หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 464 ตระกูลเหยาตอกหน้า (1)
ตอนที่ 464 ตระกูลเหยาตอกหน้า (1)
“ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าชีวิตหรือ”
“…” เว่ยจางลอบถอนหายใจ ก็ได้ ชีวิตสำคัญที่สุดก็ได้
เรื่องนี้เป็นไปตามที่จางฉางเป่ยคาดการณ์ไว้ วันที่สองตอนว่าราชสำนักก็มีขุนนางร้องเรียนว่าหมอหญิงเหยาในราชสำนักละเลยหน้าที่ เป็นเหตุทำให้ราชครูเซียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยู่ดีๆ ก็หกล้ม และเหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นหมอหลวงระดับสามในสำนักแพทย์กลับไปทำงานสาย ทำให้ราชครูเซียวเกิดเรื่อง กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือ ทำได้เพียงปล่อยให้ผู้เฒ่าอายุแปดสิบปีต้องนอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบในฤดูที่เหน็บหนาวเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ที่ฮ่องเต้บัญชาให้ไปรักษาราชครูเซียวมีความผิดที่บกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งความผิดนี้มิอาจอภัยได้
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปยังขุนนางที่กำลังร้องเรียนในราชสำนักเพียงชั่วพริบตา…หยางกวงรุ่น ขุนนางระดับห้าคนหนึ่งในหออาลักษณ์หลวง
แต่ดูจากขุนนางระดับห้าคนนี้ที่มากราบทูลเรื่องนี้นั้นไม่ผิดปกติอะไร เป็นเพียงการกราบทูลทั่วไปเท่านั้น คนของหออาลักษณ์หลวงไม่ใช่ว่าทำเรื่องเช่นนี้อยู่แล้วหรือ หากเกิดเรื่องเช่นนี้แล้ว ไม่มีใครออกมากราบทูล นั่นแหละถึงจะเป็นเรื่องผิดปกติ
เพียงแต่ว่า ขุนนางผู้นี้เพิ่งออกไป ก็มีคนเดินหน้ามากราบทูลอีก ครั้งนี้กลับไม่ได้กล่าวถึงเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าเป็นแม่ทัพฝู่กั๋วเว่ยจาง
“แม่ทัพฝู่กั๋วมีฐานะเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก มีอำนาจทหารในมือ ได้รับการให้ความสำคัญจากฝ่าบาท แต่เขากลับไม่เห็นความสำคัญ มัวแต่สนใจเรื่องความรักของสามีภรรยา ทำให้หมอหลวงเหยาเข้าทำงานล่าช้า นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังหยิ่งที่ตนเองได้รับการโปรดปราน วันนี้หมอหลวงเหยาบกพร่องในหน้าที่เพราะสามี วันพรุ่งนี้แม่ทัพเว่ยบกพร่องในงานทหารเพราะภรรยา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานภาพของกองกำลังทหารและความสงบสุขของบ้านเมือง ไม่ควรมองข้ามได้ ได้โปรดฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยอย่างถี่ถ้วนพ่ะย่ะค่ะ!”
นี่ก็เป็นขุนนางระดับหกของหออาลักษณ์หลวงเช่นเดียวกัน
ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดนี้กลับรู้สึกตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าคนเหล่านี้กลับโยงทุกอย่างให้เกี่ยวข้องกันเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้จึงถาม “ตามคำพูดของเจ้าแล้ว หมายความว่านารีเป็นเหตุน่ะสิ”
คำพูดนี้ออกจากปาก ทันใดนั้นในราชสำนักเต็มไปด้วยเสียงทอดถอนหายใจ ส่วนบางคนที่อดกลั้นหัวเราะเสียงต่ำไม่อยู่
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางระดับหกหน้ามุ่ยไปทันที จากนั้นยืดตัวตรง ราวกับว่าใต้หล้านี้มีเพียงเขาที่ไม่ยกยอประจบสอพลอใคร “กระหม่อมรู้สึกว่า เกิดแม่ทัพฝู่กั๋วสนใจแต่เพียงความรักที่มีต่อภรรยานั้นไม่ถูกต้อง เรื่องของราชครูเชียว แม่ทัพเว่ยก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ได้โปรดให้กระหม่อมทูลสาเหตุของเรื่องนี้เถอะพ่ะย่ะค่ะ” เซียวหลินอัดอั้นไม่อยู่อีกต่อไป เดิมทีเขาก็คิดไว้ว่าจะปล่อยให้เหล่าขุนนางพูดให้หมดก่อนแล้วตนถึงค่อยพูดทีหลัง ทว่าตอนนี้เขารู้สึกว่าขืนยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อ เกรงว่าเหล่าขุนนางต่ำทรามเหล่านั้นจะดึงเรื่องอะไรมาเกี่ยวข้องอีก ทันใดนั้นยังไม่รอให้ฮ่องเต้ทูลอะไร ก็ก้าวออกมาแถวแล้ว
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังเซียวหลิน พร้อมถามด้วยเสียงเรียบ “เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ”
“ทูลฝ่าบาท เมื่อวานกระหม่อมได้ข่าวว่าท่านปู่เกิดเรื่อง ก็รีบไปที่สำนักแพทย์ทันที พอกระหม่อมไปถึง แขนของท่านปู่ก็ได้รับการรักษาจากหมอหลวงเหยาเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างดูจากสีหน้าของท่านปู่ แม้จะซีดเซียวเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนัก เมื่อวานแม้ท่านปู่จะล้มจนแขนหัก ทว่ากลับมีสติสัมปชัญญะ ท่านปู่บอกว่าเรื่องนี้เขาเองที่ไม่ฟังคำเตือนของหมอหญิงหลินซูมั่ว ดึงดันที่จะเดินเล่นในสวนอีกสองรอบ ร่างกายถึงได้อ่อนแรงจนล้มลงในที่สุด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมอหลวงเหยาแม้แต่น้อย ฉะนั้นได้โปรดฝ่าบาทอย่าเชื่อในคำพูดของคนอื่นพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท!” เซียวหลินเพิ่งจะกล่าวจบ ด้านข้างก็มีคนโผล่ออกมาทันที พร้อมพูดด้วยเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมขอประณามจิ้งไห่โหวที่อกตัญญูไม่รู้คุณพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดที่ทรงพลังเช่นนี้ ทำให้สายตาของคนในราชสำนักทั้งหมดมองไป
“หนางกวงรุ่น! พูดจาเหลวไหลไปกันใหญ่!” เซียวหลินตวาดด้วยความโมโห
“ท่านเซียวโหว แขนของปู่ท่านหักแล้วท่านยังจะพูดจาเข้าข้างผู้อื่นอีก นี่ไม่เรียกว่าอกตัญญูไม่รู้คุณ แล้วเรียกว่าอะไร”
“หมอหลวงเหยาเป็นหมอประจำตัวของปู่ข้านั้นไม่ผิด ทว่าปู่ของข้าแขนหักนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ ข้าไม่ได้ว่าร้ายหมอหลวงเหยาก็หมายความว่าข้าอกตัญญูหรือเปล่า หยางกวงรุ่นพูดเช่นนี้ มันจะแตกต่างอะไรจากพวกที่ปากตลาดเล่า!” เซียวหลินถามด้วยเสียงโมโห
“ฝ่าบาททรงมอบราชครูเซียวให้หมอหลวงเหยาดูแล ราชครูเซียวเกิดอะไรขึ้น หมอหลวงเหยาล้วนต้องรับผิดชอบทั้งหมด! เจ้าไม่สนใจอาการของท่านปู่เจ้า แล้วยังปกป้องหมอหลวงเหยาเช่นนี้ หรือเจ้ามีอะไรปิดบังไว้!” หยางกวงรุ่นพูดไป สีหน้าก็เคล้าด้วยรอยยิ้มอันน่าแปลก
รอยยิ้มนั้นดูเย้ยหยันเกินไปแล้ว ใครที่เป็นบุรุษก็มองออกว่ารอยยิ้มนั้นหมายความว่าอะไร
เซียวหลินรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก และกำลังจะพูดอะไรออกมา เว่ยจางกลับเดินหน้ามาถามหยางกวงรุ่นก่อน “ใต้เท้าหยาง คำว่ามีอะไรปิดบังไว้หมายความอะไร ข้าเว่ยจางเป็นคนชั้นต่ำ ไม่ได้สูงส่งเหมือนปัญญาชนอย่างพวกท่านที่ชอบสำนัดสำนวน ช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยได้หรือไม่”
น้ำเสียงของเว่ยจางนิ่งเฉยมาก ทว่าก็เพราะว่าความนิ่งเฉยนี้ถึงทำให้รู้สึกหวาดกลัว
หยางกวงรุ่นถูกสายตาอันเฉียบคมดั่งคมดาบมองจนต้องค้อมตัวลงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพร่ำบ่นเสียงเบาสองสามคำ ทว่ากลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ในราชสำนักกว้างใหญ่ ทันใดนั้นกลายเป็นบรรยากาศที่เงียบกริบ
“เอาเถอะ!” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ทำลายบรรยากาศเงียบงันในราชสำนัก แล้วพูดด้วยเสียงเรียบ “เรื่องราชครูเซียว องค์ชายหกและองค์ชายเจ็ดอยู่ในเหตุการณ์ อวิ๋นยิง? เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
อวิ๋นยิงอายุไม่มากพอที่จะขึ้นราชสำนัก วันนี้ปรากฏตัวในราชสำนักได้ก็เพราะเรื่องของราชครูเซียว เมื่อวานเขาก็ได้กราบทูลฮ่องเต้ตามความเป็นจริง อีกอย่าง ต่อให้เขาไม่พูด ทหารรักษาการณ์ที่ฮ่องเต้บัญชาไปก็ไม่ใช่คนตาบอด ล้วนกล่าวได้ว่า ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักแพทย์ ไม่มีเรื่องใดหลุดพ้นจากสายพระเนตรของฮ่องเต้ได้
ฮ่องเต้ก็เคยคิดว่าวันนี้เหล่าขุนนางต้องยกเรื่องนี้มาว่าร้ายเหยาเยี่ยนอวี่แน่นอน อย่างไรตอนแรกที่จัดตั้งสำนักแพทย์ให้เหยาเยี่ยนอวี่ ก็มีคนมากมายที่ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ฮ่องเต้ให้เฉิงเอ๋อร์จัดการเรื่องนี้ คนพวกนี้ก็ไม่กล้ามากความอะไร
หลังจากนั้น เหยาเยี่ยนอวี่สร้างผลงานโดดเด่นมาโดยตลอด สองพ่อลูกตระกูลเหยาก็เลื่อนตำแหน่งก้าวหน้าก้าวไกลจนขวางหนทางแห่งความร่ำรวยของคนบางคน วันนี้ไหนๆ ก็มีเรื่องนี้เกิดขึ้น คนพวกนี้ย่อมกัดไม่ปล่อยแน่นอน จึงถือโอกาสนี้จู่โจมตระกูลเหยา ต่อให้เอาผิดตระกูลเหยาไม่ได้ ปูทางไว้ก่อนก็ย่อมดีกว่า
เพียงแต่ว่าฮ่องเต้กลับนึกไม่ถึง ขุนนางในราชสำนักผู้สูงส่ง กลับพูดจาเหลวไหลจนทำให้ตระกูลเสียหน้าเช่นนี้!
อวิ๋นยิงบอกความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวานออกมาหนึ่งรอบ “กระหม่อมคิดว่าราชครูเซียวได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ เป็นเพราะอุบัติเหตุจริงๆ หมอหลวงเหยาก็โทษตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว อีกอย่างไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไร นางก็จะไม่พูดจาแค้นเคืองใดๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ ก็แย้มพระสรวลน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ พร้อมถามเหล่าขุนนาง “ทุกคนคิดว่าอย่างไร”
ขุนนางก็นิ่งงันไป ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ทราบพระทัยของฮ่องเต้ ปิดปากเงียบจะดีกว่า
ทว่าฮ่องเต้ถามเช่นนี้ ก็ไม่ทูลกลับไม่ได้ ฉะนั้นอัครเสนาบดีเฟิงที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นก็ก้าวออกมา พร้อมถวายบังคม “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมฉันคิดว่าเดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องภายในตระกูลราชครูเซียวอยู่แล้ว ควรที่จะทำตามสิ่งที่ราชครูเซียวต้องการ เรื่องนี้ มีบางคนต้องการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
นี่ก็หมายความว่าต้องการไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้ง
ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องเล็กเท่าเมล็ดงาเท่านั้น คนพวกนี้ถือโอกาสว่าร้ายตระกูลเหยาและแม่ทัพฝู่กั๋ว วันนี้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงเข้าข้างตระกูลเหยา ดังนั้น อัครเสนาบดีเฟิงพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้ผู้ที่ประสงค์ร้ายล้มเลิกความคิดที่จะจู่โจมทั้งสองตระกูลต่อ