หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 43 อาการป่วยไข้ที่น่าอกสั่นขวัญหาย
ถังเซียวอี้ปรายตามองเว่ยจางอีกครั้ง เว่ยจางพยักหน้าเล็กน้อย ถังเซียวอี้จึงพลิกกายขึ้นม้าไป จากนั้นก็หันมาคารวะซูอวี้ผิงพลางเอ่ยขึ้น “ท่านซื่อจื่อ ข้าน้อยขอตัวไปก่อนขอรับ!”
ซูอวี้ผิงผายมือ แล้วมองถังเซียวอี้พาคุณชายลู่และกองกำลังทหารส่วนตัวขี่ม้าออกจากที่นั่นด้วยกัน จากนั้นหันไปคุยกับซูอวี้เหิง “เจ้ารีบขึ้นรถม้า กลับไปพบเสด็จย่าเสียก่อน ข้าจะตามไปทันที”
“เจ้าค่ะ” ถึงแม้ว่าซูอวี้เหิงยังคงไม่ยินยอมแต่โดยดี ทว่านางไม่มีวิธีอื่น จึงทำได้เพียงหันหลังแล้วขึ้นรถม้ากลับตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง
ซูอวี้ผิงมองรถม้าคันนั้นค่อยๆ ขับเคลื่อนกลับไปทางเดิม จึงคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเปรยขึ้น “น้องสาวของข้าคนนี้มีน้ำใจและจริงใจต่อผู้อื่นเสียจริง”
เว่ยจางมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่ป่วยเป็นไข้ทรพิษ พอได้ยินคำพูดที่ซูอวี้ผิงเอ่ยถึง จึงได้แค่ยิ้มแล้วสนองกลับอย่างพอเป็นพิธี “ท่านซื่อจื่อกล่าวถูกขอรับ”
“เสี่ยนจวิน หากเจ้ามีเพลาว่างก็ไปนั่งเล่นที่จวนได้ ข้าต้องขอตัวกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้กับเสด็จย่าก่อน” ซูอวี้ผิงเห็นเขาทำท่าทางที่ดูเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงคิดว่าเขาน่าจะมีธุระสำคัญอื่นใด เลยไม่คิดจะรบกวนเวลาของเขาอีก
เว่ยจางรีบทำมือคารวะเพื่อส่งเขา “ท่านซื่อจื่อเชิญ”
“ไว้พบกันใหม่” ซูอวี้ผิงเหยียบลงบนโกลนม้า ก่อนจะจากไปก็ได้ยิ้มพลางผงกหัวให้กับเว่ยจ่าง
เว่ยจางยืนมองซูอวี้ผิงพากองกำลังทหารรักษาการณ์ ขี่ม้าจากไปด้วยความเคารพ จากนั้นก็หันไปมองเก๋อไห่ที่อยู่ข้างกายเขา
เก๋อไห่รีบขยับเข้ามาใกล้พลางถามขึ้น “แม่ทัพเซ่า ท่านไม่วางใจเซียวอี้หรือ”
“เขาทำอะไร ข้าก็วางใจอยู่แล้ว” เว่ยจางถอนหายใจออกมาเบาๆ สหายที่เหมือนพี่น้องเติบโตมากับตนเองแต่เด็ก อย่างไรก็ผ่านอุปสรรคร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่ไว้วางใจ ทว่า…ไยถึงยังรู้สึกไม่สบายใจล่ะ
คืนนี้ ถังเซียวอี้พาลู่เจิงผิงไปเยือนที่วัดฉือซิน ทีแรกพระอาจารย์ใหญ่ในวัดฉือซินไม่อนุญาตให้บุรุษเข้าไปในเรือนหลังของวิหาร ถังเซียวอี้ชำระยี่สิบตำลึงเงินที่เป็นค่าธูปเสร็จ ก็ค่อยบอกว่าตนเองเป็นคนของจวนแม่ทัพติ้งหย่วน
พอเห็นพระอาจารย์ใหญ่ยังคงลังเล ถังเซียวอี้จึงเอานามขององค์หญิงต้าจั่งมาแอบอ้าง พระอาจารย์ถึงจะอนุญาตให้ถังเซียวอี้และลู่เจิงผิงเข้าประตูไป แล้วปล่อยให้กองกำลังทหารคอยอยู่ตรงนอกประตูของวัด
ฝีมือการแพทย์ของลู่เจิงผิง ตามหลักความเป็นจริงแล้วคงมิอาจเทียบเทียมกับหมอหลวงได้ ทว่าเขาเป็นหมอประจำการในหอยาที่รักษาสามัญชนทั่วไป หอยาตระกูลไป๋ถือว่าดำเนินกิจการได้ดียิ่งนัก ในทุกวันก็จะมีผู้ป่วยราวๆ ยี่สิบสามสิบคนเข้ารักษา ลู่เจิงผิงเป็นหมอที่จดจ่อต่อการทำงานค้นคว้า โดยเฉพาะงานค้นคว้าเกี่ยวกับโรคระบาดในกลุ่มของสามัญชนทั่วไป ซูอวี้เหิงตามตัวเขามา ก็ถือว่าหาถูกคนแล้ว
ทว่าอาการของเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคระบาด ดังนั้นตอนที่ลู่เจิงผิงตรวจชีพจร จึงทำให้เขารู้สึกสงสัยยิ่งนัก
