หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 420 วันพักผ่อน (3)
ตอนที่ 420 วันพักผ่อน (3)
ฮูหยินท่านมุ่งสกัดน้ำยาใหม่ที่โรงยาทุกวัน ใบแปะก๊วยก็ใช้รถม้าขนมาสิบกว่าคัน ได้ยินว่าน้ำยาที่สกัดออกมาก็ได้แค่ไม่กี่ขวดเท่านั้น เป็นสิ่งที่ล้ำค่าจริงๆ
“ภายในใจของฮูหยินกังวลแต่เรื่องอาการป่วยของราชครูเซียวเท่านั้น”
“คนที่มาสำนักแพทย์ทุกวันหรือ อ้อ จิ้งไห่โหวกับฮูหยินก็มาทุกวันเลย แต่ว่าพวกเขาคงจะมาเยี่ยมเยียนราชครูเท่านั้นหรือเปล่า”
“งานมงคลของรองแม่ทัพ? บ่าวไม่เคยได้ยินนี่ ท่านรองแม่ทัพจะแต่งงานแล้วหรือ ยินดีกับท่านด้วยเป็นอย่างยิ่ง”
จากที่กล่าวข้างต้น
ถังเซียวอี้ฟังคำพูดของเซินเจียงกับเถียนหลัวยังนึกว่าพวกนางสองคนจงใจพูด ดังนั้นเขาจึงใช้ทักษะการตั้งคำถามจากประสบการณ์ของการสอบสวน แล้วพาพวกนางสองคนเข้ามาด้วย แต่พอถามวกไปวนมาแล้ว เขากลับสังเกตเห็นอย่างน่าเศร้าใจว่า บ่าวสองคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ
เฮ้อ! ถ้ารู้แต่แรก คงไม่คิดจะเปลืองสุราเต็กปี่ไหนั้นแล้ว! หาเหาใส่หัวเลยจริงๆ! ถังเซียวอี้ส่ายหัวอย่างจนปัญญา ปล่อยวางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
ทว่า คำพูดของถังเซียวอี้ในคืนนี้กลับเตือนสติคุณหนูรองเหยาเยี่ยนอวี่ว่าให้เฝ้าระวังสถานการณ์ของจวนติ้งโหวไว้ให้ดี ถึงลู่ฮูหยินเสียชีวิตก็ขุดคุ้ยเรื่องนั้นออกมาไม่ได้ แต่ไหนๆ ก็ไม่ขุดคุ้ยเรื่องนั้นแล้ว ลู่ฮูหยินก็ไม่โดนปลดตำแหน่งภรรยาเอกแล้ว หากไม่โดนปลดก็จะยังคงเป็นท่านป้าของซูอวี้เหิง ถ้าเกิดวันหนึ่งนางเกิดเสียชีวิตโดยไม่ระวัง ซูอวี้เหิงก็คงต้องไว้อาลัยให้นางอยู่ดี นี่ก็คงทำให้งานมงคลของถังเซียวอี้ล่าช้าไป
อีกทั้งดูจากสถานการณ์ของจวนติ้งโหว ณ ตอนนี้ ทุกอย่างไม่ค่อยราบรื่นดีนัก ฉะนั้น วันต่อมาตอนที่คุณหนูรองเหยาเยี่ยนอวี่เจอหันหมิงชั่นที่สำนักแพทย์ จึงดึงนางมาพูดคุยถึงความกังวลของตนด้วยเสียงแผ่วเบา
หันหมิงชั่งยังไม่รู้เรื่องที่ฮูหยินติ้งโหวป่วย ทุกคนในตระกูลซูรักษาความลับนี้ไว้เป็นอย่างดี ช่วงไว้อาลัยขององค์หญิงต้าจั่งล่วงเลยไปปีกว่าแล้ว สองพี่น้องจวนติ้งโหวยังคงไว้อาลัยอย่างเคร่งครัด แต่เดิมก็ไม่ได้ไปมาหาสู่ญาติมิตรอยู่แล้ว
รวมไปถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก แม้กระทั่งเหล่าข้ารับใช้ของจวนติ้งโหวก็ยังมีส่วนน้อยที่รู้ ดังนั้นคนนอกที่นอกจากญาติที่สนิทสนมกันแล้วก็แทบจะไม่มีใครรู้ แม้แต่ต้นตระกูลลู่ฮูหยินก็เพิ่งรู้ว่านางป่วยและกำลังพักฟื้นตัวที่พระอุโบสถตามคำแนะนำของพระอาจารย์ ตอนที่ส่งบ่าวมาส่งของที่จวนติ้งโหว
หันหมิงชั่นได้ยินจากคุณหนูรองเหยาเยี่ยนอวี่ว่าอาการของลู่ฮูหยินสาหัสยิ่งนัก เกรงว่าจะผ่านด่านนี้ไม่ได้ ขณะนั้นจึงตะลึงงันทันที ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถามถาม “เจ้าได้ยินมาจากใคร นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่กระซิบว่า “ข่าวสารของตระกูลอื่น ข้าอาจได้ยินไม่ชัดเจน แต่ว่าข่าวคราวของตระกูลซู ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ไม่เพียงแต่นาง แม้กระทั่งพี่เขยของข้ายังป่วยเลย เขาสลบหมดสติไปสองวันและเพิ่งจะฟื้น ตอนนี้กำลังดื่มยารักษาอยู่ แม้แต่อาหารยังกลืนไม่เข้าปากเลย”
“อั๊ยโย! ลำบากแล้วสิ!” หันหมิงชั่นถอนหายใจด้วยความลำบากใจ “ถ้าเกิดเรื่องนี้ขึ้น อย่างน้อยเหิงเอ๋อร์ต้องไว้อาลัยเพิ่มอีกปีหนึ่งแล้วสิ นางยังดีที่อายุยังถือว่าไม่มาก ทว่าทางฝั่งรองแม่ทัพถังรอไม่ได้แล้ว”
“ฉะนั้น เรื่องนี้ต้องรบกวนพี่สาวไปปรึษาหารือกับมารดาของเหิงเอ๋อร์แล้ว ว่าต้องเลื่อนพิธีสมรสให้เร็วหน่อยหรือไม่”
หันหมิงชั่นตอบกลับ “นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องง่าย เหลียงฮูหยินไม่ใช่เป็นคนที่ไม่มีเหตุผล คิดว่านางก็คงไม่ยอมให้งานมงคลของเหิงเอ๋อร์ล่าช้าเพราะเรื่องนี้อยู่แล้ว สินเดิมเจ้าสาวไม่ครบครันก็ไม่เป็นเช่นไร มีอะไรที่ยังขาดแคลนก็เพิ่มเติมก็พอแล้ว เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ให้พวกเขาค่อยๆ จัดเสร็จในภายหลัง แล้วค่อยส่งมาอย่างเงียบๆ ก็ได้”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าเห็นด้วย แล้วตอบกลับ “เกรงว่าจะจัดการจวนใหม่ได้ไม่ทัน ข้าจะสั่งให้บ่าวจัดเตรียมจวนทางทิศตะวันตกของจวนข้า ให้พวกเขาใช้เป็นเรือนหอชั่วคราว รอซ่อมแซมจวนใหม่เสร็จ เหิงเอ๋อร์ยังจัดจวนตามที่นางชอบได้”
“ก็ให้เป็นไปตามนี้ ถึงแม้จะทำให้เหิงเอ๋อร์ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่กลับเป็นวางแผนรับมือชั่วคราว ขอเพียงแค่พวกเขามีชีวิตที่ดี เรื่องทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งที่พูดกับมารดาเหิงเอ๋อร์ง่ายอยู่แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ตอบยิ้มๆ “พี่สาวอย่ากังวลใจไปเลย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นถังเซียวอี้หรือเหิงเอ๋อร์ ข้าก็ไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีต่อพวกเขาสองคนอยู่แล้ว”
หันหมิงชั่นก็ยกยิ้ม “เรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ข้าจะไม่เชื่อใจเจ้าได้อย่างไร แม้แต่ตอนที่พูดคุยกับเหลียงฮูหยิน นางก็มักจะเอ่ยถึงเรื่องงานมงคลของเหิงเอ๋อร์ นางเอ่ยถึงทีไรก็มักจะมีความสุขมากทุกที ก็เพราะเจ้าล้วนๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่ตอบแบบหัวเราะเบาๆ “ข้าดีขนาดนี้เลยหรือ”
“แน่นอน เจ้าดีกว่าทุกคนอยู่ดี” หันหมิงชั่นตอบกลับอย่างดีใจ “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าโชคดีเพียงใดที่รู้จักเจ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะอย่างได้ใจ “พี่สาวชมข้าจนตัวข้าจะลอยแล้ว”
“เอาน่ะ ไม่หยอกล้อเจ้าแล้ว ข้ากลับไปจัดเตรียมเรื่องของเหิงเอ๋อร์ก่อน แม่ทัพของเจ้าช่างเป็นคนนิสัยดีจริงๆ ถึงกับมาที่นี่เป็นเพื่อน ถ้าข้ายังชวนเจ้าอู้งานอีก ประเดี๋ยวจะมีคนเกลียดเอา” หันหมิงชั่นยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วเดินออกไปด้านนอก พอเดินไปถึงประตูก็หันกลับมาพูดยิ้มๆ “เจ้าไม่ต้องไปส่งข้าแล้ว รีบไปรับใช้ท่านแม่ทัพของเจ้าได้แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่มองนางด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวฉวยโอกาสนี้มาหยอกล้อข้า แล้วยังไม่ยอมข้าแต่โดยดี แล้วครั้งนี้ท่านโหวไม่ได้มากับเจ้าหรือ ปกติเจ้าสองคนไปไหนก็ติดตัวกันตลอดไม่ใช่หรือ”
“เจ้าน่ะ ปากของเจ้าช่างไม่ยอมคนเลยจริงๆ” หันหมิงชั่นหัวเราะไปพลางเดินออกประตูไป บ่าวปรนนิบัติด้านนอกก็เข้ามา สองคนจึงเลิกหยอกล้อกัน
วันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เว่ยจางมาสำนักแพทย์ แต่ก่อนหน้านี้ที่มาทุกครั้งก็มักจะจากไปอย่างเร่งรีบ จึงไม่เคยได้เดินเที่ยวชมที่นี่ วันนี้พอมีเวลาว่าง เลยเดินทั่วจวนที่มีประตูเข้าออกสามชั้นไปหนึ่งรอบ แน่นอน เขาแค่อยากเดินสังเกตความปลอดภัยของที่นี่ ราชครูเซียวอยู่ที่นี่ องค์ชายทั้งสองท่านจะเข้ามาร่ำเรียนทุกวัน ถึงแม้ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำคัญนัก แต่เป็นที่น่าจดจำของหลายคน
ตอนนี้เก๋อไห่ก็อยู่ข้างกายเขา ทั้งสองเดินวนไปหนึ่งรอบ เขาถามกลั้วหัวเราะ “พี่ใหญ่ เจ้าว่าข้าตกแต่งที่นี่ได้เป็นอย่างไรบ้าง”
“อืม ก็ไม่เลว” เว่ยจางมองเก๋อไห่แล้วยกยิ้ม พร้อมพูดว่า “เห็นได้ถึงความตั้งใจของเจ้า”
“แน่นอนสิ ข้าวนทั่วจวนคืนละสามรอบ คอยเฝ้าระวังความปลอดภัยทุกซอกทุกมุม ตอนนี้แค่หลับตา ก็จดจำแผนที่ที่นี่ไว้ในหัวได้แล้ว” เก๋อไห่กดหน้าผากตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
เว่ยจางหัวเราะเบาๆ “คืนนี้ พวกเราลองประลองกันไหม”
“เอ่อ? ก็ดี!” เก๋อไห่ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที ช่วงนี้เอาแต่เฝ้าที่นี่ ร่างกายของได้ยืดเส้นยืดสายมานาน!
“แต่ว่าวันนี้เจ้าพาข้ามาเยี่ยมชมจุดจัดวางกำลังป้องกันความปลอดภัย ข้าก็ไม่ควรเอาเปรียบเจ้าอยู่แล้ว” เว่ยจางพูดขึ้น แล้วยกมือหักกิ่งไม้มาหนึ่งก้าน แล้วเอากิ่งไม้วาดแผนที่คร่าวๆ บนหลังคาที่มีหิมะทับถมอยู่ แล้วชี้ไปบางจุด “ที่นี่ ที่นี่ และก็ที่นี่ มีความปลอดภัยค่อนข้างต่ำ แต่ว่าก็โทษเจ้าไม่ได้ คนของฝ่าบาทมีมาจำกัด มีคนไม่เพียงพอ อีกทั้งก็ไม่ใช่คนที่เจ้าสั่งสอนจึงจัดการลำบาก ดังนั้น ข้าจะให้เจ้าอีกสิบสองคน เจ้าเลือกคนของพวกเราออกมารักษาการณ์ที่นี่”
“จริงหรือ” เก๋อไห่ได้ยินเช่นนี้จึงทำแววตาเป็นประกาย “แล้วท่านแม่ทัพจะพาทหารมาบุกรุกกี่คน”
เว่ยจางยื่นชูนิ้วทั้งห้านิ้วให้เก๋อไห่
“ห้าคนหรือ!” เก๋อไห่ได้ยินคำนี้แล้วสะดุ้งตกใจทันที “ท่านพามาห้าคน? มาสู้กับคนของข้ายี่สิบกว่าคนนี่นะ พี่ใหญ่ไม่คิดจะไว้หน้าข้าเลยหรือ”
“รู้สึกอับอาย ก็เอาชนะข้าให้ได้สิ” ท่านแม่ทัพเว่ยที่ยืนอยู่บนหลังคาหันไปมองทางฝั่งเหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังส่งแขก ยกมือชตบไหล่เก๋อไห่ พลางกระโดดลงจากหลังคาทันที