หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 432 เฟิ่งเกอสร้างสถานการณ์ สองพ่อลูกพูดคุยเรื่องในใจ (4)
ตอนที่ 432 เฟิ่งเกอสร้างสถานการณ์ สองพ่อลูกพูดคุยเรื่องในใจ (4)
“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว คุณหนูวางใจเถอะ” หลี่หมัวมัวขานรับ
เหยาเฟิ่งเกอสั่งการ “สั่งให้คนเตรียมรถม้า หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ข้าจะไปเยี่ยมท่านพ่อ”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปบอกประเดี๋ยวนี้” หลี่หมัวมัวรับคำแล้วค้อมตัวลงเดินออกมา
หลังกินมื้อเที่ยง เหยาเยี่ยนอวี่งีบหลับสักพัก เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็มีสาวใช้ชั้นล่างที่เฝ้าเวรหน้าประตูเข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ ผู้เฒ่าเหยาสั่งให้คนมารับท่านไปลิ้มลองชาชุดใหม่จากเขตตอนใต้เจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ตลบผ้าห่มลุกขึ้น จากนั้นก็มวยผมไปด้วยและออกคำสั่งไปด้วย “ได้ เจ้าไปบอกให้คนที่มาว่าข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”
เซียงหรูและอูเหมยเดินเข้ามามวยผมให้นาง เหยาเยี่ยนอวี่จึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพล่ะ”
อูเหมยตอบกลับ “รองแม่ทัพจ้าวบอกว่ามีม้าพันธุ์ดีสองพันกว่าตัวส่งมาจากทิศตะวันตก ท่านแม่ทัพได้ยินจึงตามรองแม่ทัพจ้าวไปด้วย ก่อนที่ท่านแม่ทัพจะออกเดินทางก็บอกไว้ว่า หากถึงมื้อค่ำแล้วยังไม่กลับมา ฮูหยินไม่ต้องรอรับประทานมื้อค่ำด้วยเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มพลางต่อว่าในใจ ที่แท้ภายในใจของเจ้าหมอนี่ ม้าพันธุ์ยังสำคัญกว่าภรรยากระนั้นหรือ
ทันทีทันใดก็นั่งรถม้าไปจวนเหยา หลังจากลงรถม้าก็เห็นรถม้าของเหยาเฟิ่งเกอจอดอยู่ด้านข้าง ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ก็มาด้วยหรือ”
บ่าวที่เฝ้าประตูจวนเหยารีบค้อมตัวลงตอบกลับ “เรียนคุณหนูรอง คุณหนูใหญ่มาสักพักแล้วขอรับ เชิญด้านในขอรับ”
เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มแล้วจับมือของเซียงหรูเดินเข้าประตู เพิ่งจะเดินเข้าประตูสอง หนิงฮูหยินน้อยก็พาสาวใช้และผัวจื่อมาต้อนรับแล้ว
ทั้งสองอมยิ้มทักทายกัน หนิงฮูหยินน้อยพูดยิ้มๆ “จะพร้อมหน้าพร้อมตากันได้ไม่ง่ายเลย คืนนี้จะค้างที่นี่ไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มๆ “ในจวนมีเรื่องมากมายต้องสะสาง เกรงว่าค้างไปก็คงจะไม่สงบสุข รอให้ผ่านตรุษจีนไม่ดีกว่าหรือ จะได้อยู่ค้างคืนยาวๆ”
หนิงฮูหยินน้อยพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ผ่านตรุษจีนไป เจ้ากับเฟิ่งเกอกลับมาด้วยกัน พวกเราจะได้พูดคุยเล่นกันหลายๆ วัน”
ขณะที่พูดคุยเล่นกัน ทั้งสองก็เข้าไปในเรือนข้างตะวันตก ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นห้องอักษรของใต้เท้าเหยาไปด้วย ด้านในก็ถูกจัดแต่งใหม่ทั้งหมด
เหยาเฟิ่งเกอกำลังชงชาให้บิดา เหยาหย่วนจือพิงอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจ มองบุตรีของตนที่เดินเหมือนน้ำไหลเอื่อยก็พยักหน้าด้วยความรื่นเริง
“ท่านพ่อ น้องรองมาแล้วเจ้าค่ะ” หนิงฮูหยินน้อยดึงเหยาเยี่ยนอวี่เข้าประตู
เหยาหย่วนจือกวักมือให้เหยาเยี่ยนอวี่เพื่อให้นางไปหา เหยาเยี่ยนอวี่พลันเดินหน้าโค้งคำนับให้บิดา