ถังเซียวอี้เป็นบุรุษ ตามกฎระเบียบก็คงมิอาจเข้าไปในเรือนของสตรีเป็นเรื่องธรรมดา ตอนที่ลู่เจิงผิงเข้าไปจับชีพจรให้เหยาเยี่ยนอวี่ เขาจึงคอยอยู่ในสวนเท่านั้น เหตุเพราะบุรุษที่ซึ่งเป็นคนนอกมาเยือน ชุ่ยเวย ชุ่ยผิงและสาวใช้ขั้นหนึ่งคนอื่นๆ ต่างก็ซุกซ่อนตัวไว้ ในสวนจึงมีเพียงผัวจื่อสองคนที่คอยทำงานใช้แรงงานอยู่เท่านั้น
หลังจากเสียงเลิกม่านประตูดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ถังเซียวอี้ที่เดินไปเดินมาในสวนได้ยินเข้า จึงรีบเดินหน้ามาสองก้าว พลางเอ่ยถาม “คุณชายลู่ อาการป่วยของคุณหนูเหยาเป็นเช่นไรบ้าง”
ลู่เจิงผิงถอนหายใจอย่างอึดอัดใจ จากนั้นก็ส่ายหัวเล็กน้อย
“อาการไม่ดี?” ถังเซียวอี้กดเสียงต่ำลง
“ไม่ใช่อาการไม่ดี คือว่าข้า…ข้าเองที่ไม่ดีพอ อาการเช่นนี้แปลกประหลาดเกินไป” ลู่เจิงผิงนึกย้อนถึงชีพจรของเหยาเยี่ยนอวี่ หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงถอนหายใจ “ข้ายังไม่เคยเห็นอาการเช่นนี้มาก่อนเลย จึงทำได้เพียงจ่ายยาสักสองชนิดให้นางไปก่อน กินยาแล้วค่อยดู หากไม่ดีขึ้น รบกวนขอให้ท่านซื่อจื่อและท่านแม่ทัพไปเชิญหมอผู้มากความสามารถท่านอื่นเถอะ”
“นี่…นี่เป็นโรคอะไรกันถึงร้ายแรงเช่นนี้!” ถังเซียวอี้รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที คุณหนูเหยาผู้นี้เป็นสตรีที่แม่ทัพเซ่าหมายปอง จะปล่อยให้นางเจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่รู้สาเหตุได้อย่างไร
“ข้าก็กล่าวไม่ถูกว่านี่เป็นโรคอะไรกันแน่ ทว่าท่านรองแม่ทัพได้โปรดวางใจเถอะ แม่นางท่านนี้ไม่น่าจะป่วยเป็นไข้ทรพิษ หรืออาจกล่าวได้ว่า…โรคที่นางป่วยนี้ไม่ถึงขั้นเสี่ยงต่อชีวิต”
“อ้อ! เช่นนั้นก็ดี” ถังเซียวอี้ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไร หากไม่เสี่ยงต่อชีวิตก็ดีแล้ว”
ถังเซียวอี้เป็นรองแม่ทัพฝ่ายบู๊ แน่นอนว่าต้องไม่หวาดผวาต่ออะไรที่เป็นอันตรายแก่ชีวิตอยู่แล้ว จากนั้นเขาจึงให้ลู่เจิงผิงจ่ายยาสมุนไพรไว้ให้นางแล้วพาเขากลับเมืองหลวงไป หลังจากที่เข้าเมืองหลวงมาก็ได้สั่งให้คนไปส่งคุณชายลู่ ตนก็มุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพติ้งหย่วนโดยตรง
ตอนนี้จวนของเว่ยจางยังไม่ได้ซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์ มีเพียงห้องอักษรที่เก็บกวาดออกมาเป็นที่พักชั่วคราว ถังเซียวอี้ก็อาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้จึงเดินอย่างชินทาง ทันทีที่เข้าไปในจวนก็มุ่งหน้าไปยังห้องอักษร
ตอนนี้ก็เลยเวลายามสาม[1]แล้ว เว่ยจางยังไม่ได้นอน เขานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะอักษรแล้วกำลังถือตำราการรบอยู่หนึ่งเล่ม ดูเขาเหมือนกำลังเหม่อลอยอยู่
“แม่ทัพเซ่า” ถังเซียวอี้เข้าประตูมาก็ยกจอกชาบนโต๊ะที่เย็นแล้วขึ้นมาดื่มหนึ่งคำ
“เป็นเช่นไรบ้าง” เว่ยจางเหยียดกายลุกขึ้นแล้วเอ่ยถาม
“คุณชายลู่บอกว่าไม่ใช่ไข้ทรพิษ” ถังเซียวอี้กล่าวถึงคำพูดที่เสนาะหูก่อน พอเห็นสีหน้าของเว่ยจางที่ผ่อนคลายลงจึงพูดเพิ่มเติม “แต่ว่าเขาก็มิอาจชี้แจงได้ว่าโรคที่ป่วยคืออะไร แค่บอกว่าจะจ่ายยาสองชนิดให้กินดูไปก่อน”
