หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 425 ข้าหลวงเหยาเลื่อนตำแหน่ง ตระกูลลู่ถูกตรงหน้า (4)
ตอนที่ 425 ข้าหลวงเหยาเลื่อนตำแหน่ง ตระกูลลู่ถูกตรงหน้า (4)
ทันใดนั้นก็ได้เวลาเปิดงานเลี้ยงครอบครัว เหยาหย่วนจือจึงเอ่ยถาม “เหตุใดเฟิ่งเกอยังไม่มาอีก”
หนิงฮูหยินน้อยพลันตอบกลับ “น้องใหญ่ส่งคนมารายงานแต่เนิ่นๆ แล้ว จวนโหวมีเรื่องเร่งด่วน จะมาน้อมคำนับท่านพ่อในวันพรุ่งนี้ ขอให้ท่านพ่ออภัยที่นางอกตัญญูเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ! ไม่เห็นต้องพูดว่าให้อภัยเลย ทุกคนเป็นเลือดเนื้อเชี้อไขของข้าหมด การอกตัญญูไม่ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น สตรีที่ออกเรือนก็ควรเชื่อฟังสามี วันนี้จวนโหวเกิดปัญหามากมายเช่นนี้ นางต้องให้ความสำคัญกับเรื่องทางตระกูลสามีอยู่แล้ว” เหยาหย่วนจือครุ่นคิดถึงเรื่องย่ำแย่ที่เกิดในจวนโหว ภายในใจก็อดกังวลแทนบุตรีไม่ได้
อันที่จริงแล้ว จนถึงตอนนี้ เรื่องกังวลภายในใจของเหยาเฟิ่อเกอก็ยังไม่มีใครเข้าใจ
เหตุเพราะลู่ฮูหยินป่วยหนักและไม่ได้เชิญหมอหลวงไปดูอาการ ตระกูลลู่จึงไม่พอใจมาก บิดาของลู่ฮูหยินไม่อยู่แล้ว ทว่าก็ยังมีน้องชายนามว่าลู่ฉางปั๋วอยู่ ตอนนี้ลู่ฉางปั๋วเป็นมหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน ซ้ำยังเป็นอาจารย์ของไท่จื่อ ตระกูลลู่เป็นตระกูลปัญญาชน ลู่ฉางปั๋วยังเคยเป็นอาจารย์ของเหล่าองค์ชาย ก็คืออาจารย์ที่เคยสอนองค์ชายหกและองค์ชายแปดก่อนที่ราชครูเซียวจะเดินทางเข้าเมืองหลวง
พี่สาวคนโตป่วยหนักเช่นนี้ จวนติ้งโหวกลับไม่เชิญหมอหลวงมารักษา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลู่ฉางปั๋วจะยอมนั่งนิ่งดูดายได้อย่างไร
คืนนี้ ลู่ฉางปั๋วเชิญหมอหลวงสองคนไปจวนติ้งโหว ทว่ากลับไม่เห็นหน้าลู่ฮูหยิน
ซูกวงฉงนอนป่วยอยู่บนเตียง จึงปิดประตูไม่ยอมพบปะลู่ฉางปั๋ว เหยาเฟิ่งเกอและซุนฮูหยินน้อยก็จนปัญญาจริงๆ เลยเชิญซูกวงหลิงมารับมือต่อ
ลู่ฉางปั๋วเป็นคนที่หน้าด้านหน้าทน พูดไปพูดมา ก็พูดถึงพี่สาวที่ป่วย เขาที่เป็นน้องชายต้องเจอหน้าพี่สาวให้ได้ มิเช่นนั้นจวนติ้งโหวจะไม่เห็นจวนลู่ในสายตา พอพูดต่อไปอีก เขาก็บอกว่าจวนติ้งโหวไร้คุณธรรมและจริยธรรม เห็นชีวิตคนเหมือนต้นกล้า เขาจะไปขอความเป็นธรรมกับฮ่องเต้
ซูกวงหลิงก็ถกเถียงกับเขาไม่ไหว ทว่าก็ไม่อาจพูดเรื่องทั้งหมดที่ลู่ฮูหยินกระทำออกมาให้กระจ่างแจ้ง ดังนั้นจำต้องตกลงให้เขาได้เจอหน้าลู่ฮูหยิน
เหยาเฟิ่งเกอคาดการณ์ได้แต่เนิ่นๆ ว่าต้องเป็นเช่นนี้ ก่อนที่เชิญซูกวงหลิงไป ก็แอบให้คนไปจัดพระอุโบสถเล็กให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วสั่งให้แม่นมของตนและแม่นมของเฟิงฮูหยินน้อยไปเฝ้า อีกทั้งยังสั่งให้สาวใช้ที่เพิ่งซื้อตัวมาใหม่ไปคอยปรนนิบัติ
