หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 469 หวังเฟยตาบอด ติ้งโหวสิ้นใจ (3)
ตอนที่ 469 หวังเฟยตาบอด ติ้งโหวสิ้นใจ (3)
อวิ๋นคุนพาเหยาเยี่ยนอวี่เดินไปโถงข้างอย่างเร่งรีบ พอเดินเข้าประตูก็ถามด้วยความร้อนใจ “เป็นเช่นไรบ้าง รักษาได้ไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ พลางพูด “ดูจากอาการของชีพจร เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ทว่าสำหรับรายละเอียดเป็นเช่นไร ตอนนี้ยังพูดยาก ท่านต้องบอกข้าว่าก่อนที่หวังเฟยจะป่วยเป็นเช่นนี้ มีอาการอย่างอื่นห หรือได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ อีกอย่าง ข้าดูยาที่หมอหลวงจ่ายให้ในก่อนหน้านี้ได้หรือไม่”
อวิ๋นคุนไม่มากความอะไร จึงรีบสั่งให้คนไปเอายาที่หมอหลวงเหยาจ่ายทันที จากนั้นก็พูดว่า “วันที่สิบสองเดือนสิบเอ็ดมีหิมะตกกระหน่ำ เสด็จแม่เดินไม่ระวังเลยหกล้ม ตอนนั้นศีรษะได้รับบาดเจ็บ ทว่าเพียงแค่เขียวช้ำเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นทายาหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก หรือว่าจะเป็นเพราะครั้งนั้น”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างขมขื่นเล็กน้อย “เรื่องนี้ก็พูดยาก”
ทันใดนั้นสาวใช้ก็เอายาชุดหนึ่งมาให้อวิ๋นคุน อวิ๋นคุนยื่นให้เหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่พลิกดูยาเหล่านั้น เห็นเพียงยาสลายเลือดคั่งและยาที่มีฤทธิ์ดับร้อนถอนพิษเท่านั้น กลับรักษาถูกอาการของหวังเฟย หากให้นางจ่ายยา ก็จะจ่ายแค่ยาพวกนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายาพวกนี้กินไปสองเดือนกว่ากลับไม่ค่อยเห็นประโยชน์ เห็นได้ว่าตนเองก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายยาเช่นนี้อีก
“เป็นอย่างไรไรบ้าง” อวิ๋นคุนเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ทำสีหน้าเคร่งขรึม ภายในใจก็รู้สึกกระวนกระวายยิ่งนัก
เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยความฉงนสงสัย “ดูจากอาการชีพจรแล้ว ยาพวกนั้นไม่ผิดปกติอะไร แค่ว่าตอนนี้กลับไม่เห็นผลใดๆ…ข้าคิดว่า อาการของหวังเฟยยังมีสาเหตุอื่น”
“เช่นนั้นยังมีวิธีที่ดีกว่านี้ไหม” ภายในใจของอวิ๋นคุนกำลังคิดถึงการรมยาแบบไท่อี่ของเหยาเยี่ยนอวี่
เขาได้ยินว่ามาการรมยาแบบไท่อี่นั้นอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่มีโรคใดที่รักษาให้หายไม่ได้ ฉะนั้นถึงอยากจะเชิญเหยาเยี่ยนอวี่มารักษามารดา ทว่ากลับจนปัญญาที่มารดาไม่อยากให้หมอหญิงเซียนผู้นี้มารักษา ถึงได้ปล่อยให้อาการล่วงเลยมาถึงตอนที่นางแทบจะมองไม่เห็นแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ในสิ่งที่อวิ๋นคุนคาดหวัง ดังนั้นยิ้มจางๆ “ข้าจะใช้วิธีฝังเข็มดู ทว่าอาจจะไม่เห็นผลก็ได้”
