หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 428 คนถ่อยร้องทุกข์ ท่านโหวคาดการณ์อนาคต (3)
ตอนที่ 428 คนถ่อยร้องทุกข์ ท่านโหวคาดการณ์อนาคต (3)
ตั้งแต่กลับจากจวนองค์หญิงใหญ่ เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ขี่ม้า แต่กลับนั่งรถม้า เว่ยจางเห็นว่านางเหมือนจะมีเรื่องในใจ จึงขึ้นรถม้าตามนางไปด้วย
เหยาเยี่ยนอวี่พิงบนเบาะมองประทุนรถม้าที่ปกคลุมด้วยผ้าต่วนสีเขียวอ่อน ด้านบนมีกระดิ่งทองห้อยลงมา สองมือสวมถุงมือขนมิงค์สีขาวไว้ หัวแม่มือทั้งสองข้างกำลังหมุนรอบๆ กัน
“เจ้ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่” เว่ยจางนั่งอยู่ข้างนางแล้วโอบนางเข้ามากอด จากนั้นก็กระซิบข้างหูของนางเบาๆ
เหยาเยี่ยนอวี่เปรยด้วยเสียงเบา “วันนี้ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาตรัสว่ามีคนไปร้องทุกข์กับฝ่าบาทว่ายาที่สำนักแพทย์วิจัยออกมาไม่มีประสิทธิภาพ รักษาอาการไม่ได้จริง”
เว่ยจางหรี่ตาลงและขมวดคิ้วคมเข้มเล็กน้อย เหยาเยี่ยนอวี่พาอยู่กลางอ้อมกอดของเขา แล้วเปรยเสียงต่ำ “เจ้าว่าเป็นใครกันแน่”
“เดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนไปสืบเอง” คางของเว่ยจางทาบลงบนหน้าผากของนาง แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“อืม” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า ไม่ใช่ว่านางต้องการเรียกร้องอะไร และไม่ใช่ว่านางไม่ยอมให้ใครมาสงสัยในฝีมือการแพทย์ของตน คนๆ นี้ทำเกินไปจริงๆ กลับไปทูลคำพูดเฉกเช่นนี้ให้ฮ่องเต้ฟัง นี่คิดจะบีบบังคับให้ตนจนหนทางชัดๆ!
คงไม่ต้องกล่าวถึงแม่ทัพเว่ยว่าจะไปสืบหาคนถ่อยที่ไปร้องทุกข์กับฮ่องเต้อย่างไร กล่าวถึงเรื่องที่ลู่ฮูหยินป่วยหนักก่อน ท่านโหวเขียนสาส์นกราบทูลไปให้ฮ่องเต้ ขอให้ฮ่องเต้ทรงสั่งการให้บุตรชายคนโตซูอวี้ผิงกลับเมืองหลวงมาปรนนิบัติบิดามารดาที่ป่วย
บอกว่าปรนนิบัติคนป่วย อันที่จริงฮ่องเต้ก็รู้ดีแก่ใจแล้ว รอให้ซูอวี้ผิงกลับมาได้ไม่นาน ก็ได้เวลาจัดงานศพแล้ว ฮ่องเต้ใช้เมตตาธรรมและกตัญญูกตเวทิตาในการปกครองแคว้น คงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้อยู่แล้ว
ซูอวี้ผิงได้ยินว่ามารดาป่วยหนัก หลังจากได้รับพระราชโองการของฮ่องเต้ จึงเร่งม้ากลับเมืองหลวง เขาใช้เวลาเพียงสองสามวันก็กลับถึงเมืองหลวง
ต่อให้นี่เป็นช่วงสิ้นปี ทว่าจวนติ้งโหวกลับไม่ได้คึกคักมากเช่นนั้น บรรยากาศในจวนไม่ได้ชื่นมื่นแม้แต่น้อย
หลังจากซูอวี้ผิงกลับมาก็ไปเข้าพบบิดา ถึงแม้อาการของซูกวงฉงดีขึ้นมาก ทว่าก็ยังดูไร้ชีวิตชีวา เพียงผิงไฟบนตั่งไม้ และกระแอมกระไอเป็นบางครั้ง ทั้งยังดื่มยาต้มสมุนไพรไม่หยุด ดูจากสีหน้าและความมีชีวิตชีวาแล้วย่ำแย่อย่างที่คาด เดิมทีผมตรงขมับที่ขาวเพียงสองสามเส้น ผ่านไปไม่นานผมครึ่งศีรษะกลับกลายเป็นสีขาวโพลน
“บุตรอกตัญญูคนนี้ขอน้อมคำนับท่านพ่อขอรับ” ซูอวี้ผิงคุกเข่าหมอบกราบลงตรงหน้าตั่งไม้ที่ติ้งโหวพิง ภายในใจทั้งเจ็บปวดทั้งกังวล ตอนที่เขาขึ้นเหนือ ในจวนยังดีๆ อยู่เลย ทว่าเวลาผ่านไปเพียงสองสามเดือน ทั้งบิดา มารดา และภรรยาต่างป่วยหนัก ต่อให้เขาที่เป็นบุรุษเข้มแข็งเพียงใดก็ทนกับเรื่องจู่โจมนี้ไม่ได้
ติ้งโหวกระแอมสองที แล้วพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอรับ” ซูอวี้ผิงค่อยๆ ลุกขึ้น
“นั่งเถอะ” ติ้งโหวชี้ไปด้านข้าง
“ขอบคุณท่านพ่อ” ซูอวี้ผิงพูดไป ก็นั่งลงข้างกายติ้งโหว
