หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 415 จวนติ้งโหวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (2)
ตอนที่ 415 จวนติ้งโหวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (2)
แผนการหนึ่งเดียวในเวลานี้ก็คือโยนความผิดทั้งหมดไปที่เหลียนรุ่ยคนเดียว สร้างเรื่องให้บ่าวคนนี้โลภมากไม่รู้จักพอ วางแผนปล้นทรัพย์ของนาย เมื่อถูกแฉในภายหลัง ก็เลยต้องจ้างคนร้ายไปสังหารนายตัวเอง ไม่แน่ฮ่องเต้อาจเห็นแก่การจากไปขององค์หญิงต้าจั่ง ไม่สืบหาเรื่องนี้ต่อก็ได้
สำหรับสาเหตุที่แท้จริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ตนเองควรกังวล ว่าไปแล้วก็เป็นเพียงเรื่องในจวนของพวกเขา เว่ยจางจึงไม่มากความอะไร จึงคัดลอกสาส์นกราบทูลแล้วประทับด้วยชื่อตนเองใหม่อีกรอบ หลังจากเปลี่ยนชุดเครื่องแบบขุนนางเข้าไปในวังหลวง
ขณะเดียวกัน ณ จวนติ้งโหว
เพราะว่าเหลียนหมัวมัวไม่ได้ไปปรนนิบัติลู่ฮูหยินมาสองวันแล้ว จึงทำให้ลู่ฮูหยินค่อนข้างกระวนกระวาย ทำให้รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว ตอนที่นางกำลังเคร่งเครียด เหลียงฮูหยินเดินเข้าประตูมาอย่างเร่งรีบ แล้วถามสาวใช้ด้านนอกอย่างใจร้อน “ฮูหยินใหญ่ล่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น” ลู่ฮูหยินรู้สึกไม่พอใจในท่าทีของเหลียงฮูหยินเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นน้องสะใภ้ก็ตาม ทว่าอายุปานนี้แล้ว ไม่ควรบุกรุกเรือนของผู้อื่นเช่นนี้หรือเปล่า
“อั๊ยโย! ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร จู่ๆ ท่านโหวและท่านพี่ของข้าก็ไปหอบรรพบุรุษ พ่อบ้านบอกข้าว่าพวกเขาสองคนไปคุกเข่าอยู่ในหอบรรพบุรุษ นี่ก็ไม่ใช่เทศกาลตรุษจีนหรือเทศกาลอะไรเลย ท่านว่าพวกเขาสองพี่น้องกำลังทำอะไรอยู่!”
“เกิดอะไรขึ้น” ลู่ฮูหยินรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา จึงผุดลุกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เหลียงฮูหยินดึงนางไว้ แล้วเปรยว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร พี่สะใภ้ไปดูกับข้าทีเถอะ! คังเอ๋อร์ก็ตามไปด้วย ได้ข่าวว่าถูกบิดาของเขาต่อว่า แล้วสั่งให้คุกเข่าอยู่ตรงกลางสวน”
ตอนแรกลู่ฮูหยินไม่อยากไป ทว่ากลับถูกเหลียงฮูหยินจูงไปอย่างจนหนทาง เดิมทีนางรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่แล้ว ร่างกายเลยหมดเรี่ยวแรง จึงถูกลากออกจากประตูเรือนเช่นนั้น แม้กระทั่งเสื้อคลุมก็ยังไม่ทันได้สวมใส่ ชิวฮุ่ยเห็นจึงรีบเอาเสื้อคลุมสีเหลืองอำพันตามไปสวมให้ทีหลัง
ซูกวงฉงสั่งให้คนเปิดประตูหอบรรพบุรุษ จากนั้นก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้าแท่นบูชาองค์หญิงต้าจั่งกับน้องชายซูกวงหลิงโดยไม่ยอมขยับไปไหน
เหลียงฮูหยินดึงลู่ฮูหยินเข้าไปถึงจะปล่อยมือของนาง แล้วเดินหน้าไปสองก้าว พลางคุกเข่าอยู่ข้างกายซูกวงหลิง
สองมือของลู่ฮูหยินประสานกันแน่น นางกำลังอดกลั้นความหวาดระแวงในใจแล้วเดินหน้าไปสองก้าวช้าๆ พร้อมเอ่ยถามด้วยความไม่ละลายใจ “ท่านโหว เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ซูกวงฉิงค่อยๆ หันไปมอง นัยน์ตาเฉียบคมประดุจคมดาบจับจ้องมองลู่ฮูหยิน ต่อให้เขากำลังคุกเข่าอยู่ องศาของสายตาที่เหลือบมองยังคงเคร่งขรึมเช่นเดิม “เกิดเรื่องลวงฟ้าทำลายบรรพบุรุษมานานแล้ว เพียงแต่โทษข้าเองที่ไร้ความสามารถ และไม่ทันได้สังเกตเห็นอะไรเลย”
ลู่ฮูหยินรู้สึกหมดเรี่ยวแรงไปทั้งสองขา แล้วไม่รู้ว่าควรตอบกลับเช่นไรดี
ซูกวงหลิงกลับค่อยๆ ลุกขึ้นมาแล้ว สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของลู่ฮูหยิน พูดด้วยความเย็นชา “ข้าครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจมาตลอด ตอนที่องค์หญิงต้าจั่งทรงสวรรคต นางไม่โปรดปรานเจ้า เหตุใดก่อนจะสิ้นลมหายใจไปถึงได้มองข้ามบุตรชายอย่างข้า แล้วทิ้งคำพูดก่อนสิ้นใจไว้ให้เจ้า?”
