนี้ช่างบังเอิญนัก สาส์นกราบทูลจากจวนติ้งโหวกลับไม่มีเพียงฉบับเดียว หลังจากฮ่องเต้พลิกอ่านไปหลายฉบับ กลับมีฉบับหนึ่งมาจากกรมอาญา ซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณหนูสามจวนติ้งโหวไปเยือนสุสานองค์หญิงต้าจั่ง ระหว่างทางกลับก็เจอเหตุโจรกรรม นอกจากมีโจรหนึ่งคนที่เสียชีวิตคาที่เกิดเหตุแล้ว คนอื่นต่างถูกจับกุมตัวกลับมา หลังจากกรมอาญาสอบสวน คนเหล่านี้ล้วนมุ่งหมายให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองจนต้องทำร้ายผู้อื่น แม้จะไม่ได้ทำร้ายคุณหนูสาม ทว่ากลับทำให้ทหารจวนติ้งโหวบาดเจ็บแสนสาหัส
เนื่องด้วยกรมอาญาตัดสินตามสิ่งที่โจรเหล่านี้สารภาพความผิดจึงเสนอแนะคำพิพากษาว่าให้จำคุกห้าถึงแปดปี เหตุเพราะคดีเกี่ยวข้องกับองค์หญิงต้าจั่ง ดังนั้นกรมอาญาจึงเขียนสาส์นกราบทูลฮ่องเต้
หลังจากฮ่องเต้อ่านเสร็จ สีพระพักตร์ก็บูดบึ้งทันที วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะทรงพระอักษรอย่างแรง แล้วตรัสด้วยความเกรี้ยวโกรธ “ราชวงศ์ต้าอวิ๋นของข้ากลับวุ่นวายถึงขั้นนี้แล้วหรือ สถานที่ห่างจากเมืองหลวงไม่ถึงห้าสิบลี้กลับมีโจรปรากฎตัว?! ซ้ำยังกล้าจู่โจมทหารรักษาการณ์ของจวนโหว เช่นนี้ จะทำให้เจิ้นบรรทมอย่างสุขสบายได้อย่างไร!”
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าตำหนักจื่อเฉินในตอนนี้ต่างสะดุ้งตกใจ คุกเข่าลงทันทีทันใด
ฮ่องเต้กลับทรงพิโรธดั่งเพลิงกาฬ จึงลุกขึ้นยืนตรงหน้าโต๊ะทรงพระอักษรพลางเสด็จออกไปด้านนอก ไหวเอินไม่กล้าชักช้า รีบเดินตามไป
ออกจากตำนักจื่อเฉิน ฮ่องเต้รับลมเย็นไปสักพัก เพลิงกาฬในใจซาลงเล็กน้อย แล้วหันไปทางไหวเอิน พร้อมตรัสสั่งว่า “สั่งให้คนไปตามเว่ยจางมาพบเจิ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ” ภายในใจของไหวเอินลอบคิดว่าเฉิงอ๋องเป็นผู้ควบคุมความปลอดภัยรอบเมืองหลวงทั้งหมด ฮ่องเต้จะสั่งให้แม่ทัพเว่ยมาไยกัน ทว่าก็แค่ครุ่นคิด ไหวเอินเป็นขันทีอาวุโสคนหนึ่ง จึงไม่บังอาจสงสัยในคำพูดของฮ่องเต้ รีบหันหลังสั่งการขันทีน้อยคนสนิทให้ส่งคนไปจวนแม่ทัพเว่ย
ในตอนนี้เอง ถังเซียวอี้ที่สอบสวนความลับของเหล่าโจร จึงเป็นคนที่ได้หลักฐานเป็นคนแรก ทว่ากลับไม่ได้ให้ใคร แค่เก็บรักษาไว้เป็นการส่วนตัว
เว่ยจางรู้เรื่องที่ซูอวี้เหิงถูกเจอโจรปล้นตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว คืนนั้นถังเซียวอี้กลับมาก็ได้บอกเรื่องนี้กับเว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่
ทีแรก เหยาเยี่ยนอวี่อยากไปเยี่ยมซูอวี้เหิง ทว่าถังเซียวอี้บอกว่านางไม่เป็นอะไร เว่ยจางก็รู้สึกดึกมากแล้ว อีกอย่างตอนนี้เหยาเฟิ่งเกออาศัยอยู่ที่จวนเหยา กำลังทะเลาะกับซูอวี้เสียงอยู่ หากนางไปจวนติ้งโหวตอนนี้ก็คงจะไม่สะดวก จึงรั้งนางไว้
หลังจากนั้น เหยาเยี่ยนอวี่เพียงสั่งให้ชุ่ยเวยไปเยี่ยมซูอวี้เหิงอย่างเงียบๆ เพื่อแน่ใจว่านางไม่ได้เป็นอะไร
ประจวบกับวันนี้เว่ยจางไปค่ายทหารเพื่อปรึกษาหารือกับเหล่าแม่ทัพเกี่ยวกับเรื่องทางการทหารของซีเป่ย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ จากค่ายทหารไปวังหลวงก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเค่อ ในเวลาสองเค่อนี้ ฮ่องเต้ยืนเป่าขลุ่ยอยู่นอกบนระเบียงหยกตำหนักจื่อเฉิน ความขุ่นเคืองภายในใจก็ค่อยๆ ซาลง ตอนที่รอเขาเดินเข้าไปถวายบังคมเสร็จ ฮ่องเต้ถึงจะค่อยๆ ได้สติกลับมา