ดวงตาที่ลุ่มลึกทั้งสองข้างของเว่ยจางดูกังวลขึ้นมาเล็กน้อย แล้วกำลังจับจ้องเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ ผ่านไปชั่วครู่จึงจะเอ่ยพูด “วันรุ่งขึ้นเชิญผู้เฒ่าไป๋ไปดูอาการอีกที”
“แม่ทัพขอรับ พวกเราทำเช่นนี้จะดูไม่เหมาะสมหรือเปล่า อย่างไรคุณหนูเหยาก็คือญาติของจวนติ้งโหว ต่อให้จะเชิญหมอไปตรวจดูอาการก็ควรจะเป็นคนของจวนติ้งโหวเป็นผู้เชิญไปก่อน พวกเรา…”
เว่ยจางโบกมือเป็นการขัดจังหวะถังเซียวอี้ที่กำลังพูดอยู่ จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงเข้มเรียบ “ไปอย่างเงียบๆ ก็พอ หาสตรีติดตามไปด้วย…งั้นก็ให้ภรรยาของเฮ่อซีติดตามไปเถอะ ไปบอกเฮ่อซีว่าให้ภรรยาของเขาไปเชิญผู้เฒ่าไป๋ไปวัดฉือซินในวันพรุ่งนี้เถอะ”
“ขอรับ” ถึงแม้ถังเซียวอี้ไม่เห็นด้วย ทว่าก็รู้ว่าหากนายท่านคนนี้ตัดสินใจทำอะไรไปแล้ว ก็จะไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆ
เรื่องอาการป่วยเหยาเยี่ยนอวี่ที่พลอยทำให้ซูอวี้เหิงลำบากไปด้วย กว่าครึ่งของผู้คนที่เป็นตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวงเหล่านี้ต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมด
จวนอัครเสนาบดีก็เป็นห่วงเป็นใยเรื่องของเหยาเยี่ยนอวี่เป็นอย่างมาก เฟิงเซ่าเชินได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก จึงถามฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง “คุณหนูเหยาผู้นี้ก็มีความรู้ด้านวิชาการแพทย์ หรือว่านางหาวิธีที่ดีไม่พบ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “นางเองก็มีความรู้ด้านวิชาการแพทย์แล้วจะทำอะไรได้ หรือว่าหมอทุกคนในใต้หล้านี้จะไม่ป่วยกัน?”
“ท่านย่า แล้วจะทำเช่นไรดี” เฟิงเซ่าเชินเดินวนไปวนมาในเรือนด้วยความร้อนใจ
“โอ๊ย! เจ้าอย่าเดินไปเดินมาอีกเลย!” ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงโบกมืออย่างทนไม่ไหว “เจ้าเดินวนจนข้าวิงเวียนศีรษะไปหมดแล้ว!”
เฟิงเซ่าเชินหมุนตัวแล้วเดินไปคล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างประจบสอพลอ “ท่านย่า พวกเราส่งหมอหลวงที่เก่งกาจที่สุดไปวัดฉือซินดีหรือไม่ ใช่แล้ว หมอหลวงจาง! เขาคือหมอหลวงที่เก่งที่สุด หากเชิญตัวเขาในนามของท่านย่า เขาคงไม่กล้าปฏิเสธหรอกกระมัง?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงกล่าวว่า “หมอหลวงจางเชี่ยวชาญทางด้านอายุรศาสตร์และนรีเวชศาสตร์ ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญทางด้านโรคผิวหนังอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งข้าก็ได้ยินมาว่า อาการป่วยของคุณหนูเหยาอาจจะเป็นไข้ทรพิษได้ เกรงว่าหมอหลวงจางเองยังไม่มีวิธีที่จะช่วยรักษา”
เฟิงเซ่าเชินรู้สึกเสียใจยิ่งนัก “ท่านย่า คุณหนูเหยา…คุณหนูเหยาเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลพวกเรา! พวกเราคงไม่อาจนิ่งดูดายและเพิกเฉยเช่นนี้?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงยื่นมือไปดึงเฟิงเซ่าเชินมาไว้ข้างกาย แล้วถอนหายใจพลางโน้มน้าว “พอได้แล้ว! ข้าก็บอกเจ้าแล้วไงว่าอย่าใจร้อน ข้าจะสั่งให้คนไปเชิญผู้เฒ่าตระกูลไป๋ไปวัดฉือซิน ดูว่าท่านผู้เฒ่าตระกูลไป๋ว่าอย่างไรก่อนดีหรือไม่”
“เช่นนั้นท่านย่าเชิญเขาไปคืนนี้เลยนะขอรับ”
[1] ยามสาม เป็นเวลาช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง