หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 428 เฟิ่งเกอสร้างสถานการณ์ สองพ่อลูกพูดคุยเรื่องในใจ (1)
ตอนที่ 428 เฟิ่งเกอสร้างสถานการณ์ สองพ่อลูกพูดคุยเรื่องในใจ (1)
“พี่สาว…” เฟิงซิ่วอวิ๋นรับสูตรยาแผ่นนั้นไว้ สีหน้าลำบากใจมาก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“เจ้าและข้าเป็นพี่น้องทางสายเลือด มีอะไรก็พูดว่าตรงๆ เถอะ ครั้งนี้ท่านโหวสั่งให้ท่านซื่อจื่อกลับมาเพื่ออะไร เจ้าและข้าก็น่าจะรู้ดี”
“เจ้าค่ะ” เฟิงซิ่วอวิ๋นพลันโค้งคำนับ “ขอบคุณพี่สาวที่คอยคะนึงถึงข้า”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้าก็ทำเพื่อตัวเอง ตอนนี้เจ้าและข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว ขืนท้องของเจ้ายังไม่ได้เรื่องอีก ไม่แน่อาจต้องรออีกสามปี ระหว่างสามปีนี้ ไม่รู้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าเป็นคนฉลาดหลักแหลม และคงไม่ต้องการให้ข้ามากความอะไร ท่านซื่อจื่อกลับมาสักระยะแล้ว ข้าจะเกลี้ยกล่อมให้เขาไปพักที่เรือนเจ้าทุกวันเอง”
“เจ้าค่ะ พี่สาววางใจเถอะ ข้าต้องทำสุดกำลังและความสามารถแน่นอน”
“อืม เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
ซูอวี้ผิงกลับมา ก็เห็นเฟิงฮูหยินน้อยพิงอยู่บนเตียง ภายในใจรู้สึกเศร้ารันทด เพียงแต่ว่าเขาก็รู้สึก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรเศร้าโศก ดังนั้นจึงรวบรวมสติป้อนยาสมุนไพรให้ภรรยา กินข้าวเป็นเพื่อนนางเสร็จ ก็ให้นางพักฟื้นร่างกายดีๆ
เฟิงฮูหยินเกลี้ยกล่อมให้เขาไปพักที่เรือนของเฟิงซิ่วอวิ๋นดังคาด บอกว่าตนไม่ค่อยสบาย จึงไม่อยากทำให้ท่านซื่อจื่อพลอยลำบากไปด้วย ซูอวี้ผิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา หลังจากนั่งอยู่ข้างเตียงนางไปครึ่งชั่วยามก็จากไป
เรือนฉีเสียงในตอนนี้ ซูอวี้เสียงพิงอยู่บนตั่งไม้ในเรือนตะวันออก แล้วกำลังมองหลิงจือและตงเหมยวาดภาพ ส่วนในเรือนตะวันตก เหยาเฟิ่งเกอกำลังนั่งดูบัญชีร้านค้าที่เพิ่งส่งมา ข้างกายนางมีหู่พั่วและหลิวหลีที่กำลังแบกท้องโตถักเสื้อผ้าให้ทารกที่กำลังจะเกิดมาอยู่
ในเรือนมีคนอยู่ไม่มาก ทว่าไม่มีเสียงพูดคุย บรรยกาศเงียบงันมาก
ทว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จู่ๆ ซูอวี้เสียงก็ไม่พอใจ จึงยกมือปัดถ้วยหนึ่งใยที่อยู่ข้างบนร่วงลงบนพื้น ทำเอาหลิงจือและตงเหมยสะดุ้งตกใจ ทั้งสองจึงรีบวางพู่กันในมือลง หนึ่งคนเก็บถ้วยชาที่แตกบนพื้น ส่วนอีกคนก็เอ่ยถาม “คุณชายไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
ในเรือนตะวันตก เหยาเฟิ่งเกอทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงพลิกดูบัญชีด้วยความนิ่งสงบ
“เมื่อไรข้าถึงจะหายป่วย! แค่กๆ…” ซูอวี้เสียงชกตั่งไม้เตี้ยหนึ่งที แล้วไอด้วยความโมโห
ตงเหมยพลันเดินหน้าไปทุบหลังแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขา เขารีบรับผ้าเช็ดหน้าแล้วไอจวนตายไปสักพัก พาเลิกไอได้แล้ว ก็เห็นว่าผ้าที่ใช้ปิดปากเมื่อครู่นี้เต็มไปด้วยเลือดแดงสด
“ว้าย?! ทำเช่นไรดี!” ตงเหมยกระวนกระวายราวกับวิญญาณหลุดออกมาจากร่าง!