“นั่งเถอะ ลองชิมชาที่พี่เจ้าชงดู” เหยาหย่วนจือชี้ไปที่นั่งด้านข้าง
เหยาเยี่ยนอวี่โค้งคำนับให้เหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นนั่งลงข้างที่นั่งบิดา หนิงฮูหยินน้อยพูดยิ้มๆ “น้องสาวนั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าไปดูของว่างในโรงครัวหน่อย”
“ลำบากพี่สะใภ้แล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูด
หนิงฮูหยินน้อยค้อมตัวให้เหยาหย่วนจือแล้วถอยออกไปด้วยรอยยิ้มจางๆ พาเหล่าสาวใช้ในเรือนออกไปด้วย
พอปิดประตูให้เรียบร้อย ทั้งสามพ่อลูกต่างลิ้มรสชาของตนเอง เหยาหย่วนจือถามเหยาเยี่ยนอวี่ “วันก่อนได้ยินพี่ชายเจ้าบอกว่า มีคนใส่ความเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทหรือ เจ้ารู้หรือยังว่าเป็นใคร”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มจางๆ “เรื่องรอบกายฝ่าบาท สืบหาง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร เสี่ยนจวินก็เคืองกับเรื่องนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าไปสร้างเรื่องบาดหมางใจกับใครมา”
เหยาเฟิ่งเกอรินน้ำชาให้เหยาเยี่ยนอวี่อีกถ้วยแล้วเปรยด้วยเสียงต่ำ “น้องสาว เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง เมื่อวานข้าเพิ่งสังเกตเห็นว่า เป็นเพราะสาวใช้ในจวนติ้งโหวที่ปากพล่อย พวกนางร่ำลือถึงหมอทหารหลิวที่แอบเอาสูตรยาของเจ้าไปเป็นของตนเองไปให้คุณชายสามกินจึงเอาเรื่องนี้มาใส่ความเจ้าว่ายาของเจ้าใช้ไม่ได้ผลจริง ทีแรกข้านึกว่าคนที่แพร่งพรายเรื่องนี้คือสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติลู่ฮูหยิน พอข้าไปสืบความจริงมา ที่แท้คนที่ปล่อยข่าวเช่นนี้ออกมาคือเฟิงซิ่วอวิ๋น”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่ได้รู้สึกตะลึงเลย นางไม่รู้ว่าเหตุใดเฟิงซิ่วอวิ๋นถึงเป็นเช่นนี้ ทว่ากลับรู้สึกว่าสาวใช้และผัวจื่อเพียงไม่กี่คนในจวนติ้งโหว เกรงว่าคงไม่มีความสามารถร้องทุกข์ไปถึงฝ่าบาทหรอก ดังนั้นจึงยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “เหตุใดพี่สาวถึงต้องโทษตัวเองเช่นนี้ เรื่องที่หมอหลิวขโมยสูตรยาของข้าก็ไม่ใช่ความลับอะไร ตอนนั้นเขาทำงานอยู่ในค่ายทหาร สูตรยานี้ ข้าสอนเขาด้วยปากเปล่า ไม่มีเขียนใส่ในกระดาษแม้แต่ตัวอักษรเดียว ตอนนี้ยิ่งไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเขาขโมยผลงานไป ดังนั้นก็ทำอะไรเขาไม่ได้”
เหยาเฟิ่งเกอขมวดคิ้ว “ว่ากันว่าเรื่องนี้ติ้งโหวยังเขียนสาส์นกราบทูลไปโดยเฉพาะ ไม่รู้ว่าฝ่าบาทได้ทรงพระอักษรหรือไม่ กลับไม่คืบหน้าใดๆ เลย”
เหยาหย่วนจือเปรยด้วยเสียงเบา “คุณชายสามซูแค่เพียงสลบไป ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เสียหน่อย ฝ่าบาทจะลงโทษขุนนางที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นจากตัวพระองค์เองได้อย่างไรเล่า”
เหยาเฟิ่งเกอและเหยาเยี่ยนอวี่แลกเปลี่ยนสายตากัน แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
อันที่จริงเหยาหย่วนจือก็กล่าวถูก เหยาเยี่ยนอวี่ก็ครุ่นคิดได้ตั้งนานแล้ว เรื่องที่ตนเองมองว่าสำคัญ ทว่าในสายตาของฮ่องเต้กลับเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย หรืออาจเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ไม่นำกลับไปคิดเท่านั้น