“ได้” ตอนนี้อวิ๋นคุนฝากความหวังทั้งหมดไว้ให้เหยาเยี่ยนอวี่แล้ว ต่อให้มารดาของเขาเคยคิดแผนการชั่วร้ายอะไร ทว่าก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดตน ใต้หล้านี้ไม่มีบุตรที่ไหนที่นิ่งดูมารดาของตนตาบอดไปซึ่งๆ หน้าโดยไม่สนใจไยดีหรอก
เหยาเยี่ยนอวี่ฝังเข็มให้เฉิงหวังเฟย ต้องไม่ใช้กำลังทั้งหมดที่มีอย่างโง่เขลาอยู่แล้ว มิเช่นนั้นก็จะรักษาให้หายเพียงครั้งเดียว จากนั้นตนก็จะเหนื่อยจนเป็นลมเป็นแล้งอีก
ต่อให้การรมยาแบบไท่อี่ทำให้เฉิงหวังเฟยมองเห็นอีกครั้ง นางก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป
ตำแหน่งจิงหมิงอยู่ตรงส่วนของใบหน้า เป็นตำแหน่งตรงรอยบุ๋มเหนือมุมหัวตา อยู่ด้านในของขอบเบ้าตา จิง หมายถึงเส้นลมปรานที่เกี่ยวกับดวงตา ส่วนหมิงคือจุดกวงหมิงนั่นเอง ชื่อของจิงหมิง นั่นก็คือดวงตารับชี่และเลือดจากเส้นลมปราณกระเพาะปัสสาวะแล้วกลายเป็นจุดกวงหมิง
เหยาเยี่ยนอวี่ใช้เข็มเงินทิ่มลงจุดจิงหมิง และใช้กำลังภายในตัวเองส่งผ่านเข็มไปยังสมองของเฉิงหวังเฟย
จากนั้น นางก็รู้สึกถึงลมหายใจขัดคล่องและอุดตันอย่างชัดเจน กล่าวได้ว่าแทบจะไหลเวียนไม่ได้ นางจึงเพิ่มกำลังภายในขึ้นอีกหน่อย เฉิงหวังเฟยร้องครางอย่างทุกข์ทรมาน
หลังจากดึงเข็มกลับ เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าเล็กน้อย ยังคงพูดอะไรต่อหน้าเฉิงหวังเฟยไม่ได้ ภายในใจรู้สึกอึดอัดมาก
จนไปถึงโถงข้าง อวิ๋นคุนก็ถามด้วยความกังวลจ “เหยาฮูหยิน เป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจจนปัญญา พร้อมพูด “สมองของหวังเฟยเหมือนมีเลือดคั่ง เลือดกดทับเส้นประสาทตาไว้ ทำให้มองไม่เห็น”
อวิ๋นคุนลอบถอนหายใจพลางถาม “หาสาเหตุเจอแล้ว รักษาได้หรือยัง”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “ใช้ยาต้มรักษาได้ ทั้งยังใช้การฝังเข็มช่วยเหลือไปด้วย เลือดคั่งในสมองเช่นนี้ ก็คงต้องรอให้เลือดกระจายตัว หวังเฟยก็จะกลับมามองเห็นอีกครั้ง”
“เช่นนั้นก็ลำบากฮูหยินแล้ว” อวิ๋นคุนพูดไป ก็คารวะเหยาเยี่ยนอวี่ไปด้วย
เหยาเยี่ยนอวี่พลันยกมือพูดอย่างเกรงใจ “อันที่จริงอาการเช่นนี้ของหวังเฟยก็ไม่ใช่ว่าต้องเป็นข้าที่รักษาได้เพียงผู้เดียว ในสำนักหมอหลวงก็มียอดฝีมือในการฝังเข็มมากมาย หรือพวกเขาอาจแค่นึกไม่ถึงเท่านั้น หวังเฟยอคติข้าจากใจ ดังนั้นข้าแนะนำให้ท่านซื่อจื่อเชิญหมอหลวงคนอื่นมารักษาหวังเฟยเถอะ”
อวิ๋นคุนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้มากฝีมือการฝังเข็ม ในสำนักหมอหลวงมีเพียงไป๋จิ่งหยางเท่านั้นที่ไร้เทียมทาน เพียงแต่ว่า ฝีมือการฝังเข็มของพวกเขายังด้อยกว่าฮูหยินเยอะ ไม่รู้ว่าจะรักษาได้เห็นผลดีหรือไม่”
