หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 418 วันพักผ่อน (1)
ตอนที่ 418 วันพักผ่อน (1)
หลิวหลียิ้มเย็นชาพลางมองหลิงจือ สีหน้าของนางดูไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย เป็นเพียงหมากล้อมหนึ่งเม็ดที่ฮูหยินรับกลับมาอยู่จวนเท่านั้น หากฮูหยินอยากจะทุบให้ตายเมื่อไหร่ก็ล้วนง่ายดาย
เรือนชิงผิง เฟิงซิ่วอวิ๋นเฝ้าอยู่ข้างเตียงเฟิงฮูหยินน้อย แล้วกำลังป้อนยาอย่างระมัดระวัง
สาวใช้น้อยตรงหน้าประตูมารายงาน “ฮูหยินน้อยสามมาแล้วเจ้าค่ะ”
เฟิงฮูหยินน้อยยกมือผลักถ้วยยาออก แล้วพูดว่า “รีบเชิญฮูหยินน้อยสามเข้ามาเถอะ”
เฟิงซิ่วอวิ๋นจึงรีบวางถ้วยยาไว้บนโต๊ะสูงด้านข้าง แล้วเหยียดกายลุกไปต้อนรับ พอเห็นเหยาเฟิ่งเกอก็น้อมคำนับทันที “ฮูหยินน้อยสามมาแล้วหรือ”
“พี่สะใภ้ใหญ่เป็นเช่นไรบ้าง” เหยาเฟิ่งเกอเดินไปด้วยเอ่ยถามไปด้วย
“หมอหลวงมาดูอาการแล้ว บอกว่าพิษเย็นเข้าสู่ร่างกายอย่างหนัก เดิมทีร่างกายของพี่สาวก็อ่อนแออยู่แล้ว ครั้งนี้คิดว่าคงต้องพักฟื้นไปสักระยะถึงจะดีขึ้น” เฟิงซิ่วอวิ๋นเอ่ยพูด ขณะเดียวกันก็เดินเข้าเรือนนอนพร้อมกับเหยาเฟิ่งเกอ
สาวใช้น้อยพยุงเฟิงฮูหยินน้อยไปพิงบนหมอน สีหน้าของเฟิงฮูหยินน้อยขาวซีด ไม่มีสีเลือดแม้แต่เล็กน้อย แม้กระทั่งยิ้มยังไม่มีแรง
เหยาเฟิ่งเกอเดินหน้าไปกุมมือเฟิงฮูหยินน้อยไว้พร้อมเปรยว่า “พี่สะใภ้เป็นเช่นไรบ้าง เหตุใดท่านถึงได้ใสซื่อเช่นนี้ ไม่รู้จักหลีกเลี่ยง แล้วยังจะเดินเข้าหาปากกระบอกปืนอีก ท่านไม่รู้ว่าร่างกายของท่านเป็นเช่นไรหรือ”
“ข้าไม่ทำเช่นนี้ไม่ได้” เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มอย่างอ่อนแรง แล้วดึงเหยาเฟิ่งเกอมานั่งข้างกาย “ข้าทำได้เพียงทำเช่นนี้”
ซูอวี้ผิงไปรักษาการณ์ที่เมืองเฟิ่ง ไม่มีเวลามาดูแลทุกเรื่องในจวนอยู่แล้ว หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ ชีวิตของลู่ฮูหยินคงจะรักษาไว้ไม่ได้ ร่างกายของท่านโหวก็ได้รับผลเสียอย่างมาก ต่อให้ไม่เกิดข้อผิดพลาดใหญ่อะไร เรื่องของจวนติ้งโหวก็ต้องตกเป็นหน้าที่ของบุตรชายคนโต ถึงแม้ซูอวี้ผิงจะเป็นซื่อจื่อ ทว่ากลับไม่มีบุตรชายเอก แม้กระทั่งบุตรชายอนุภรรยาก็ยังไม่มี
หากท่านโหวเกิดเป็นอะไรขึ้นจริงๆ ทางตระกูลอาจแต่งตั้งซื่อจื่อคนใหม่มาแทนก็เป็นไปได้
เฟิงฮูหยินน้อยทำเช่นนี้ เพื่อหวังว่าท่านโหวและสองสามีภรรยาซูกวงหลิงจะเปลี่ยนมุมมองต่อนางบ้าง และได้รับความสนใจจากคนทั้งจวนโหว เช่นนี้ อนาคตหากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร คนพวกนี้อาจคุกเข่าขอร้องแทนสามีตน เพราะเห็นแก่สิ่งที่นางทำในวันนี้ก็ได้ นางครุ่นคิดถึงทุกเรื่อง อย่างไรเสียการเป็นภรรยาซื่อจื่อที่เน้นคุณธรรมและความกตัญญูก็ถือว่าพบเห็นยาก และไม่สมควรถูกมองข้าม
เรื่องพวกนี้ เฟิงฮูหยินไม่จำเป็นต้องพูดอย่างชัดเจน ภายในใจของเหยาเฟิ่งเกอก็ย่อมรู้ดี เหตุเพราะนางรู้ว่าความคิดภายในใจของเฟิงฮูหยินน้อย นางต้องได้รับตำแหน่งเจวี๋ยของจวนติ้งโหวมาครอบครองให้ได้ แม้กระทั่งเรื่องที่ยอมให้แต่งตั้งน้องสาวตนเป็นอนุภรรยาซื่อจื่อก็ยังทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องคุกเข่าเพียงคืนเดียว
“เจ้าน่ะ! ช่างซื่อบื้อจริง” เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจแผ่วเบา ตอนเกิดมา ชื่อเสียงและตำแหน่งไม่ได้นำติดตัวมา ตอนตายก็นำติดตัวไปไม่ได้เช่นกัน จะทำให้ตนเองทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ไปไยกัน
เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วถอนหายใจด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อย่างไรข้าก็ต้องไม่ทำให้ท่านซื่อจื่อผิดหวังหรือเปล่า”
เหยาเฟิ่งเกอมองนัยน์ตาของเฟิงฮูหยินน้อยที่เคล้าด้วยรอยยิ้มและความภาคภูมิใจ สายตาตอนกล่าวถึงท่านซื่อจื่อนั้นทอประกายด้วยความรุ่งโรจน์ จึงรู้แจ้งขึ้นมาทันที…ที่แท้สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดในใต้เหล้าไม่ใช่ผลประโยชน์ แต่เป็น ‘ความรู้สึก’ มันพรากชีวิตของคนไปโดยที่ไม่เห็นเลือดหยดแม้แต่หยดเดียว แม้กระทั่งยังทำให้คนยินยอมมอบชีวิต
ดังนั้น เป็นคนที่ไร้ความรู้สึกย่อมดีกว่า
ลู่ฮูหยินถูกขังไว้ในพระอุโบสถเล็ก แม้แต่น้ำอุ่นหยดเดียวก็ยังไม่ได้ดื่ม พอผ่านไปสามวัน นางก็สลบไม่ได้สติไป
คนของเหลียงฮูหยินที่เฝ้าอยู่ในพระอุโบสถคือผัวจื่อร่างกำยำสองคนที่พามาจากเขตตอนใต้ หนึ่งคนหูหนวก อีกคนตาบอด ถือเป็นคู่หูที่เข้ากันได้ที่สุด เพื่อที่จะคอยสังเกตสถานการณ์ทางฝั่งนี้ เหลียงฮูหยินจึงมาดูฮูหยินทุกๆ เช้าเย็น
พอเห็นว่านางใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว เหลียงฮูหยินก็รีบกลับไปรายงานสามี ซูกวงหลิงก็ไปปรึกษากับท่านโหว
ซูกวงฉงพูดว่า “นางอสรพิษไม่ได้พูดว่านางทำร้ายองค์หญิงต้าจั่งอย่างไร ดังนั้นห้ามปล่อยให้นางตายเด็ดขาด สั่งให้คนไปดูแลนาง อย่างไรก็ต้องยื้อชีวิตนางไว้ หากนางตายจากไปเช่นนี้ เสด็จแม่ต้องเกรี้ยวโกรธแน่นอน อีกอย่าง หากนางตายไป ผิงเอ๋อร์ต้องกลับมาไว้อาลัย พวกเขาสี่คนต้องไว้อาลัยเพิ่มอีกสามปี”
ซูกวงหลิงตอบกลับ “พี่ใหญ่กล่าวถูก ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้ประเดี๋ยวนี้ พี่ใหญ่พักผ่อนดีๆ เถอะ ไม่ต้องคิดมาก”
“อืม” ซูกวงฉงพยักหน้า แล้วค่อยๆ หลับตาลง
หลังจากซูกวงหลิงออกไป ซูกวงฉงค่อยๆ ลืมตา แล้วบอกอนุภรรยาที่เข้ามา “เจ้าไปเชิญสะใภ้สามมาที”
อนุภรรยาคนนั้นโค้งคำนับ แล้วออกไปสั่งให้คนไปตามเหยาเฟิ่งเกอ เหยาเฟิ่งเกอได้ยินท่านโหวตามนางไปพบ ภายในใจก็เดาไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไร ทว่าก็แต่งกายให้เรียบร้อยแล้วไปหาท่านโหวโดยเร็ว
หลังจากเหยาเฟิ่งเกอไปถึงห้องอักษร ซูกวงฉงสั่งให้คนในเรือนออกไปให้หมด แล้วสั่งให้อนุภรรยาที่โปรดปรานที่สุดออกไปเฝ้านอกประตูไว้ ห้ามให้ใครเข้ามาโดยเด็ดขาด จากนั้นชี้ไปยังเก้าอี้กลมที่อยู่หน้าเตียง พร้อมพูดว่า “เจ้านั่งเถอะ”
“เจ้าค่ะ” เหยาเฟิ่งเกอโค้งลำนับ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
“อาการของเจ้าสามเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
“กินยาผู่ซินตันของน้องสาวไปแล้ว ยาออกฤทธิ์ได้ดีเจ้าค่ะ ทว่ายาตัวนั้นก็ไม่ควรกินบ่อย หลังจากที่เขาฟื้น ยังต้องกินยาต้มที่หมอหลวงไป๋ให้เจ้าค่ะ”
“อืม ต้องขอบคุณน้องสาวเจ้าแล้ว”
“ท่านพ่อเกรงใจเกินไปแล้ว เยี่ยนอวี่เป็นหมอที่มีใจเมตตา ขอเพียงมีวิธีรักษา นางย่อมช่วยชีวิตอยู่แล้ว นางไม่มีทางนั่งนิ่งดูดายเจ้าค่ะ”
ซูกวงฉงพยักหน้า แล้วพูดว่า “วันนี้ข้าให้เจ้ามา ก็เพราะมีเรื่องอยากจะรบกวนเจ้า”
เหยาเฟิ่งเกอครุ่นคิด คงจะเป็นเรื่องที่เชิญเยี่ยนอวี่มารักษาอาการให้ท่านโหว มากสุดก็รักษาคุณชายรองและเฟิงฮูหยินน้อยเพิ่มอีกสองคน ดังนั้นจึงลุกขึ้นพลางตอบกลับ “เชิญท่านพ่อสั่งการเลยเจ้าค่ะ หากสะใภ้ทำได้ ก็ต้องช่วยอย่างสุดกำลัง”
“อืม” ซูกวงฉงพยักหน้าอย่างพอใจ “ตอนนี้ลู่ฮูหยินห้ามตายเด็ดขาด เจ้าคิดหาวิธีรักษาชีวิตของนางไว้”
“…” เหยาเฟิ่งเกอยังนึกว่าตนเองฟังผิดไป
“มีหลายเรื่องที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย ข้ากลัวว่าจะมีคนฉวยโอกาส ดังนั้น…” ซูกวงฉงจับจ้องเหยาเฟิ่งเกอไว้ วยังพูดไม่ทันจบ ทว่าความหมายกลับสื่ออย่างชัดเจนแล้ว
“เจ้าค่ะ สะใภ้จะทำให้สุดความสามารถเจ้าค่ะ” เหยาเฟิ่งเกอเป็นสตรีฉลาดหลักแหลม รู้จักเชื่อฟัง เป็นพฤติกรรมที่ไม่เลว
เรือนเยี่ยนอาน ณ จวนแม่ทัพฝู่กั๋ว
เหยาเยี่ยนอวี่พิงบนตั่งไม้แล้วฟังเหยาเฟิ่งเกอกล่าวจบ พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงค่อย “พี่สาวแน่ใจว่าจะทำเช่นนี้หรือ”
“ตอนนี้ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ” เหยาเฟิ่งเกอส่ายศีรษะ “ท่านโหวออกคำสั่ง หากเจ้ามียาดีก็ให้ข้าเถอะ จะได้ไม่ต้องให้ข้าไปหาผู้อื่นมา และข้าก็ไม่กล้าไปเชิญหมอหลวงอื่นด้วย เหตุเพราะพวกเขาอาจถามสาเหตุของการป่วย แม้กระทั่งยังคิดจะวัดชีพจรนาง คงจะไม่สะดวก”
เวลานี้แค่เพียงต้นตระกูลของลู่ฮูหยินก็ยากจะรับมือแล้ว หากให้คนอื่นฉงนสงสัยอีก จวนติ้งโหวก็คงตกอยู่ในอันตราย
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า เรื่องนี้จัดการได้ยากจริงๆ เพียงแต่ว่า ต่อให้นางรู้สาเหตุการป่วยของลู่ฮูหยิน ก็มิอาจไม่วัดชีพจรให้นางแล้วจ่ายยาหรือเปล่า ดังนั้นนางครุ่นคิดไปสักพัก ก็ชี้แนะเหยาเฟิ่งเกอ “ท่านพี่กลับไปให้นางดื่มน้ำมากๆ ให้นางรีดเหงื่อออกจากร่างกาย หลังจากนางได้ขับเหงื่อออกมาแล้วก็คงจะดีขึ้นเอง จากนั้นข้าจะให้ยาหยินชื่อ ท่านให้นางยาสองชั่วยามต่อหนึ่งเม็ด เช่นนี้คงจะยื้อชีวิตนางไว้ได้ สำหรับอาการอื่น ข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะเกิดขึ้นกับนางหรือไม่”
“ได้ แค่ยื้อชีวิตนางไว้ก็พอแล้ว” เหยาเฟิ่งเกอเอายาเม็ดที่เหยาเยี่ยนอวี่ให้ไป และไม่ได้มากความอะไรก็กลับจวนโหวไป
เว่ยจางที่อยู่ในห้องอักษรด้านหน้าได้ยินว่าแขกของฮูหยินจากไปแล้ว จึงเก็บหนังสือราชการในมือ แล้วลุกขึ้นออกจากห้องอักษรไปเรือนหลัง