หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 416 จวนติ้งโหวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (3)
ตอนที่ 416 จวนติ้งโหวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (3)
ซูอวี้เสียงถูกถีบหนึ่งที ยังคงกอดลู่ฮูหยินไว้ไม่ปล่อย สีหน้าเขาแสดงความเจ็บปวดออกมา ร้องไห้ไปด้วย ตะโกนไปด้วย “ข้าไม่ไปไหน! ท่านพ่อลงโทษท่านแม่ ก็ลงโทษข้าไปด้วยเถอะ! ข้าจะรับผิดแทนท่านแม่เอง! ข้ารับผิดแทนเอง!”
“เจ้ารับผิดแทน! ได้! เจ้ารับผิดไปเลย!” ซูกวงฉงโมโหจนแทบจะเป็นบ้า หันหลังคิดจะหาสิ่งของมาทำร้ายบุตรชายตนเอง
ลู่ฮูหยินรีบเดินหน้าเข้ามาดึงซูอวี้เสียงไว้ “เจ้าสามอย่าเติมน้ำมันในตะเกียงอีกสิ! ฟังคำสั่งของบิดาเจ้า รีบออกไปด้านนอกเถอะ! ที่นี่ไม่มีธุระของเจ้า!”
“ข้าไม่ไป!” ไม่รู้ว่าซูอวี้เสียงไปเอากำลังมาจากไหนมาสะบัดเหลียงฮูหยินทิ้ง แล้วก่นด่าเหมือนคนสติวิปลาสไปแล้ว “ข้านี่แหละที่เป็นคนยุยง! ท่านแม่ลำบากแสนเข็ญมาหลายปีเช่นนี้ ภายนอกเหมือนว่าต้องคอยปรนนิบัติองค์หญิงต้าจั่งอย่างเดียว อันที่จริงยังต้องสะสางจัดการกับงานเรือนมากมาย! ต่อให้ไม่ได้สร้างผลงานดีเด่นอะไร ก็ถือว่าลำบากมาไม่น้อย! พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำกับนางเช่นนี้!”
หัวใจของลู่ฮูหยินในตอนนี้แทบจะสลาย ตลอดชีวิตนี้นางมีบุตรสี่คน กลับมีเพียงบุตรชายคนสุดท้องที่เอาอกเอาใจตนมากที่สุด เวลานี้ยังกอดตนเองไม่ปล่อยเช่นนี้ ชีวิตนี้นางก็ถือว่าไม่ได้เกิดมาเสียเปล่า
ดังนั้น นางจึงผลักซูอวี้เสียงออก แล้วเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำตา “เจ้าสาม เชื่อฟังหน่อย รีบออกไปเถอะ! อย่าทำให้ท่านพ่อของเจ้าต้องโกรธ…”
“ท่านแม่!” ซูอวี้เสียงดึงดันจะดึงลู่ฮูหยินเข้ามาในอ้อมกอด ต่อให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ
“ดี! ดีมาก! ช่างเป็นมารดาเมตตาและบุตรกตัญญูจริงๆ!” ซูกวงฉงเครียดจนหายใจหอบ แล้วชี้หน้าซูอวี้เสียงและลู่ฮูหยิน พร้อมทั้งพูดคำเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เยี่ยมมาก! พวกเจ้าสองคนจะอยู่ไปด้วยกัน ตายด้วยกัน เยี่ยมมาก!”
“เจ้าสาม! เจ้าออกไป!” ลู่ฮูหยินมองนัยน์ตาของซูกวงฉงทอประกายอาฆาตออกมา จึงผลักซูอวี้เสียงโดนไม่สนใจสิ่งอื่นใด
อย่างไรซูอวี้เสียงก็คือบุรุษอ่อนแอจึงดื้อดึงได้ไม่นาน ร่างกายก็หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว
ลู่ฮูหยินผลักซูอวี้เสียงออก แล้วหันไปทรุดตัวลงตรงหน้าซูกวงฉง ทั้งยังกอดขาของเขาไว้ พร้อมขอร้องอ้อนวอน “กรรมที่ข้าก่อ ข้าจะเป็นคนใช้เอง! ไม่เกี่ยวกับบุตรของข้า! ท่านพี่ปล่อยพวกเขาไปเถอะ! ปล่อยพวกเขาไป…”
เดิมทีซูกวงฉงก็ไม่คิดจะสังหารบุตรชาย กลับรู้สึกโมโหที่ลู่ฮูหยินทำเหมือนคนเที่ยงธรรมที่ปกป้องบุตรชายของตนเช่นนี้ หากตอนนี้เขาให้ซูอวี้เสียงออกไป เกรงว่าชีวิตนี้คงจะถูกบุตรชายสามคนนี้เกลียดชัง และต่อให้ลู่ฮูหยินตายไป ในใจและสายตาของซูอวี้เสียง ก็ยังคงเป็นมารดาผู้ที่เมตตาเหมือนเดิม
นี่ไม่ใช่ผลสรุปที่เขาต้องการ บุตรชายไม่ควรตาย ทว่าบุตรชายเช่นนี้ตายไปเสียจะดีกว่า
ดังนั้น ซูกวงฉงจึงยกเท้าถีบลู่ฮูหยิน แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงโมโห “ได้ เช่นนั้นเจ้าบอกบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าต่อหน้าแท่นบูชาบรรพบุรุษ เจ้าใช้ผ้าเช็ดผ้าทำให้เสด็จแม่จนขาดอากาศหายใจจนสิ้นพระชนม์อย่างไร!”
เวลานี้ ซูอวี้เสียงยังนึกว่าหูของตนมีปัญหา หรือว่าเขาไม่ทันตั้งสติก็หลงเข้าไปในสถานการณ์ที่คาดคิดไม่ถึงแล้ว เขาได้ยินอะไร ใช้ผ้าเช็ดหน้าทำให้องค์หญิงต้าจั่งขาดอากาศหายใจอย่างไร!
นี่มันหมายความว่าอะไร หมายความว่าอะไร
ซูอวี้เสียงคลานอยู่บนพื้นโดยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มองสภาพมารดาที่ย่ำแย่พอกัน ภายในใจว่างเปล่าเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างแล้ว
คนอย่างซูอวี้เสียง เท่ากับว่าคาบช้อนทองมาเกิด เขาหวาดกลัวความตาย เห็นแก่ผลประโยชน์ตนเอง ชอบทำตัวเสเพล และยังมีนิสัยย่ำแย่ ทว่ากลับแยกแยะได้ว่าอะไรควรทำ อะไรที่ปิดฟ้าข้ามทะเลได้ และเรื่องฆ่าคนนั้นห้ามกระทำโดยเด็ดขาด
เรื่องที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าทำให้องค์หญิงต้าจั่งขาดอากาศหายใจจนสิ้นพระชนม์…ต่อให้องค์หญิงต้าจั่งจะเป็นเพียงเสด็จย่า ก็คงไม่มีทางทำเช่นนั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง เป็นถึงเสด็จป้าของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน นี่ก็เท่ากับว่า ‘บุตรสังหารบิดา ขุนนางสังหารฝ่าบาท’ นี่!
บุตรสังหารบิดา ขุนนางสังหารฝ่าบาทเป็นความผิดร้ายแรงมากเพียงใด! ซูอวี้เสียงจึงอึ้งไปทันที
ซูกวงฉงเห็นบุตรชายคนที่สามของตนมีสีหน้าตะลึงงันจึงแค่นเสียงเย็นชา “ให้เจ้าไสหัวไป เจ้ากลับไม่ไป เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็คุกเข่าสารภาพความผิดตรงหน้าแท่นบูชาองค์หญิงต้าจั่งแทนมารดาแสนดีของเจ้าเถอะ” กล่าวจบ เขาก็หันไปถามลู่ฮูหยิน “หลายสิบปีมานี้ ข้าไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีกับเจ้าเลย เหตุใดเจ้าถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้?”