“อั๊ยโย!” หลิงจือลุกขึ้นก็เห็นคราบเลือดบนผ้าเช็ดหน้า จึงตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไป “นี่…ต้องทำเช่นไรดี!”
เหยาเฟิ่งเกอที่อยู่ในเรือนตะวันตกได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงขมวดคิ้วปิดสมุดบัญชี แล้วสั่งให้ซานหูเก็บให้ดี จากนั้นลุกขึ้นเดินมาฝั่งนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”
“แหม ฮูหยินน้อยสามยอมปิดสมุดบัญชีอันเลอค่าของเจ้าแล้วหรือ” ซูอวี้เสียงพิงหายใจหอบอยู่บนตั่งไม้ สีหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ มุมปากเปื้อนเลือดเล็กน้อย ใบหน้าซูบผอม รูปร่างดุจดั่งฟืน คุณชายที่เคยรูปงามและเคยหยิ่งผยองมาตั้งแต่เกิด ตอนนี้เหมือนเป็นผีดูดเดือดไปแล้ว
“ข้าไม่ตรวจบัญชี เจ้าคงไม่มีแม้แต่เงินซื้อยากิน! ท่านพี่รู้ไหม ยาต้มและยาเม็ดที่เจ้าในวันนี้ ต้องเสียเงินซื้อเท่าใดกัน” เหยาเฟิ่งเกอแสยะยิ้มแล้วยื่นนิ้วออกมา “จำนวนเท่านี้ ต้องมาเบี้ยเลี้ยงของเจ้า ข้า และเมียน้อยทั้งเรือนมารวมกัน ถึงจะพอดีกับเงินเท่านี้ เหตุเพราะโชคลาภของท่านพี่ ทำเอาพวกเรากินแกลบ”
ซูอวี้เสียงยิ้มอย่างเย้ยหยัน “สมกับเป็นคนของตระกูลเหยาจริงๆ จอมวางแผน ไม่มีใครเทียบเทียม…”
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มอย่างเลือดเย็น “เจ้ายังมีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับข้า ดูๆ แล้วอาการป่วยของเจ้าคงไม่เป็นอะไรแล้วสิ ดึกดื่นแบบนี้ยังคิดจะสร้างปัญหาให้คนอื่น หลิงจือ เทน้ำชาให้คุณชายสามบ้วนปาก” กล่าวจบ เหยาเฟิ่งเกอก็หันหลังจะจากไป
“ฮูหยิน!” ตงเหมยหันไปคุกเข่าลงตรงหน้าเหยาเฟิ่งเกอ แล้วกอดขาทั้งสองข้างของนางไว้ “ฮูหยิน ได้โปรดเชิญหมอหลวงมาดูอาการให้คุณชายเถอะ คุณชายกระอักเลือด! นี่…นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย!”
เหยาเฟิ่งเกอหันไปมองซูอวี้เสียงเพียงชั่วพริบตา เขาก็ละสายตาไปทางอื่น
“ฮูหยิน!” หลิงจือเห็นก็คุกเข่าลง “ฮูหยิน ได้โปรดเชิญหมอหลวงมาดูอาการให้คุณชายเถอะ! ใช้เบี้ยเลี้ยงของพวกบ่าว…”
“พวกเจ้ามีความรักที่ลึกซึ้งกับคุณชายจริงๆ คุณชายของพวกเจ้าไม่ได้เสียเปล่าที่รักใคร่ในพวกเจ้า เห็นได้ชัดว่าข้ามันอำมหิต แม้กระทั่งความรักระหว่างสามีภรรยาในหลายปีมานี้ ยังเทียบไม่ได้กับความรักของพวกเจ้า” เหยาเฟิ่งเกอยกยิ้มเย้ยหยันตัวเอง
หลิงจือพลันพูด “ฮูหยินเป็นผู้ที่มีจิตใจที่เมตตากรุณา คำพูดเมื่อครู่ของท่าน เป็นเพียงคำพูดประชดประชันคุณชายเท่านั้น พวกบ่าวรู้ดี คุณชายป่วย ฮูหยินก็ใช่ว่าจะไม่ปวดใจ ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินและคุณชายยังมีเย่ว์เจี่ยเอ๋อร์…”
“ฮูหยินเจ้าคะ ผู้เฒ่าไป๋มาแล้วเจ้าค่ะ” ซานหูเข้ามาจากด้านนอก แล้วโค้งคำนับรายงาน
