หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 424 ข้าหลวงเหยาเลื่อนตำแหน่ง ตระกูลลู่ถูกตรงหน้า (3)
ตอนที่ 424 ข้าหลวงเหยาเลื่อนตำแหน่ง ตระกูลลู่ถูกตรงหน้า (3)
“เหอะ” เก๋อไห่ถลึงตามองถังเซียวอี้เพียงชั่วพริบตา “เจ้าว่าเป็นคนที่กินดีอยู่ดีมาตลอด คงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่อดอยากหรอก ข้ากลับอยากให้ฮูหยินหาคู่หมั้นคู่หมายให้ข้า ทว่าฮูหยินกลับไม่เห็นข้าในสายตาเสียนี่!”
ถังเซียวอี้ได้ยินคำพร่ำบ่นจากบุรุษที่ไร้ความรู้สึกอย่างเขา จึงอดหันไปมองเขาไม่ได้ กลับเห็นนัยน์ตาของเก๋อไห่กำลังจ้องมองไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง ดูดวงตาของเขาประดุจสุนัขป่าที่เป็นประกายแสงสีเขียว ภายในใจของถังเซียวอี้สะดุ้งทันที…อืม? นั่นเป็นเรือนของใครกัน
วินาทีต่อไป ข้อสงสัยภายในใจของรองแม่ทัพถังก็ถูกไขทันที ประตูเรือนถูกเปิดออก สตรีสวมชุดกระโปรงสีฟ้าครามก็ออกจากด้านใน แล้วเดินผ่านระเบียงยาวไปด้านหลัง
“ชุ่ยเวย?” ถังเซียวอี้มองใบหน้าของเก๋อไห่ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“หา?” เก๋อไห่มองจนสติหลุดลอยไป พอถังเซียวอี้ถามขึ้น จึงค่อนข้างตื่นตกใจ
“เจ้าโปรดปรานชุ่ยเวยหรือ” ถังเซียวอี้มองสหายที่กำลังทำหน้าซื่อบื้อ จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เก๋อไห่ที่ถูกสหายล่วงรู้ความลับในใจจึงค่อนข้างเขินอายแล้วแค่นเสียงเหอะ พลางถามกลับ “ทำไม ไม่ได้หรือไร”
“ได้! จะไม่ได้ได้อย่างไร!” ถังเซียวอี้พยักหน้าเต็มแรง ทว่าภายในใจกลับอดตั้งคำถามไม่ได้ ดังนั้นจึงซักถามอย่างไม่กลัวตาย “เจ้าไม่รังเกียจฐานะของนางหรือ”
“ฐานะอะไรกันเล่า” ปากของเก๋อไห่เหมือนกำลังคายหญ้าที่แห้งตายออกมา จึงพูดอย่างไม่พอใจ “แล้วข้าเป็นบุตรหลานของขุนนางชั้นสูงหรือไร”
อย่างน้อยเจ้าก็คือขุนนางขั้นห้าหรือเปล่า! ถังเซียวอี้หมิ่นประมาทอย่างเงียบๆ
ทว่าตอนนี้แม่นางชุ่ยเวยไม่ใช่สาวใช้ธรรมดาแล้ว คนเขาเป็นตั้งหมอหญิงขั้นแปดของสำนักแพทย์แน่ะ อีกอย่างดูจากฝีมือแล้ว คงใช้เวลาอีกไม่นานก็เลื่อนขั้นได้แน่นอน แม่นางผู้นี้อาศัยความสามารถพัฒนาตัวเอง นอกจากฮูหยินแม่ทัพพวกเราแล้ว ก็มีชุ่ยเวยและชุ่ยผิงนี่แหละที่เอาการเอางาน
ถังเซียวอี้กำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเก๋อไห่พูดอย่างไม่พอใจ “ข้าว่านางดูแกร่งกว่ากุลสตรีที่เอาแต่เย็บปักถักร้อยไปวันๆ อย่างน้อยวันใดที่ข้าออกรบแล้วได้รับบาดเจ็บ นางก็ยังปรนนิบัติรับใช้อย่างสุดกำลังความสามารถ แล้วรักษาชีวิตของข้าไว้ได้”
ถังเซียวอี้หลุดยิ้ม “เจ้าหาเมียเพื่อรักษาชีวิตตนเองไว้กระนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้น! ข้าเป็นคนที่ซื่อๆ เช่นนี้อยู่แล้ว! ไม่ได้เหมือนพวกเจ้าที่มีแผนการแยบยลในใจ วันๆ รู้แต่แต่งบทกวีร้องเพลง” เก๋อไห่พึมพำ
รองแม่ทัพถังได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “เจ้าหาเหาใส่หัวใช่ไหม อยากเจอดีหรือไร ข้าชอบแต่งบทกวีร้องเพลงแล้วจะทำไม ไม่พอใจก็มาสู้กันสักตั้งสิ!”