ติ้งโหวกระแอมอีกสักพัก แล้วถามด้วยความเหนื่อยหน่าย “เจ้ากลับมาอย่างเร่งรีบเช่นนี้ ได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือยัง งานทางการทหารในเมืองเฟิ่งจัดไปราบรื่นดีหรือไม่”
ซูอวี้ผิงหันไปเอาหีบในมือของเสี่ยวซือคนสนิทที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดว่า “เรียนท่านพ่อ ข้ากลับมาก็ยื่นป้ายชื่อขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทปฏิเสธกลับว่าทรงงานหนัก ข้าสะสางงานทางการทหารเรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาทให้ข้ากลับมารับใช้ท่านพ่อท่านแม่ที่กำลังป่วย และยังพระราชทานรังนกวังหลวงและยาเม็ดปี่แปะชิงเฟ่ยที่หมอหลวงเหยาคิดค้น บอกว่ารักษาอาการไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านพ่อลองดูเถอะ หากมีประสิทธิภาพ ข้าจะไปขอกับหมอหลวงเหยาที่สำนักแพทย์อีก”
ติ้งโหวได้ยินคำพูดนี้ ก็ตลบผ้าห่มลงจากตั่งไม้ แล้วหมอบกราบขอบพระทัยไปยังทิศที่ตั้งวังหลวง
ซูอวี้ผิงพลันวางหีบลงด้านข้าง รอให้ติ้งโหวขอบพระทัยเสร็จก็ไปพยุงเขาขึ้น “ข้ากลับมาแล้ว ท่านพ่อพักฟื้นดีๆ เถอะ เรื่องในจวน ข้าจะสะสางให้เรียบร้อยเอง”
ติ้งโหวพยักหน้า แล้วเงยหน้ามองทุกคนที่คอยรับใช้ในเรือนเพียงชั่วพริบตาเดียว คนเหล่านี้ล้วนหูตาไว พอเห็นสายตาที่กวาดมองมา ก็รีบโค้งตัวถอยออกไปด้านนอก
ซูอวี้ผิงเห็นจึงรู้ว่าบิดามีเรื่องสำคัญจะคุยกับตนเอง เขาเลยก้มหน้าฟังอย่างตั้งใจ
ติ้งโหวเล่าแก่นแท้ของเรื่องในจวนให้ซูอวี้ผิงฟังไปหนึ่งรอบ แน่นอน หลักๆ คือการตายขององค์หญิงต้าจั่ง จากนั้นก็แสดงมุมมองตัวเองที่มีต่อลู่ฮูหยินในตอนนี้อย่างชัดเจน “ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อแน่นอน แต่ว่าตอนนี้นางยังสิ้นใจไม่ได้ เหตุเพราะเจ้ายังไม่มีทายาทสืบทอด”
ซูอวี้ผิงได้ยินสาเหตุการตายขององค์หญิงต้าจั่งก็ตะลึงงันไปทันที คำพูดต่อจากนี้ของติ้งโหว เขาฟังไม่เข้าหูอีกต่อไป ผ่านไปสักพักน้ำตาไหลรินลงมา พึมพำว่า “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ อาการในตอนนั้นของเสด็จย่า ต่อให้เชิญหมอหลวงมาดูแลรักษาเป็นอย่างดี เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ต่อได้ไม่นาน…”
“นางกลัวยัยหนูตระกูลเหยาจะมาทำให้องค์หญิงต้าจั่งฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ดังนั้นถึงได้ลงไม้ลงมือก่อนที่เหิงเอ๋อร์และภรรยาของเจ้าจะมาถึง นางพูดว่าหลายปีมานี้นางทนมามากแล้ว…ข้าคิดว่า นางคงจะสติวิปลาสไปนานแล้ว เพียงแค่ปิดบังอย่างมิดชิด พวกเราเลยมองไม่ออก!” ติ้งโหวแสยะยิ้มเย็นชา
“จะหาเรื่องทุกข์ทรมานไปไย!” ซูอวี้ผิงเงยหน้าขึ้น แล้วค่อยๆ หลับตาลง พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามอดกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลริน “เหตุใดถึงต้องทรมานตนเช่นนี้! ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง แล้วยังทำร้ายชีวิตคนหลายร้อยทั้งตระกูล…เหตุใด…”
ซูกวงฉงค่อยๆ ได้สติกลับมาจากความทุกข์ใจและความโกรธเคือง เวลานี้ เขาใจเย็นลงไปมาก พอเห็นบุตรชายเป็นเช่นนี้ ก็ปลอบโยนด้วยเสียงเบา “เอาเถอะ! ปล่อยให้ไปตามเวรตามกรรมของนาง เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจ ทุกอย่างมีข้าคอยรับมือ เจ้ากลับมา หลายวันนี้ หน้าที่สำคัญที่สุดของเจ้าคือต้องให้น้องสะใภ้เจ้ารีบตั้งครรภ์ให้ได้ หากยังไม่ติดก็ให้ไปหาหมอหลวง! ทายาทสืบทอดตำแหน่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด! และถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในจวนติ้งโหว!”
“ขอรับ” ซูอวี้ผิงค้อมตัวตอบกลับ
ติ้งโหวชี้ไปยังโต๊ะอักษรฝั่งโน้นพร้อมพูด “เจ้าไปเอาสาส์นกราบทูลฉบับที่อยู่ในตู้ลับฝั่งโน้นมาอ่านที”
ซูอวี้ผิงตอบกลับ แล้วหันไปหาสาส์นกราบทูลฉบับดังกล่าว หลังจากอ่านจบก็รีบหันไปคุกเข่าลงตรงหน้าตั่งไม้ “ท่านพ่อยังหนุ่มยังแน่น พูดถึงตำแหน่งเจวี๋ยในตอนนี้ คงจะเร็วเกินไปหรือเปล่า!”
ติ้งโหวผายมือ “ข้าให้เจ้าดู เพียงแค่อยากให้เจ้าเตรียมใจไว้ก่อน เอาเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าเก็บสาส์นกราบทูลกลับไปที่เดิม แล้วรีบกลับเรือนไปเยี่ยมสะใภ้ของเจ้าเถอะ คืนนั้นนางคุกเข่าอยู่กลางสวนจนถึงดึกดื่น อาการค่อนข้างสาหัส”
“ท่านพ่อ เรื่องสืบทอดตำแหน่งเจวี๋ย…”
“ข้าวางแผนไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องมากความอะไร เจ้าเพียงจดจำไว้ เจ้าคือบุตรชายคนโตของตระกูลซู ภาระหน้าที่ของเจ้าไม่ใช่เพื่อเกียรติยศของเจ้าเอง ทว่ากลับเพื่อความปลอดภัยและความสุขของคนนับร้อย และกิจการพื้นฐานร้อยปีของตระกูลซู! เจ้าห้ามใช้อารมณ์ ห้ามกล้าหาญเพียงชั่ววูบ ห้ามอ่อนแอ และห้ามหวาดกลัว เจ้าต้องรู้จักซ่อนคมในฝัก ยิ่งต้องมองแต่ภาพรวม และมองการณ์ไกล เจ้าต้องแบกรับหน้าที่ของบุตรชายคนโตในตระกูล! เข้าใจไหม”
“ขอรับ ข้าจดจำคำสั่งสอนของท่านพ่อไว้แล้ว” ซูอวี้ผิงพูดไปก็คุกเข่าหมอบกราบลงตรงหน้าติ้งโหว
“พอเถอะ เจ้ากลับไปได้แล้ว” ติ้งโหวผายมือ แล้วเลิกผ้าห่มขึ้นพลางหลับตาลง
ซูอวี้ผิงเดินหน้าไปกระชับผ้าห่มของบิดาอีกครั้ง จากนั้นโค้งตัวถอยออกมา
ณ เรือนชิงผิง เฟิงฮูหยินสั่งให้น้องสาวเฟิงซิ่วอวิ๋นมาหาตรงหน้า พร้อมทั้งยื่นกระดาษสีเปลือกไข่ที่เต็มไปด้วยตัวอักษร “นี่เป็นยาสมุนไพรบํารุงเตรียมตั้งครรภ์ที่ข้าส่งคนไปหามา และได้ให้หมอหลวงดูแล้ว ตั้งแต่วันนี้ เจ้ากินยาตามที่เขียนไว้ในนี้เถอะ”