ร่างของลู่ฮูหยินซวนเซจนล้มลงเพราะถูกสายตาซูกวงฉงจับจ้อง
“เจ้าพูดมาสิ?” ซูกวงฉิงค่อยๆ นั่งยองลง แล้วยังคงมองหน้าของลู่ฮูหยินด้วยความเลือดเย็น
นี่เป็นภรรยาที่ตนใช้เกี้ยวเจ้าสาวแปดคันสู่ขอเข้ามาในจวน นางมีบุตรให้ตนสี่คน ซ้ำยังเลี้ยงดูจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และต่างก็มีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว
สตรีคนนี้เป็นภรรยาเคียงคู่ตนมาหลายสิบปี สองใจเชื่อมโยงกัน สองร่างที่รวมเป็นร่างเดียวกัน
ทว่าเหตุใดนางถึงได้อำมหิตกับมารดาของตนเช่นนี้ นางมีจุดประสงค์อะไร ไปทำลายชีวิตของคนที่ป่วยหนักจนเหลือชีวิตบนโลกใบนี้ไม่กี่วัน นางจะได้ผลประโยชน์อะไรกันแน่!
ลู่ฮูหยินค่อยๆ ถอยหลังไปด้วยร่างที่สั่นงันงก ซูกวงฉงกลับค่อยๆ เดินเข้าไปหานาง
“ท่านพ่อ!” ประตูหอบรรพบุรุษถูกเปิดออกอย่างแรง ซูอวี้อันพุ่งเข้ามาด้วยความตกตะลึง
“ท่านแม่!” ซูอวี้เสียงใช้ไม้เท้าเดินเข้ามาทีหลัง พอเห็นลู่ฮูหยินอยู่บนพื้น ก็โยนไม้เท้าในมือออก พลางเดินหน้าไปคุกเข่าลง หมายจะพยุงมารดาของตนขึ้น
“ใครสั่งให้พวกเจ้าเข้ามา!” ซูกวงฉงเอ่ยถามอย่างโมโห
“ท่านพ่อ…” ซูอวี้อันไม่เคยเห็นติ้งโหวโมโหมากเพียงนี้มาก่อน เขามีชีวิตอยู่มายี่สิบกว่าปีก็ไม่เคยพบเจอ ดังนั้น ทันใดนั้นก็สะดุ้งตกใจเพราะสีหน้าที่โมโหสุดขีดของบิดา
“ไสหัวออกไปคุกเข่าด้านนอก!” ซูอวี้ฉงตบหน้าซูอวี้อันหนึ่งทีอย่างเต็มแรงจนร่างของเขาซวนเซ
“ขอรับ” ซูอวี้อันไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของบิดาจึงตอบกลับแล้วออกไปด้านนอกอย่างเชื่อฟัง จากนั้นไปคุกเข่าเป็นเพื่อนซูอวี้คังที่กลางสวน
เฟิงฮูหยินน้อยและน้องสาว แล้วยังมีซุนฮูหยินน้อยได้ยินเรื่องนี้จึงเดินตามกันมาติดๆ พอเดินเข้าสวนไปก็เห็นซูอวี้อันและซูอวี้คังคุกเข่าอยู่บนพื้นอิฐสีนิล ทันใดนั้นก็ตะลึงไปชั่วขณะ
“เกิดอะไรขึ้น” ซุนฮูหยินน้อยเดินหน้าไปถามซูอวี้อัน อากาศเหน็บหนาวเช่นนี้ให้คนคุกเข่าบนอิฐสีนิล คนผู้นั้นกระทำความผิดที่ร้ายแรงมากเพียงใดกันหรือ ยังจะให้เขามีชีวิตต่ออีกหรือไม่
“หุบปาก!” ซูอวี้อันตวาดด้วยคิ้วขมวด “กลับเรือนไป ไม่เรียกเจ้าก็อย่าออกมา!”