“ให้ตายเถอะ ใครกลัวใครล่ะ! สู้ก็สู้สิ!” เก๋อไห่ถ่มน้ำลายกระโดดขึ้นสู้กับถังเซียวอี้
ฟ้าที่เพิ่งสดใสหลังหิมะตกหนัก แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม ก้มหน้าลงก็เห็นหิมะสีขาวโพลน สิ่งที่เข้าตาไม่ใช่วิมานหยกอันงดงามอะไร แต่เป็นพืชพันธุ์มีหิมะสีขาวโพลนสะอาดตากองสุม ทั้งเมืองหลวงอวิ๋นปกคลุมด้วยหิมะราวกับผิวพรรณผ่องใสของสตรีรูปงาม
วันนี้ รถม้าของข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมืองเดินทางเข้าเมืองหลวงอวิ๋นท่ามกลางหิมะตกที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด
เหตุเพราะอากาศในช่วงนี้ของเขตตอนเหนือเหน็บหนาว น้ำในแม่น้ำอวิ๋นเทียนจับตัวเป็นน้ำแข็ง ดังนั้น หลังจากเหยาหย่วนจือจึงเดินทางมาอย่างยากลำบาก ผ่านแม่น้ำจินมาก็เปลี่ยนรถม้าไปอีกคัน เหยาเหยียนอี้ก็ไปคอยที่นอกเมืองนานแล้ว เวลานี้ก็กำลังนั่งพูดคุยกับบิดาในรถม้า
“สถานการณ์ในจวนติ้งโหวเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ฝ่าบาทก็รับสั่งให้คนส่งยาบำรุงร่างกายให้ท่านโหวแล้ว ทว่าองค์หญิงต้าจั่งสวรรคตไปแล้ว ฝ่าบาทถึงได้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องของจวนติ้งโหว เพียงแต่ว่าช่วงนี้เฟิ่งเกอถือว่ายุ่งวุ่นวายอย่างยิ่ง ไหนจะต้องดูแลเจ้าสาม ไหนจะต้องดูแลฮูหยินซื่อจื่อและฮูหยินท่านโหว ทว่าโชคดีที่ร่างกายของนางดีขึ้นมามาก ว่าไปแล้วก็ต้องยกความดีความชอบให้เยี่ยนอวี่” เหยาเหยียนอี้เล่าเรื่องของจวนติ้งโหวกับเหยาหย่วนจืออย่างละเอียดเสร็จ ก็กล่าวสรุปออกมาเช่นนี้
“ท่านซูซื่อจื่อยังอยู่ในประจำการที่เมืองเฟิ่งมิใช่หรือ ในจวนมีคนป่วยไข้มากเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่บัญชาให้เขากลับมาหรือ”
“ได้ข่าวว่าท่านโหวไม่ได้เขียนสาสน์กราบทูลไป แน่นอนว่าฝ่าบาทก็ต้องไม่มีพระราชโองการให้ซูซื่อจื่อกลับมาอยู่แล้ว”
“อืม” เหยาหย่วนจือพยักหน้า เรื่องของจวนติ้งโหว น่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของติ้งโหว มิเช่นนี้เวลานี้เขาคงไม่มีทางปล่อยให้บุตรชายคนโตประจำการอยู่ในเขตชายแดนหรอก
เหยาหย่วนจื่อเข้าเมืองหลวงในครั้งนี้ นอกจากมากราบทูลเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมายจากฮ่องเต้แล้ว ก็เนื่องด้วยเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการว่าจะแต่งตั้งเหยาหย่วนจือเป็นอวี้สื่อต้าฟูฝ่ายขวาขั้นที่หนึ่งในฝ่ายตรวจการ หลังจากผ่านตรุษจีนนี้ไปก็จะได้ประจำตำแหน่งนี้