“เข้าไปคุยด้านในเถอะ” ฮ่องเต้ไม่รอให้เว่ยจางหมอบสามครั้งและกราบเก้าครั้ง ก็หมุนตัวกลับเข้าไปในตำหนักจื่อเฉินแล้ว
เว่ยจางพลันลุกขึ้นเดินเข้าไป ฮ่องเต้จึงยื่นสาส์นกราบทูลจากกรมอาญาให้เว่ยจาง “เรื่องนี้คิดว่าเจ้าคงรู้แล้ว เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
เว่ยจางมองสาส์นกราบทูลด้วยความตั้งใจ แล้วโค้งคำนับทูลกลับ “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมฟังถังเซียวอี้เล่ามาบ้าง ทว่าสถานการณ์ทั้งหมดที่กระหม่อมรู้ก็ไม่ค่อยละเอียดยิ่งนัก แต่ว่าในความเห็นของกระหม่อม การเกิดเหตุโจรกรรมแถวเมืองหลวง ไม่ใช่การก่อเหตุที่ชาญฉลาดจริงๆ หากไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้มีชีวิตยากลำบากจนเป็นบ้า นั่นก็คงต้องเป็นเพราะเหตุอื่น ไม่มีรถม้าของตระกูลมั่งมีเทียบกับรถม้าคุณหนูสามจวนติ้งโหวได้ อีกอย่างยังมีทหารคอยคุ้มกันอยู่สิบกว่านาย คนเหล่านี้กลับกล้าลงไม้ลงมือ นอกจากพวกเขาคิดว่าในรถม้ามีเงินทองมากมาย ก็อาจมีแผนการอื่นก็เป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
“กล่าวได้ถูกต้อง” ฮ่องเต้พยักหน้า แล้วตรัสว่า “เรื่องนี้เจิ้นจะมอบหมายให้เจ้า เจ้าเพียงแค่ไปสืบค้นความจริงอย่างละเอียดก็พอ สิ่งที่กรมอาญาสอนสวนมา ไม่ได้ทำให้เจิ้นพอพระทัยเลย! เหอะ! ใต้ฝ่าพระบาทกลับกล้าเกิดเหตุโจรกรรมกระนั้นหรือ เหลวไหลไปกันใหญ่แล้ว!”
เว่ยจางก็รู้ว่าสิ่งที่กรมอาญาสืบสวนมานั้นปิดบังฮ่องเต้ไม่ได้ จึงโค้งคำนับ “น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” สุดท้ายสีพระพักตร์ฮ่องเต้ก็ยากคาดเดา ผายมือให้เว่ยจางออกไป
เว่ยจางออกจากตำหนักจื่อเฉิน ก็บังเอิญเจอกับเฉิงอ๋อง ดังนั้นรีบน้อมคำนับทันที “คารวะท่าานอ๋อง”
“เสี่ยนจวิน” เฉิงอ๋องพยักหน้าให้เว่ยจาง แน่นอนว่าเขาก็ถูกฮ่องเต้สั่งให้มาเข้าเฝ้า เหตุเพราะเป็นหัวหน้าของทหารจิ่นหลิน หน้าที่คือรับผิดชอบความปลอดภัยของเมืองหลวง นอกเมืองหลวงเกิดเหตุโจรกรรมและสังหารผู้อื่นเช่นนั้น เฉิงอ๋องคงไม่อาจนั่งนิ่งดูดายได้
นอกตำหนักจื่อเฉินไม่ใช่สถานที่เหล่าขุนนางควรยืนเสวนากัน เว่ยจางน้อมคำนับกับเฉิงอ๋องเสร็จก็จากไป สำหรับเฉิงอ๋องที่เข้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วจะเป็นเช่นไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกังวล ตอนนี้หน้าที่ของเขาคือไปหาถังเซียวอี้ แล้วไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องโจรกรรม
เรือนตงคว่า ณ จวนเหยา ในเรือนของเหยาเฟิ่งเกอ เหยาเหยียนอี้นั่งบนที่นั่งอย่างประหม่า แล้วกำลังเป่าชาหอมกรุ่นในถ้วยเบาๆ หนิงฮูหยินน้อยพิงอยู่ตั่งไม้อุ่นด้านข้าง ท้องของนางโตมากแล้ว พอคำนวณเวลา เหลืออีกไม่กี่วันก็ได้เวลาคลอดบุตรแล้ว
วันนี้ จวนติ้งโหวสั่งให้คนมารับเหยาเฟิ่งเกอ โดยอ้างว่าซูอวี้เสียงป่วยหนักและไม่มีใครคอยปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด ผู้ที่มาเยือนเป็นคนที่ซูกวงฉงส่งมา คำพูดคำจานั้นเกรงอกเกรงใจอย่างมาก เพียงแต่ว่าตอนที่เหยาเฟิ่งเกอนึกถึงคำต่อว่าทางอ้อมของซูอวี้เสียง ภายในใจรู้สึกขุ่นเคืองมาก จึงไม่อยากกลับไปแม้แต่น้อย