เหยาหย่วนจือมองบุตรีทั้งสองของตนแล้วพูดว่า “เยี่ยนอวี่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าไม่รู้ว่าตนไปผิดใจกับบุตรีตระกูลเฟิงอย่างไร ตามหลักแล้ว เจ้าเป็นคนช่วยชีวิตพี่สาวของนางไว้ ตระกูลเฟิงควรซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้า นางเองก็ไม่มีข้อยกเว้น เหตุใดถึงต้องกุเรื่องใส่ความเจ้าลับหลังเช่นนี้ ต่อให้คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ถึงหูฮ่องเต้ แต่เจ้าไม่กลัว ‘สามคนกลายเป็นเสือ’ หรือ ทำเช่นนี้มันมีประโยชน์อะไรกับนางหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่มองเหยาเฟิ่งเกออีกครั้ง นางไม่ค่อยช่ำชองในเรื่องเหล่านี้จริงๆ ดังนั้นอยากฟังความเห็นของเหยาเฟิ่งเกอสักหน่อย
เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจพูดว่า “คิดว่าคนที่นางอยากจัดการก็คือข้า อย่างไรพวกเราก็อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ในจวนติ้งโหวไม่เคยอยู่อย่างสงบสุขจริงๆ อยู่แล้ว มีเวลาไหนบ้างที่พวกนางไม่คิดวางแผนทำร้ายคนอื่น”
“ไม่ นางไม่ต้องการจัดการเจ้าหรอก” เหยาหย่วนจือผายมือ ถึงแม้เขาไม่มีอารมณ์ไปพูดคุยเกี่ยวกับการแย่งชิงของบุตรีภายในเรือนในของจวนติ้งโหว ทว่าเรื่องนี้กลับดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไปเกี่ยวข้องด้วย นั่นก็ความหมายว่ามันเกี่ยวข้องกับอำนาจในราชสำนักของตระกูลเหยาด้วย เขาในฐานะหัวหน้าครอบครัวเหยาจึงไม่พูดไม่ได้
เหยาเฟิ่งเกอตะลึงงัน แล้วหันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงปราดเดียว นางหันไปมองเหยาหย่วนจืออีกครั้ง พร้อมถามอย่างฉงนสงสัย “ท่านพ่อมีความเห็นอย่างไร”
เหยาหย่วนจือแสยะยิ้มเย็นชาเล็กน้อย “หลังจากเจ้ากลับไป ก็สืบความสัมพันธ์ของตระกูลลู่และตระกูลเฟิงหน่อยเถอะ ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเกี่ยวข้องกับตระกูลลู่”
“หรือว่า พวกเขาโยนความผิดเรื่องที่ฮูหยินป่วยหนักไปให้เยี่ยนอวี่” เหยาเฟิ่งเกอเพิ่งจะนึกขึ้นได้จึงพูดด้วยคิ้วขมวด “เช่นนั้นพวกเขาก็โง่เง่าดักดานเกินไปแล้ว!”
“เมื่อเกี่ยวข้องกับชีวิตของญาติสนิท คนเราก็มักจะตัดสินชี้ขาดอย่างโง่เขลาอยู่แล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่กลับรู้สึกปล่อยวาง
เหยาหย่วนจือมองสีหน้าโมโหของบุตรีคนโต แล้วมองใบหน้าที่นิ่งเฉยของบุตรีคนรอง จึงอดหัวเราะเสียงเบาไม่ได้ แล้วเปรยว่า “เฟิ่งเกอ! เจ้าต้องเรียนรู้เยี่ยนอวี่ให้มาก”
เหยาเฟิ่งเกอพลันยิ้ม “ท่านพ่อทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ ความสามารถของเยี่ยนอวี่ เกรงว่าภพหน้าข้าก็คงจะเรียนรู้ไม่ได้”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูด “พี่สาวอย่าพูดเช่นนี้สิ”
เหยาหย่วนจือส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม พูดว่า “ฝีมือการแพทย์ของเยี่ยนอวี่ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา เกรงว่าคนอื่นคงเรียนรู้ไม่ได้จริงๆ ความหมายของข้าคือให้เจ้าเรียนรู้ที่จะใจเย็นเหมือนเยี่ยนอวี่ ไม่ว่าพบเจอเรื่องอะไรก็อย่าร้อนรน ใจร้อนได้แต่ต้องมีขีดจำกัด ต้องตัดสินถูกผิดให้ได้ ต้องรู้ว่าชีวิตราวกับหมากล้อม แค่เดินพลาดเพียงก้าวเดียว ก็จะพลั้งพลาดต่อไป นอกจากพาตนออกห่างจากความผิดพลาด ถึงจะมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน”