หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 417 จวนติ้งโหวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (4)
ตอนที่ 417 จวนติ้งโหวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (4)
สวนด้านนอก ซูอวี้อันและเฟิงฮูหยินน้อยไม่ได้จากไปพร้อมกับซูกวงหลิง น้องชายสามีและพี่สะใภ้ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ตอนกลางดึกซุนฮูหยินน้อยและเฟิงซิ่วอวิ๋นต่างเอาผ้าขนเสือเสอลี่และเบาะรองนุ่มมา ซูอวี้อันแค่สั่งให้พวกนางสองคนพาเฟิงฮูหยินน้อยที่ตากลมหิมะจนตัวแข็งกลับไปด้วย ส่วนเขาก็ยังคงคุกเข่าอยู่ท่ามกลางลมหิมะ
ซุนฮูหยินน้อยโมโหที่ไม่กล้าพูด และยิ่งไม่กล้าร้องไห้ ดังนั้นเลยคุกเข่าเป็นเพื่อน จากนั้นก็ถูกซูอวี้อันต่อว่าแล้วถึงจะกลับไป
หลังจากกลับไปซูกวงหลิงก็หลับไม่สนิท สั่งให้เหลียงฮูหยินและซูอวี้คังแยกย้ายกลับเรือนตนเอง เขาไปนั่งในห้องอักษรตามลำพังจนถึงยามห้า ซูกวงหลิงถึงจะถึงจะสั่งให้ซินฟู่ไปดูสถานการณ์ที่หอบรรพบุรุษ บ่าวรับใช้มารายงานตามความเป็นจริง ซูกวงหลิงถอนหายใจยาว แล้วสั่งการ “สั่งให้คนส่งท่านโหว คุณชายรองและคุณชายสามกลับไปในเรือน แล้วเชิญหมอหลวงมารักษาให้พวกเขาพ่อลูก สำหรับฮูหยินใหญ่…อาการป่วยของนางเกรงว่าคงจะรักษาหายยาก ให้นางไปพระอุโบสถเล็กด้านหลัง เพื่อพักสงบก่อนเถอะ”
หลังจากมอบหมายทุกอย่างเสร็จ เหล่าบ่าวรับใช้ในจวนติ้งโหวต่างยุ่งกับงานตนเอง
ท่านโหวป่วย! เหตุเพราะตากลมหิมะ ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด
ฮูหยินใหญ่ก็ป่วย! ไม่เพียงแต่เป็นไข้ ซ้ำยังพูดจาไม่รู้ความ เหลียงฮูหยินเชิญพระอาจารย์มาดูอาการให้นาง บอกว่านางถูกวิญญาณสิงร่าง จำต้องพักสงบจิตต่อหน้าพระพักตร์พระโพธิสัตว์กวนอิม ดังนั้นเลยส่งนางไปพระอุโบสถหลังเล็กด้านหลังเรือน
และยังมีฮูหยินซื่อจื่อที่ป่วยหนักมาก นางนอนซมบนเตียง แม้แต่ยาต้มยังป้อนไม่เข้าปาก
ทุกคนในนี้ อาการป่วยของคุณชายสามรุนแรงที่สุด เขายังคงสลบไม่รู้สึกตัว แม้กระทั่งหมอหลวงไป๋ยังส่ายหัวถอนหายใจ บอกว่าตนไร้ความสามารถ มิเช่นนั้นก็ลองเชิญหมอหลวงเหยามา
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ เหยาเฟิ่งเกอจึงอาศัยอยู่ในจวนเหยาไม่ได้อีกต่อไป นางเพียงให้บุตรีและแม่นมอยู่ต่อในจวนเหยา ส่วนตนก็พาซานหูและเจินหูกลับจวนติ้งโหว
หลังจากเหยาเฟิ่งเกอกลับจวนก็ไปเยี่ยมเยียนซูกวงฉงก่อน ตอนนั้นซุนฮูหยินน้อยกำลังเฝ้าอยู่ตรงหน้าเตียง มีอี๋เหนียงสองคนกำลังป้อนยาให้ซูกวงฉง
“น้องสะใภ้มาแล้ว” ซุนฮูหยินน้อยเห็นเหยาเฟิ่งเกอจึงยิ้มจางๆ ถึงแม้เป็นเพียงชั่วข้ามคืน นางก็กระวนกระวายอย่างมาก
“ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” เหยาเฟิ่งเกอพูดไป ก็เดินหน้าไปน้อมคำนับให้ติ้งโหว
ซูกวงฉงแม้จะป่วย ทว่าเหตุเพราะปกติเขารักษาสุขภาพเป็นอย่างดี ร่างกายก็ถือว่าไม่เลว ดังนั้นอาการไม่ได้ร้ายแรงอะไร เขาพิงบนตั่งไม้มองเหยาเฟิ่งเกอน้อมคำนับพร้อมพูดว่า “เจ้าไปดูแลเจ้าสามเถอะ คนของสำนักหมอหลวงจนปัญญาแล้ว เกรงว่าคงต้องเชิญน้องสาวเจ้ามาช่วยชีวิตเขาแล้ว”
เหยาเฟิ่งเกอขานรับแล้วกล่าวอำลา ซุนฮูหยินลุกขึ้นลอบเดินตามออกไป เหยาเฟิ่งเกอจึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ทั้งครอบครัวถึงป่วยกันเช่นนี้”
ซุนฮูหยินน้อยถอนหายใจด้วยเสียงเบา “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แม้กระทั่งคุณชายรองยังไม่รู้เลย หากอยากรู้ เกรงว่าคงต้องถามน้องสาวแล้ว”
เหยาเฟิ่งเกอคิดว่านางจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแค่ว่าเวลานี้นางก็ไม่มีจิตใจจะมาเรียกร้องอะไร จึงตบมือนางเบาๆ แล้วพูดขึ้น “พี่สะใภ้วางใจเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะเชิญน้องสาวข้ามา หากนางมีวิธี ก็รักษาพี่รองได้ด้วยเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณน้องสะใภ้สามก่อนแล้ว” ซุนฮูหยินน้อยพูดไป ก็เตรียมค้อมลำตัวขอบคุณเหยาเฟิ่งเกอ
เหยาเฟิ่งเกอรีบยื่นมือไปพยุงนางไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบา “พี่สะใภ้อย่าทำเช่นนี้ ในจวนเกิดเรื่องใหญ่ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ พี่สะใภ้รองต้องคอยกลุ้มใจคนเดียว ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก”
ซุนฮูหยินน้อยซับน้ำตาไปด้วยพลางพูดไปด้วย “แต่งเข้าจวนโหว ข้าและเจ้าก็คือครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวเดียวไม่พูดจาเกรงใจกัน น้องสะใภ้ยังจะพูดเช่นนี้กับข้าอีก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็แค่มีใจแต่ไร้ความสามารถ เห็นจวนเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น ข้ากลับออกความเห็นอะไรไม่ได้เลย น้องสะใภ้กลับมาก็ดีแล้ว!”
เหยาเฟิ่งเกอก็ไม่คิดจะมากความจึงพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอไปดูคุณชายสามก่อน พี่สะใภ้ลำบากแล้ว”
“ได้ เจ้าไปเถอะ” ซุนฮูหยินน้อยพยักหน้า แล้วมองเหยาเฟิ่งเกอจากไปอย่างเร่งรีบจึงลอบถอนหายใจ ภายในใจกำลังพูดว่า จวนติ้งโหวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว
เหยาเฟิ่งเกอกลับเรือนฉีเสียง นั่งอยู่ตรงหน้าซูอวี้เสียงที่ยังคงสลบไม่ฟื้น ได้ยินหลิงจือและตงเหมยที่คอยปรนนิบัติร้องไห้ไปสักพักจึงผายมือให้พวกนางหุบปากอย่างรำคาญใจ จากนั้นสั่งให้คนที่ไม่มีอะไรทำออกไปกันให้หมด
หู่พั่วและหลิวหลีเดินหน้ามาน้อมคำนับ จากนั้นก็เล่าสิ่งที่ตนรู้ให้เหยาเฟิ่งเกอฟังไปหนึ่งรอบ
ถึงแม้พวกนางไม่ทราบเรื่องที่เกิดในหอบรรพบุรุษ ทว่าดูจากที่ทุกคนป่วยและถูกสั่งให้แยกย้ายไปพักฟื้นตัวในเรือน มีเพียงลู่ฮูหยินที่ถูกส่งตัวไปพระอุโบสถเล็ก เหยาเฟิ่งเกอก็พอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น
พอฟังเรื่องเหล่านี้จนจบ เหยาเฟิ่งเกอก็เหลือบมองสามีที่ยังคงหมดสติบนเตียงเพียงชั่วพริบตา แล้วส่ายหน้าพลางยิ้มขมขื่น
“ฮูหยินเจ้าคะ อาการคุณชายสาม…เป็นอะไร” หู่พั่วต้องรู้สึกวิตกกังวลอยู่แล้ว นางยังเป็นสาวเป็นแส้ ใครอยากเป็นหม้ายด้วยเล่า ในจวนติ้งโหวกว้างใหญ่เช่นนี้ ต่อให้ต้องเฝ้าบุรุษที่ไม่เอาถ่าน ทว่าก็ยังถือว่าเป็นบุรุษ หากไม่มีเขา ท่านซื่อจื่อและฮูหยินซื่อจื่อก็ค่อยยังชั่ว ไม่รู้ว่าฮูหยินน้อยรองจะเหยียบหัวคนของเรือนฉีเสียงอย่างไรบ้าง
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ข้าจะคิดหาวิธี ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเจ้าสองคนต้องรักษาสุขภาพตนเองให้ดี อย่าให้ทารกในครรภ์เป็นอะไรเด็ดขาด อาการของคุณชายสามในตอนนี้ ก็ให้หลิงจือและตงเหมยคอยดูแลไปก่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ” หู่พั่วและหลิวหลีขานรับพร้อมกัน
“ข้าจะไปเยี่ยมเยียนพี่สะใภ้ใหญ่หน่อย” เหยาเฟิ่งเกอพูดไปก็เหยียดกายลุกขึ้น
หู่พั่วรีบเอาเสื้อคลุมขนสัตว์สีมะเขือม่วงบนราวแขวนผ้า ซานหูเดินหน้ารับเสื้อคลุมมาคลุมบนร่างเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นก็มัดเชือกตรงคอให้เรียบร้อย แล้วจัดคอเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวโพลนพร้อมพูดด้วยเสียงต่ำ “ฮูหยิน เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาฟิ่งเกอสาวเท้าเดินออกไปถึงนอกประตูเรือนก็สั่งหลิงจือและตงเหมยที่อยู่ใต้ชายคาระเบียง “พวกเจ้าสองคนไปดูแลคุณชายสามให้ดี”
หลิงจือและตงเหมยพลันโค้งลำตัวตอบรับ พลางมองเหยาเฟิ่งเกอพาซานหูออกจากเรือน หลิงจือก็หันไปเอ่ยถามหู่พั่ว “เจ้าว่า ฮูหยินจะเชิญหมอหลวงเหยามารักษาคุณชายสามหรือไม่”
หู่พั่วยิ้มจางๆ แล้วพูดขึ้ย “เจ้าว่าล่ะ”
หลิงจือชะงักงันไป เผยสีหน้าทุกข์ระทมออกมา
หลิวหลีเดินหน้าขวางทางหู่พั่วไว้ พร้อมทั้งมองหลิงจือและตงเหมย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “มีเรื่องหนึ่งอยากจะตักเตือนพวกเจ้าสองคน อย่าลืม… ฮูหยินถึงจะเป็นภรรยาเอกที่แต่งเข้าด้วยเกี้ยวเจ้าสาวแปดคัน ส่วนพวกเราเป็นเพียงบ่าวเท่านั้น! เป็นบ่าวก็ต้องวางตัวให้สมกับบ่าว ควรทำตามหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด! เรื่องพวกนี้ยังต้องให้พวกเจ้าคอยกลุ้มใจด้วยหรือ”
หลิงจือเดินหน้าหนึ่งก้าว แล้วคิดจะทะเลาะถกเถียง กลับถูกตงเหมยรั้งไว้ “พวกเราเข้าไปดูอาการคุณชายสามเถอะ”