เหยาเฟิ่งเกอก้มหน้ามองหลิงจือและตงเหมยที่คุกเข่าอยู่ตรงแทบเท้านางจึงยิ้มเย็นชา “ตอนนี้พวกเจ้าลุกขึ้นได้หรือยัง”
บ่าวทั้งสองที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็เข้าใจทันที ฮูหยินน้อยสามของพวกนางสั่งให้คนไปเชิญหมอหลวงมาแต่เนิ่นๆ แล้ว และตนเองที่เพิ่งทำเช่นนั้น เกรงว่าจะทำให้ฮูหยินน้อยสามเกลียดชัง ดังนั้นจึงไม่กล้ามากความอะไร แค่ลุกขึ้นไปหลบอยู่ตรงมุม
อันที่จริงเหยาเฟิ่งเกอสั่งให้คนไปเชิญผู้เฒ่าไป๋มาตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าไป๋ไม่อยู่จวน บอกว่าจะมาเยือนตอนค่ำ
ต่อให้เหยาเฟิ่งเกอไม่โปรดปรานซูอวี้เสียงอย่างไร ก็คงไม่มีทางไม่คิดเผื่อบุตรีตนเอง อีกอย่าง ท่านโหวจะไม่ยอมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับศัตรู ก็ไม่ยอมปล่อยให้ลู่ฮูหยินตายในตอนนี้ เขากำลังทำเพื่ออะไร ไม่ได้ทำเพื่อจวนติ้งโหวและอนาคตของคนหลายร้อยคนหรือไร
เหตุผลแรก ซูอวี้ผิงยังไม่มีทายาทสืบทอดตำแหน่ง ในราชวงศ์ต้าอวิ๋นมีกฎกำหนดไว้ว่า หากจะสืบทอดตำแหน่งเจวี๋ย จำต้องมีทายาท ขืนไม่มีใครมาสืบทอด ตำแหน่งเจวี๋ยก็จะสิ้นสุดเพียงเท่านี้ และนั่นก็หมายความว่า น้องชายทางสายเลือดก็ไม่มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งเจวี๋ยได้ ซูอวี้ผิงไม่มีทายาทสืบทอด ตำแหน่งโหวเจวี๋ยของติ้งโหวก็สืบสานไม่ได้ตลอดไป คงทำให้ทั้งตระกูลซูได้รับผลกระทบ
เหตุผลที่สอง ซูอวี้เหิงใกล้จะออกเรือนแล้ว หากในจวนมีการจัดงานศพ งานมงคลของซูอวี้เหิงก็ถูกเลื่อนออกไป บุตรชายคนโตไม่มีบุตรชาย บุตรชายของบุตรคนรองยังเด็ก งานมงคลของซูอวี้เหิงจึงเป็นแรงสนับสนุนตระกูลซูในตอนนี้ หากงานถูกเลื่อนไปในภายหลัง ตระกูลซูจะไร้ที่ยืนในสังคมเป็นเวลานาน นี่ก็ไม่ค่อยเป็นผลดีต่ออนาคตของซูอวี้คัง ขณะเดียวกันก็ยังทำให้ทั้งตระกูลซูได้รับผลกระทบ
เหตุผลที่กล่าวข้างต้น ติ้งโหวรู้ดี เหยาเฟิ่งเกอจะไม่รู้ได้อย่างไร ต่อให้ซูอวี้เสียงไม่เอาถ่านเพียงใด ก็ยังคงเป็นบิดาของบุตรีตนวันยันค่ำ เย่ว์เอ๋อร์อายุหนึ่งขวบกว่า จะปล่อยให้เสียบิดาไปได้อย่างไร
แค่เพียงว่าเหยาเฟิ่งเกอนึกไม่ถึงว่าซูอวี้เสียงจะกระอักเลือดออกมา และยิ่งนึกไม่ถึงว่งหลิงจือและตงเหมยจะเอ่ยคำพูดเช่นนั้น ทว่าก็ไม่สำคัญอะไร แม้กระทั่งซูอวี้เสียง นางยังไม่คิดจะสนใจ แล้วจะไปสนใจสาวใช้สองคนได้อย่างไร
บรรยากาศกระอักกระอ่วนใจของเรือนจึงถูกทำลายไปเพราะผู้เฒ่าไป๋
เหยาเฟิ่งเกอเดินหน้าไปโค้งคำนับอย่างเคารพ “ผู้เฒ่าไป๋มาแล้ว ดึกดื่นป่านนี้ยังต้องรบกวนท่าน ข้ารู้สึกผิดจริงๆ”
ผู้เฒ่าไป๋พลันยิ้มอย่างเกรงใจ “ฮูหยินน้อยสามเกรงใจเกินไปแล้ว ตระกูลไป๋และจวนติ้งโหวก็ถือว่าคบหากันมานาน เป็นเรื่องสมควรที่ต้องทำอยู่แล้ว อีกอย่างในฐานะที่เป็นหมอหลวง สิ่งแรกที่พึงกระทำก็คือช่วยชีวิตผู้ป่วย”