หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 466 ตระกูลเหยาตอกหน้า (3)
จางฉางเป่ยติดตามฮ่องเต้มาสามสิบกว่าปี แน่นอนว่าต้องมีคนคอยเป็นหูเป็นตาให้เขาอยู่แล้ว ผ่านไปไม่นาน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในราชสำนักก็มาถึงในสำนักแพทย์แล้ว หลังจากได้ยินผลสรุป จางฉางเป่ยทำเสียงฮึดฮัด แล้วพูดว่า “ขุนนางแซ่หยางกระทำความผิดเช่นนี้ก็สมควรแล้ว ลงโทษแบบนี้ยังเบาไปด้วยซ้ำ!”
เหยาเยี่ยนอวี่แค่ยิ้มจางๆ นางรู้ดีว่าขุนนางแซ่หยางนั้นเป็นเพียงไม้กันสุนัขเท่านั้น วันนี้เขาวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นกลางราชสำนักเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีเบื้องหลังคอยสนับสนุนอยู่แล้ว จากนั้นที่บิดาก็วิจารณ์เขากลับ ทำให้หยางกวงรุ่นตกต่ำถึงที่สุดทันที ทว่าก็เพียงแค่ต้องการตักเตือนฝ่ายตรงข้าม นี่เพิ่งจะเริ่มขึ้นใช่ไหม วันข้างหน้ายังมีเรื่องสนุกให้ชมอีก
กลับพูดถึงหลินซูมั่วที่ยังนึกว่าตนเองจะไม่รอดชีวิตในครั้งนี้ นึกไม่ถึงว่าโดนปรับเบี้ยเลี้ยงครึ่งค่อนปีเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ แน่นอนว่านางต้องเข้าใจดีว่าเรื่องนี้ต้องขอบคุณหมอหลวงเหยาที่ออกตัวรับผิดชอบแทนอยู่แล้ว หากหมอหลวงเหยาเป็นเหมือนใต้เท้าคนอื่น ที่มักจะปัดความรับผิดชอบให้บริวาร ครั้งนี้ต่อให้ตนเองมีเก้าชีวิต เกรงว่าคงไม่อาจมีรอดชีวิตได้
หลินซู่มั่วเป็นบุตรีอนุภรรยาของรองอธิบดีกระทรวงก่อสร้าง ตอนแรกส่งเข้าสำนักแพทย์เพียงต้องการหาทางออกให้บุตรีอนุภรรยาคนนี้เท่านั้น ขณะเดียวกันก็เพื่ออนาคตที่ตนจะมีโอกาสเข้าราชสำนัก หากนางทำผิดเพราะเรื่องนี้ เกรงว่าไม่เพียงแต่นางที่จะมีปัญหา อนาคตยังอาจจะทำให้ครอบครัวพลอยลำบากไปด้วย
ฉะนั้น หลินซูมั่วพลันน้อมก้มกราบเหยาเยี่ยนอวี่จากใจจริง พร้อมพูดอย่างต่อเนื่อง “ขอบคุณในพระคุณของใต้เท้า หลังจากนี้ไปชีวิตของบ่าวเป็นของท่านใต้เท้า ไม่ว่าจะฝ่าภูผามีดทะเลเพลิง ขอเพียงใต้เท้าสั่งคำเดียว บ่าวจะไม่แย้งแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดยิ้มๆ “ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก เจ้าก็ถูกหักเบี้ยเลี้ยงไปแล้ว เพียงแต่ว่าอย่าเสียใจเกินไปก็พอแล้ว”
เรื่องนี้สำหรับเหยาเยี่ยนอวี่ถือว่าผ่านไปแล้ว และบิดาตนเสนอความเห็นว่าจะให้หักเบี้ยเลี้ยงนั้นเป็นการลงโทษที่นางยอมรับได้มากที่สุด เบี้ยเลี้ยงแค่ครึ่งค่อนปีเท่านั้น นางไม่ได้สนใจของพวกนั้นอยู่แล้ว ทว่าหากทำเช่นนี้ กลับทำให้นางรู้สึกผิดต่อบาดแผลของผู้เฒ่าเซียวน้อยลงก็เท่านั้น
เพียงแต่ว่านางคิดเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าแม่ทัพเว่ยจะคิดเหมือนกัน
ตอนนั้นหยางกวงรุ่นถูกจับไปขังเพื่อไต่สวนเพราะฮ่องเต้ทรงเกรี้ยวโกรธอย่างยิ่ง ขุนนางฝ่ายอาญาไปสืบสวนคดีตามพระราชโองการ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรน่าสอบสวน ฮ่องเต้ทรงโกรธเช่นนั้น หยางกวงรุ่นต้องถูกปลดตำแหน่งอยู่แล้ว
ทว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขากลับมีแผนการในใจ กลัวว่าเขาจะสาวไปถึงพวกเขา จึงใช้เงินประกันเขาออกมา แล้วปล่อยเขาไปที่อยู่ที่แดนไกล
ทว่าเว่ยจางกลับดำเนินคดีนี้ก่อนกรมอาญา ตอนที่กรมอาญาไปสืบสวน ก็ได้ขุดเรื่องเลวทรามที่หยางกวงรุ่นได้ทำเอาไว้หมดแล้ว
มีทั้งเรื่องเที่ยวโสเภณีแล้วไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทน เรื่องกล่าวหาว่าร้ายผู้อื่น เรื่องรับสินบนเพื่ออวดชื่อเสียงตนเอง แต่อย่างไรเขาที่เป็นขุนนางระดับห้าที่ไร้ความรู้ความสามารถ ต้องไม่มีอำนาจอะไรอยู่แล้ว ทำได้เพียงใช้วิธีสกปรกรับเศษเงินเหล่านั้น ถึงได้ทำเรื่องสกปรกไว้มากมาย
หลังจากทุกเรื่องถูกเปิดโปง กลับกลายเป็นที่พูดคุยเล่นหลังกินมื้อค่ำของเหล่าชาวบ้านในเมืองหลวงอวิ๋น แม้กระทั่งยังนำเรื่องของใต้เท้าหยางไปแต่งเป็นบทร้องตามละครเวทีในโรงน้ำชา
แน่นอน หยางกวงรุ่นไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้คนเดียว ขณะเดียวกันก็ได้ขุดความจริงที่ขุนนางระดับหกที่ร้องเรียนผู้อื่นพร้อมเขาในวันนั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อีกอย่างเวลาผ่านไปสองสามวัน ก็มีคนขุดคุ้ยว่าหยางกวงรุ่นกับสนิทสนมกับราชบุตรเขยเหลียงจวิ้น ซึ่งเป็นสามีขององค์หญิงคังผิงด้วย ทั้งสองมักจะเที่ยวโสเภณีด้วยกันเป็นประจำ ภายหลังเหลียงจวิ้นเป็นคนจ่ายค่าสุราให้เขาด้วย
เรื่องนี้พอแพร่งพรายออกมา ราชบุตรเขยเหลียงกลับโชคร้ายยิ่งนัก
องค์หญิงต้าอวิ๋นเป็นถึงยอดสตรีสูงศักดิ์ ราชบุตรเขยแม้แต่อนุภรรยาก็มีไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเที่ยวโสเภณี
องค์หญิงคังผิงเป็นบุตรีคนโตของฮ่องเต้ ในฐานะที่เป็นบุตรีคนแรกของฮ่องเต้ ต้องเป็นหัวแก้วหัวแหวนอยู่แล้ว มารดาของนาง จิ้งเฟยเหนียงเหนียงเป็นเช่อเฟยที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับฮองเฮา ทว่าก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน ตอนนี้ถือว่ามีความสำคัญในวังในอย่างยิ่ง
ราชบุตรเขยไปเที่ยวโสเภณีเช่นนี้ ทางฝั่งองค์หญิงคังผิงและจิ้งเฟยเหนียงเหนียงจะทนไหวได้อย่างไร
องค์หญิงคังผิงทะเลาะโวยวายกับเหลียงจวิ้นก่อน ทำให้จวนเหลียงเกิดสถานการณ์วุ่นวาย หลังจากนั้นก็ไปร้องทุกข์กับจิ้งเฟยเหนียงเหนียงและฮองเฮาในวังหลวง บอกว่าจะไม่กลับจวนองค์หญิงอีก จะอยู่ค้างแรมกับจิ้งเฟยเหนียงเหนียง ต่อให้มารดาของเหลียงจวิ้นมาเข้าวังเชิญนางกลับไปก็ยังไม่แยแส
ในที่สุด เรื่องนี้ก็ไปถึงหูฮ่องเต้ ฮ่องเต้รับสั่งให้เหลียงจวิ้นและบิดาของเขาไท่ฉื่อลิ่งเหลียงซือเชียนเข้าวังพร้อมกัน หลังจากติเตียนไป ก็ปลดตำแหน่งราชบัณฑิตสำนักฮั่นหลินของเหลียงจวิ้นออก ทั้งยังให้เขากักตัวอยู่สำนึกผิดในจวน
ภายนอกดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเหยาเยี่ยนอวี่ เหลียงจวิ้นเหมือนจะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่รู้ตัว ทว่าคิดๆ ดูแล้ว บิดาของเหลียงจวิ้นเป็นหลานชายในต้นตระกูลของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงแห่งอัครเสนาบดีเฟิง และคนอย่างเหลียงเชียนยังเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของอัครเสนาบดีเฟิงเสมอมา คงเดาไม่ยากว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด
เรื่องนี้ตอนไปถึงหูเหยาเยี่ยนอวี่ ซูอวี้เหิงก็อยู่ข้างๆ ด้วย เหยาเยี่ยนอวี่เปรยว่า “ราชบุตรเขยคนนี้พลอยลำบากไปด้วย บิดาของเขาคือพี่ชายมารดาเจ้า ว่าไปก็พวกเจ้าก็พลอยเสียหน้าไปด้วยเลย”
ซูอวี้เหิงยกยิ้มจางๆ “ท่านลุงคนนี้ของข้าหยิ่งผยองยิ่งนัก ไม่เคยเห็นท่านแม่ในสายตา ในสายตาของเขามีเพียงตระกูลเฟิง จึงได้ประแจงประแจงตลอดมา พวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก อย่างไรพวกเขาก็ยังมีฮองเฮาเหนียงเหนียงคอยหนุนหลังอยู่แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้ม ไม่ได้มากความอะไรอีก
หลังจากซูอวี้เหิงจากไป เหยาเยี่ยนอวี่เข้าเรือนก็ถามแม่ทัพเว่ยที่กำลังพักฟื้นร่างกาย “เรื่องพวกนี้เจ้าอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่”
เว่ยจางยื่นมือโอบภรรยาไว้ แล้วยิ้มด้วยเสียงต่ำ “มีอะไรน่าอธิบายด้วยเล่า นี่เรียกว่ากรรมตามสนอง”
“หรือว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง?” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ ปลายนิ้วสัมผัสคิ้วของเขาเบาๆ
คิ้วคมเข้มดั่งดาบของเขาขมวดเป็นปมทันที หว่างคิ้วซ่อนเร้นด้วยความอาฆาต และในตอนนี้ คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออก ทันใดนั้นดวงตาดำสนิทคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“หรือว่าจะปล่อยให้พวกเขาใส่ร้ายป้ายสีเจ้าอยู่ฝ่ายเดียว แล้วไม่ยอมให้ข้าจู่โจมกลับบ้าง?” เขายิ้มจางๆ ถือโอกาสตอนที่นางเข้ามาสัมผัสคิ้ว ค่อยๆ โน้มหน้าไปใกล้นาง ปลายจมูกสัมผัสกัน ต่างฝ่ายสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ดวงใจประสานกันเป็นหนึ่งเดียว
เรื่องต่ำทรามพวกนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเป็นที่นินทาชาวบ้านมากขึ้น จนกว่าจวนติ้งโหวแพร่งพรายเรื่องงานศพออกมา ถึงจะทำให้กลบความน่าอับอายของเรื่องพวกนี้ไป
เป็นเช่นนั้น หลังจากวันที่เจ็ดที่ราชครูเซียวล้มจนแขนหัก ฮูหยินติ้งโหวป่วยหนักใกล้สามเดือนจนรักษาไม่หายเสียที สุดท้ายนางก็สิ้นใจไป
ลู่ฮูหยินจากไปเช่นนี้ บอกได้ว่าทำให้ทั้งเมืองหลวงอวิ๋นถึงกับตกตะลึงอย่างมาก
จวนติ้งโหวเป็นตระกูลใหญ่ที่มีมานาน จึงเป็นตระกูลที่มีเครือญาติมากมายในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นญาติเชื้อสายโดยตรงหรือญาติที่เกี่ยวดองกันทางสมรส ก็มีญาติหลายร้อยคนมาร่วมแสดงความเสียใจ
ตระกูลลู่ ตระกูลเฟิง ตระกูลซุน ตระกูลเหยา และตระกูลหวังในเจียงหนาน ญาติที่เกี่ยวดองทางสมรสพวกนี้ล้วนขาดไม่ได้อยู่แล้ว
และเหยาเยี่ยนอวี่ที่มีความสัมพันธ์กับเหยาเฟิ่งเกอ รวมไปถึงซูอวี้เหิง ทั้งเว่ยจางก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซูอวี้ผิง ไม่ว่าอย่างไรก็คงเลี่ยงงานศพนี้ไม่ได้อยู่แล้ว