“นี่…” ซุนฮูหยินน้อยสงสารเขา สุดท้ายก็หันไปเอ่ยถามซูอวี้คัง “เจ้าสี่ เกิดอะไรขึ้น”
“กลับไปเถอะ!” ซูอวี้อันตวาดใส่ซุนฮูหยินน้อยจนนางสะดุ้งตกใจ
พอเห็นสายตาอาฆาตของสามี นางก็ไม่กล้ามากความ จึงขานรับแล้วเดินจากไปทันที
เฟิงซิ่วอวิ๋นได้ยินเช่นนี้ก็เกลี้ยกล่อมเฟิงฮูหยินน้อย “พี่สาว พวกเราก็กลับกันไหม”
เฟิงฮูหยินน้อยมองซูอวี้อันและซูอวี้คังที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเพียงชั่วพริบตา แล้วมองประตูหอบรรพบุรุษที่ปิดสนิทพลางส่ายหน้า “เจ้ากับฮูหยินน้อยรองกลับไปก่อนเถอะ ดูๆ แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องของสตรี ทว่าท่านซื่อจื่อไม่อยู่ ข้าต้องคุกเข่าแทนเขา” กล่าวจบ เฟิงฮูหยินน้อยเดินหน้าไปสองก้าว แล้วเดินไปด้านหน้าซูอวี้อันและซูอวี้คังครึ่งก้าว จากนั้นค่อยๆ คุกเข่าลง
“นี่ พี่สาว?” เฟิงซิ่วอวิ๋นเดินหน้าแล้วอยากรั้งเฟิงฮูหยินน้อยไว้ กลับถูกเฟิงฮูหยินน้อยสะบัดมือออกแล้วสั่งการ “กลับเรือนไปเสีย ดูแลอวิ๋นเอ๋อร์ให้ดี”
“เจ้าค่ะ” เฟิงซิ่วอวิ๋นก็รู้ดีว่าฐานะของตนไม่สูงส่งพอที่จะคุกเข่าอยู่ที่นี่ จึงขานรับแล้วจากไป
ซุนฮูหยินน้อยเห็นเฟิงฮูหยินน้อยคุกเข่าบนพื้น ภายในใจก็รู้สึกลังเลขึ้นมา
เฟิงฮูหยินน้อยคือสะใภ้ท่านซื่อจื่อ พอสามีไม่อยู่จวน นางก็ต้องคุกเข่าแทนท่านซื่อจื่ออยู่แล้ว ส่วนตนที่เป็นภรรยาเอกเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นสะใภ้บุตรคนรอง ทว่าก็ยังเป็นภรรยาเอก หากกลับไป…
พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ ซุนฮูหยินก็ก้มหน้าลงมองพื้นอิฐสีนิลเย็นยะเยือก ร่องอิฐเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน และดูจากสถานการณ์เช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าต้องคุกเข่านานเพียงใด หากคุกเข่าอยู่เช่นนี้ เข่าทั้งสองเกรงว่าคงเสื่อมไปเลยก็ได้
พอนึกถึงความโชคดีที่ตนไม่ได้เข่าเสื่อม สุดท้ายซุนฮูหยินน้อยก็เลือกกลับไปพร้อมกับเฟิงโหย่วอวิ๋น
ในหอบรรพบุรุษ ซูอวี้เสียงคุกเข่าบนพื้นแล้วขอร้องอ้อนวอนพลางกอดลู่ฮูหยินด้วยน้ำตา “ท่านพ่อ ท่านแม่ก็อายุปานนี้แล้ว นางทำความผิดร้ายแรงอะไรกันแน่ ท่านถึงต้องทำเช่นนี้กับนาง ได้โปรดท่านเห็นแก่พวกเราสี่พี่น้อง เห็นแก่ท่านแม่ที่ดูแลจวนมาหลายปีเช่นนี้ ท่านใจเย็นหน่อยได้ไหม มีอะไรคุยกันดีๆ”
เดิมทีซูกวงฉงที่โมโหดั่งเพลิงกาฬ พอได้ยินคำพูดของซูอวี้เสียงก็ยิ่งลุกเป็นไฟกว่าเดิม ดังนั้นเขาเดินหน้าไปถีบซูอวี้เสียง แล้วสบถหยาบ “ไอ้มารหัวขน! ไสหัวออกไป! เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดอะไรที่นี่! ไสหัวไป!”