“ข้า…ข้าไม่ได้จงใจ…ข้าเพียงขาดสติไป…ข้ายอมรับการลงโทษ…ข้าไปตาย ข้าไปตายเดี๋ยวนี้…” ลู่ฮูหยินคุกเข่าพลางคลานไปอ้อนวอน “เจ้าสามไม่รู้เรื่องอะไร ท่านโหวอย่าให้เขาคุกเข่า…”
“เจ้าอยากตายหรือ” ซูกวงฉงยิ้มอย่างเย็นชา “อยากตายก็คงไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก”
ลู่ฮูหยินมองซูกวงฉงด้วยความหวาดผวา แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน “เจ้า…ฆ่าคนชดใช้ด้วยชีวิต ติดหนี้คืนเงิน ข้ายอมตาย เรื่องนี้ก็ถือว่าจบ เจ้า…เจ้ายังต้องการอะไรอีก”
“เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ไปสามวันสามคืนก่อนเถอะ ดูว่าองค์หญิงต้าจั่งจะยอมให้เจ้าตายหรือไม่ แล้วค่อยว่ากันอีกที” ซูกวงฉงกล่าวจบหันไปมองซูกวงหลิงเพียงชั่วพริบตา “ให้นางคุกเข่าที่นี่”
ซูกวงหลิงไม่ได้พูดอะไร แค่เพียงคุกเข่าพลางน้อมก้มกราบคำนับแท่นบูชาองค์หญิงต้าจั่งสามครั้ง จากนั้นพาเหลียงฮูหยินออกไป
“เจ้าให้เจ้าสามกลับไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คือบุตรชาของเจ้า” ลู่ฮูหยินขอร้องแทนบุตรชายตนเองอีกครั้ง
“สายไปแล้ว” ซูกวงฉงมองซูอวี้เสียงด้วยสายตาเลือดเย็น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เอ็นดูบุตรชายของเขา แต่เขารู้ดีในนิสัยของบุตรชายคนนี้ ดูจากสภาพตอนนี้ที่ใกล้จะเป็นบ้า ออกไปไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเรื่อยเปื่อยอีก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ต้องทำให้ตระกูลซูเกิดหายนะแน่นอน ความพยายามทั้งหมดของเขาก็คงจะไร้ประโยชน์
“เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง! เหตุใดเจ้าถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้! ร่างกายของเจ้าสามอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเจ้าอยากเอาชีวิตเขา!” ลู่ฮูหยินระบายทุกคำพูดออกมา อย่างไรก็ยากจะหนีพ้นจากความตาย ก็ไม่มีทางปล่อยให้บุตรชายตนเองลำบากไปด้วยเด็ดขาด
“ไม่ใช่ว่าข้าต้องการชีวิตของเขา” ซูกวงฉงเครียดจนหัวเราะ “เจ้านี่แหละ หากไม่ใช่ว่าเจ้าตามใจเขาตลอดมา บรรดาบุตรทั้งสี่ เหมือนเจ้าสามถึงจะเป็นบุตรทางเลือดของเจ้า ไม่ว่าเขาจะโวยวายสร้างปัญหาอย่างไร เจ้าก็คอยถือหางเขา ให้เขาฟังเจ้า จากเจ้าไปไหนไม่ได้ วันนี้ต่อให้เขาจะเป็นหรือตายก็ไม่ยอมออกไปด้านนอกมิใช่หรือไร นี่แหละคือบุตรชายกตัญญูที่เจ้าเลี้ยงดูมา เขายอมอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าควรต้องดีใจถึงจะถูก!”
ลู่ฮูหยินไร้คำบรรยาย จึงคลานไปหาซูอวี้เสียง อยากกอดบุตรชายตนเอง
“ไม่…” จู่ๆ ซูอวี้เสียงก็ตะโกนขึ้น แล้วหลบไปที่อื่นอย่างหวาดผวา
“เจ้าสาม?” ลู่ฮูหยินมองบุตรชายที่รักใคร่ที่สุดด้วยความแปลกใจ
“ไม่…เจ้าอย่ามาแตะต้องข้า…” ร่างของซูอวี้เสียงสั่นงันงก แล้วมองฮูหยินราวกับมองสัตว์ประหลาด
“เจ้าสาม?!” ลู่ฮูหยินจวนจะขาดใจ เหตุใดบุตรชายที่รักที่สุดของตนถึงได้มองตนเช่นนี้
สีหน้าซูอวี้เสียงหวาดระแวง ไม่ตอบกลับใดๆ สุดท้ายลู่ฮูหยินก็ร้องไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้า
ในหอบรรพบุรุษ ตลอดทั้งคืน ซูกวงฉงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแท่นบูชาของมารดาไม่ขยับไปไหน
อากาศเดือนสิบเอ็ด กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหน็บหนาวที่สุด ในหอบรรพบุรุษไม่มีเตาผิง และยังเป็นพื้นอิฐสีนิล แม้กระทั่งพรมก็ยังไม่มี ซูอวี้เสียงอดทนไม่ไหวอยู่แล้ว ตอนกลางดึกจึงสลบไป ไข้ขึ้นสูง
หลังจากองค์หญิงต้าจั่งทรงสวรรคต ลู่ฮูหยินก็ดื่มยาต้มไม่หยุด และนางยังมีอายุที่ล่วงเลยห้าสิบปีไปแล้ว ที่ผ่านมาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาโดยตลอด ยิ่งไม่มีทางทนทุกข์ทรมานเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งร่างกายของนางยังอ่อนแอกว่าซูอวี้เสียง เพียงแต่ว่าต่อให้พวกเขาสองแม่ลูกจะสลบหมดสติไป ซูอวี้ฉงกลับไม่มองแม้แต่พริบตาเดียว