เหตุเพราะจวนติ้งโหวได้แพร่งพรายไปว่าลู่ฮูหยินติดเป็นโรคระบาด อาการเจ็บป่วยของติ้งโหวและซูอวี้เสียงก็ติดมาจากฮูหยิน หลังจากกินยาก็ไม่เห็นผล ซ้ำยังป่วยหนักกว่าเดิม ดังนั้นเหลียงฮูหยินถึงได้เชิญพระอาจารย์ไปไล่วิญญาณร้ายให้ออกจากร่างของลู่ฮูหยิน และต้องให้พักสงบต่อหน้าพระโพธิ์สัตว์กวนอิมเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน ดังนั้นนางถึงถูกส่งไปอยู่ที่พระอุโบสถเล็กในจวน
คำพูดพวกนี้แม้จะแต่งขึ้นมา ทว่าก็สมจริงยิ่งนัก ต่อให้ภายในใจของลู่ฉางปั๋วไม่เชื่อ ทว่าก็จับผิดอะไรไม่ได้ ในเมื่อติ้งโหว ซื่อจื่อฮูหยิน และคุณชายสามซูอวี้เสียงก็ป่วยด้วย! บรรดานายท่านและนายหญิงของจวนติ้งโหวป่วยเกือบหมด บอกว่าป่วยเนื่องจากโรคระบาดนั้นคงไม่กล่าวเกินจริงเลยสักนิด
พระอุโบสถเล็กในเวลานี้เงียบงันยิ่งกว่าวันปกติ มีทั้งเตาผิง มุ้ง ยาต้มและสาวใช้ที่ปรนนิบัติก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ถึงแม้จะมีคนไม่มาก ในเรือนก็ค่อนข้างเงียบสงบ ทว่าที่นี่เป็นพระอุโบสถ ก็ต้องเงียบสงบเป็นเรื่องธรรมดา การตกแต่งภายในก็ต้องเรียบง่าย ลู่ฉางปั๋วจึงไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ แล้วมองลู่ฮูหยินที่กำลังนอนหลับอยู่บนตั่งไม้ ดวงตาทั้งสองข้างหลับสนิท ใบหน้าซีดเซียว แค่มองเพียงชั่วพริบตาก็รู้ว่านางใกล้จะสิ้นลมหายใจแล้ว
ลู่ฉางปั๋วจึงเดินหน้าไปพลางร้องไห้ด้วย พร้อมยื่นนิ้วไปแตะลำคอของนางเบาๆ ชีพจรก็ไม่ได้ถือว่าอ่อนเกินไป ดังนั้นเขาเลยรีบหยุดคร่ำครวญ แล้วหันไปสั่งหมอหลวงที่พามา “รีบไปวัดชีพจรเถอะ”
หมอหลวงทั้งสองสบตากัน หนึ่งในนั้นเดินหน้าไปวัดชีพจรให้ลู่ฮูหยิน
ตามอาการของชีพจร ลู่ฮูหยินได้รับพิษเย็นเข้าสู่ร่างกายจริงๆ อีกทั้งยังต้องทนหนาวทนหิว อาการค่อนข้างหนัก ทว่าแม้อาการจะหนักหน่อย กลับไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แค่ได้รับการรักษาเป็นอย่างดี และหมั่นบำรุงร่างกาย ใช้เวลาทำเช่นนี้เพียงเดือนสองเดือนก็คงจะหายดีแล้ว
ดังนั้นหมอหลวงจึงถามว่าปกติได้กินยาอะไรบ้าง
เหยาเฟิ่งเกอเอายาเม็ดหยินชื่อ ยาเม็ดปู่ซิน และยาบำรุงประเภทอื่นออกมาให้หมอหลวงทั้งสองตรวจดู หมอหลวงอีกคนเห็นว่าเป็นขวดยาของสำนักแพทย์จึงพูดว่า “นี่เป็นยาที่หมอหลวงเหยาปรุงหรือ ยาเม็ดหยินชื่อนี้รักษาอาการพิษเย็นจริงๆ ใช้ยาชนิดนี้ก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร”
ส่วนหมอหลวงที่วัดชีพจรให้ลู่ฮูหยินก็กล่าว “เป็นเช่นนั้น ยาเม็ดเหล่านี้สะดวกแก่การป้อน และยังรักษาได้ถูกอาการ เป็นยาที่เหมาะสมยิ่งนัก ต่อให้ข้าจ่ายยาไป ก็เป็นยาที่ครอบคลุมสมุนไพรเหล่านี้เท่านั้น จึงไม่มีเหตุจำเป็นให้ข้าจ่ายยาอีก กินยาของหมอหลวงเหยาต่อนี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว”
ลู่ฉางปั๋วได้ยินคำพูดนี้จึงอดสงสัยไม่ได้ “เป็นเรื่องจริงหรือ ยาของหมอหลวงเหยามีประสิทธิภาพเช่นนี้เชียวหรือ เหตุใดพี่สาวของข้าป่วยมาสักระยะก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้นเลย?”