ถึงแม้อยู่ฝ่ายตรวจการจะได้เป็นเหยียนกวน หากเทียบกับตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมืองนี้ คงจะไม่ได้รับสินบนใดๆ จากภายนอก ทว่าตำแหน่งอวี้สื่อต้าฟูฝ่ายขวากลับไม่สามารถดูหมิ่นได้
ฝ่ายตรวจการเป็นฝ่ายที่ตรวจสอบที่ว่าการสูงสุด รับผิดชอบตรวจสอบวาจาและท่าทีของเหล่าขุนนางตำแหน่งเล็กจนถึงตำแหน่งใหญ่นับร้อยในราชสำนัก หลักๆ ก็คือตรวจสอบว่าขุนนางที่ทุจริต มีหน้าที่อ่านพระราชโองการต่อหน้าขุนนางทั้งปวงในราชสำนัก หรือทำหน้าที่เขียนสาส์นกราบทูลลับ
รวมไปถึงอวี้สื่อต้าฟูจะคอยช่วยเหลือศาลาว่าการจื๋อลี่สองเมือง มีอำนาจในการตรวจสอบเอกสาร ตรวจสอบการปฏิบัติงานของขุนนางในท้องที่ต่างๆ การปราบปรามการกระทำฉ้อโกง และจับกุมผู้ทำงานทุจริต จากนั้นค่อยเขียนสาส์นลับกราบทูลฮ่องเต้ นอกเหนือจากนี้ ยังมีอำนาจที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานนี้ นั่นก็คือทำหน้าที่เป็นสายสืบของฮ่องเต้ เป็นคนคอยพินิจพิจารณาการทำงานของเหล่าขุนนางประจำเมืองและมณฑล แล้วคอยรายงานการเคลื่อนไหวให้ฮ่องเต้
บิดาได้เลื่อนตำแหน่งอย่างมีเกียรติและมีอำนาจในราชสำนัก เหยาเหยียนอี้รู้สึกดีใจเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่า เขาถูกเหยาหย่วนจือสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก รวมไปถึงประสบการณ์ที่ออกมาใช้ชีวิตนอกจวนในหนึ่งปีนี้ ฝึกฝนให้กลายเป็นคนที่เก็บสีหน้าเก่งไปแล้ว ไม่ว่าจะรู้สึกดีใจหรือโกรธเคือง ก็ยังคงสีหน้านิ่งเฉย ตลอดการเดินทางเข้าเมือง นอกจากรายงานสถานการณ์ของแต่ละจวนในเมืองหลวงแล้ว ก็คอยเป็นกังวลชีวิตการเป็นอยู่ของบิดา
“หลังจากท่านพ่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็กลับจวนเถอะ ทุกอย่างในจวนจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว อีกสามวันหยวนเอ๋อร์ก็ครบเดือนแล้ว ข้าทำตามคำสั่งของท่านพ่อ เลยไม่ได้จัดงานเลี้ยงใดๆ แค่เพียงเชิญชวนเหล่าสหายและญาติสนิทมาร่วมฉลองสองสามคนเท่านั้น”
“อืม เช่นนี้แหละดีแล้ว นอกจากฝ่าบาททรงพระกรุณาธิคุณให้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองแล้ว ก็จัดการทุกอย่างในจวนอย่างระมัดระวังเถอะ พยายามทำทุกอย่างให้เรียบง่าย ในเมืองหลวงไม่เหมือนเจียงหนิง อย่างไรก็ย่อมมีคนคอยจับตามองอยู่แล้ว ขืนทำผิดอะไรไป ก็คงพลาดพลั้งต่อเนื่อง เขื่อนยาวนับหมื่นลี้ มักถูกกองทัพมดเจาะจนพังทลาย หลักเหตุนี้กล่าวได้จริงแท้”
“ขอรับ ข้าจดจำคำสั่งสอนของท่านพ่อไว้แล้ว”
หลังจากเหยาหย่วนจือเข้าเมือง สิ่งแรกที่ทำก็คือนำป้ายชื่อไปขอเข้าเฝ้า จากนั้นก็รอให้ฮ่องเต้เรียกตัวไปเข้าพบ
ประจวบเหมาะกับช่วงนี้ฮ่องเต้ทรงกังวลพระทัยในกองกำลังทหารที่อยู่ในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ จึงมีพระราชโองการลงมา ให้เหยาหย่วนจือกลับจวนรอคำสั่งเข้าเฝ้า เหยาหย่วนจือน้อมก้มกราบขอบพระทัยแล้วแอบยัดหยกรูปงามให้ไหวเอิน จากนั้นเก็บของกลับจวนเหยา
พ่อตาเข้าเมือง แม่ทัพเว่ยจะกล้าไม่สนใจได้อย่างไร ได้ยินพระราชโองการของฮ่องเต้ให้เหยาหย่วนจือกลับจวนไปรอคำสั่งเข้าเฝ้า เว่ยจางจึงกลับจากที่ว่าการทหารก่อน แล้วไปรับฮูหยินที่สำนักแพทย์ เพื่อไปเยือนจวนเหยาพร้อมกัน ทว่าพวกเขากลับเร็วกว่าเหยาหย่วนจือไปหนึ่งก้าว
เหยาหย่วนจือเข้าประตูก็เห็นสะใภ้ บุตรี และบุตรเขยต้อนรับอยู่ตรงหน้าประตู ภายในใจได้รับการปลอบโยน และเข้าไปอุ้มหลานด้วยความรื่นเริง พร้อมทั้งเอาสร้อยคออายุยืนและกระดิ่งข้อมือข้อเท้าไว้ในห่อผ้าของทารกน้อย พร้อมพูดว่า “นามของเด็กคนนี้ ข้าคิดไว้แล้ว เรียกว่า ‘เซิ่งหวน’ พวกเจ้าคิดว่าเป็นเช่นไรบ้าง”
เหยาเหยียนอี้ถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม “หวนหวนอู่อ๋อง ปกป้องเจวี๋ยซื่อ ‘หวน’ คำนี้ ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก”
“เหยาหย่วนจื่อมองเว่ยจางยิ้มๆ แล้วเปรยว่า “พวกเราตระกูลเหยาเป็นตระกูลปัญญาชนที่สืบทอดมาหลายรุ่น ด้วยเหตุนี้ ข้าเลยหวังว่าเขาจะฉลาดชาญชัยทั้งความสามารถบุ๋นและบู๊”
เหยาเหยียนอี้และหนิงฮูหยินน้อยขอบคุณบิดาที่ตั้งนามในบุตรชายอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาต่างพูดคุยเล่นกันไปสักพัก แล้วเอ่ยถามถึงฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยิน ทั้งยังถามถึงสองสามีภรรยาเหยาเหยียนเอินและเหยาเซิ่งหลิน เหยาหย่วนจือก็ถามเว่ยจางเหยาเยี่ยนอวี่เป็นเช่นไรบ้าง แล้วกำชับให้สองสามีภรรยารักใคร่ปรองดองกัน และอดทนยอมอ่อนข้อให้กัน