เหยาเฟิ่งเกอเดินหน้ามาตอบกลับ “เรียนท่านน้า หลายวันมานี้อาการของท่านแม่ดีขึ้นแล้ว เหตุเพราะช่วงก่อนมักจะฝันร้ายบ่อยๆ จึงไม่ได้พักผ่อนดีๆ ดังนั้นหลายวันมานี้อาการก็ดีขึ้นแล้ว ทำให้ท่านแม่หลับสนิทขึ้นมาก”
ลู่ฉางปั๋วมองหมอหลวง หมอหลวงพยักหน้า สื่อให้เห็นว่าคำพูดนี้กล่าวไม่ผิดแม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ มหาบัณฑิตลู่ก็ไม่มีอะไรจะกล่าวอีกต่อไป ดังนั้นจึงหันไปมองพี่สาวของเขาเพียงปราดเดียว แล้วกำชับให้เหยาเฟิ่งเกอและซุนฮูหยินน้อยดูแลนางดีๆ แล้วยังบอกว่าปกติมารดาของพวกนางดูแลงานเรือนอย่างลำบาก ตอนนี้อายุก็มากแล้ว พวกเจ้าต้องกตัญญูต่อนาง หลังจากกล่าวจบถึงจะจากไป
เหยาเฟิ่งเกอและซุนฮูหยินน้อยส่งมหาบัณฑิตออกจากพระอุโบสถเล็ก จากนั้นต่างก็ลอบถอนหายใจ
ซุนฮูหยินน้อยเปรยด้วยเสียงต่ำ “ท่านน้านี่มากปัญญาจริงแท้ วาจาที่กล่าวออกมาราวกับเขียนบทประพันธ์อยู่”
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มอย่างจนปัญญา “ก็เป็นตั้งมหาบัณฑิต และเป็นผู้มากปัญญาที่สุดในราชวงศ์ต้าอวิ๋น”
ซุนฮูหยินน้อยยิ้มจางๆ ใบหน้ากลับเคล้าด้วยการดูหมิ่น
เหยาเฟิ่งเกอเปรยว่า “เช่นนั้นข้าขอกลับไปดูแลคุณชายสามก่อน บิดาของข้ากลับเมืองหลวงแล้ว คืนนี้พี่รองจัดงานเลี้ยงต้อนรับบิดา เยี่ยนอวี่และสามีก็กลับไปแล้ว มีเพียงข้าที่ไม่ได้ไปเยือน พรุ่งนี้ยังต้องไปน้อมคำนับบิดาอีก ว่าไปแล้ว อยากให้หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วยามยิ่งนัก”
หลายวันมานี้จวนติ้งโหวมีผู้ป่วยอยู่ห้าคน งานเรือนทุกอย่างตกเป็นหน้าที่ของซุนฮูหยินน้อยและเหยาเฟิ่งเกอ เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ซุนฮูหยินน้อยก็ไม่ได้สบายแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงเปรยว่า “ใครไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเล่า! ข้าก็วิ่งไปไหนมาไหนจนขาจะหักแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
ทันทีที่สะใภ้ทั้งสองจากไป หลี่หมัวมัวและแม่นมของเหยาฮูหยินน้อย ยังมีสาวใช้สี่คนใหม่ก็จากไปด้วย เหลือเพียงผัวจื่อสองคนที่เหลียงฮูหยินสั่งให้มาเฝ้าในก่อนหน้านี้ ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
วันที่สอง เหยาเฟิ่งเกอกลับจวนเหยาไปน้อมคำนับบิดา เหยาหย่วนจือจึงถามถึงสถานการณ์ของจวนโหว และบอกว่าจะไปเยี่ยมท่านโหว
เหยาเฟิ่งเกอเกลี้ยกล่อม “ตอนข้ามาก็ได้บอกท่านโหวแล้ว ท่านโหวบอกว่าหลายวันมานี้ไม่ค่อยสบายจึงมาต้อนรับท่านพ่อได้ไม่ได้ ขอให้ท่านพ่อเห็นใจ ท่านโหวก็คิดไว้ว่าท่านพ่อต้องไปเยี่ยมไข้ ทว่าท่านโหวพูดแล้ว ช่วงนี้จวนติ้งโหวเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ผ่านไปสักพัก ท่านพ่อค่อยไปเยี่ยมเถอะ และขอให้ท่านพ่ออย่าคิดมาก ท่านโหวยังบอกว่า ไม่ว่าอย่างไร ท่านโหวก็เห็นท่านพ่อเป็นน้องชายทางเลือดคนหนึ่งอยู่แล้ว”
เหยาหย่วนจือได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ย่อมรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่ว่าอย่างไรก็รู้สึกไม่พอใจในซูอวี้เสียง จึงเอ่ยถามเหยาเฟิ่งเกอ “เรื่องวุ่นวะวุ่นวายในเรือนของเจ้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”