“ฝีมือการฝังเข็ม การรมยาแบบไท่อี่นั้นอัศจรรย์อย่างมาก ทว่าการฝังเข็มอู่หลงก็อัศจรรย์เหมือนกัน ตามที่ข้ารู้ การฝังเข็มอู่หลงของตระกูลไป๋ยอดเยี่ยมที่สุด หากใต้เท้าไป๋ไม่อาจรักษาได้ ท่านซื่อจื่อก็ลองเชิญผู้เฒ่าไป๋ดู อันที่จริง การรักษาอาการนั้นก็ต้องเป็นพรหมลิขิตด้วย ผู้ป่วยและหมอควรให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หากผู้ป่วยอคติหมอ ต่อให้มีฝีมือการรักษาที่ดีเพียงใดก็เปล่าประโยชน์” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ
“ได้ ข้าเข้าใจในความหมายของเหยาฮูหยินแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก” อวิ๋นคุนเป็นคนฉลาดหลักแหลม คำพูดนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ เขาย่อมเข้าใจดี
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เหยาเยี่ยนอวี่ค้อมลำตัว “หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
“ได้ เชิญอี๋เหนียงส่งฮูหยินแทนข้าที” อวิ๋นคุนพูดกับสกุลหลี่ด้วยความเกรงใจ
สกุลหลี่ตอบกลับ แล้วออกจากประตูพร้อมกับเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งออกจากประตูจวนเฉิงอ๋อง เฉิงอ๋องก็รู้ทุกคำพูดที่นางพูดเมื่อครู่นี้แล้ว
“เจ้าคิดว่าอย่างไร” เฉิงอ๋องวางถ้วยชาในมือไปที่โต๊ะข้างๆ แล้วถามอวิ๋นคุนเสียงเรียบ
อวิ๋นคุนโค้งคำนับ “ลูกคิดว่า ควรบอกเสด็จแม่ให้รู้เรื่อง จากนั้นค่อยเชิญหมอหลวงเหยามารักษา”
“เสด็จแม่ของเจ้าโกรธเพราะเรื่องงานมงคลของเหยาเอ๋อร์ เพียงต้องให้เหยาเอ๋อร์ไปโน้มน้าวนาง นางน่าจะคิดได้ อีกอย่าง ลูกรู้สึกว่าปมในใจของเสด็จแม่อยู่นั้นอยู่ที่เสด็จพ่อ หากเป็นไปได้ เสด็จพ่อก็ไปปลอบโยนเสด็จแม่…” อวิ๋นคุนพูดไป ก็ไม่อยากจะมากความอีก ไม่ว่าอย่างไร ในฐานะที่เป็นบุตรชายคนโต ก็ไม่ยอมให้อนุภรรยาของเสด็จพ่อมาครองเรือนหรอก
เฉิงอ๋องทำเสียงฮึดฮัด ไม่พูดไม่จา ทว่าความหมายกลับสื่อให้เห็นชัดเจน…เขาไม่อยากไปปลอบโยน
“เสด็จพ่อ” อวิ๋นคุนเดินหน้ามาสองก้าวพลางคุกเข่าลงตรงหน้าเฉิงอ๋อง พร้อมเกลี้ยกล่อมด้วยความต่ำ “ช่วยเห็นแก่ลูกเถอะ ไปปลอบโยนเสด็จแม่ทีเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงอ๋องก้มหน้ามองบุตรชายตน ผ่านไปสักพักถึงจะพยักหน้าอย่างฝืนใจ
อวิ๋นคุนเห็นบิดาพยักหน้า ภานในใจลอบถอนหายใจเบาๆ ขณะเดียวกันก็ได้ตัดสินใจในใจ รอให้อาการของเสด็จแม่ดีขึ้น เขาต้องสู่ขอว่าที่ภรรยาเข้าจวนโดยเร็วที่สุด เรื่องของจวนเฉิงอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้อนุภรรยาของเสด็จพ่อดูแลเรือน เพราะว่าคำพูดเช่นนั้น อาการของเสด็จแม่เกรงว่าจะไม่หายแล้ว
และในเวลาเดียวกัน ณ สวนพฤกษาในราชวัง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ดอกไม้เบ่งบานอย่างงดงามพอดี
เว่ยจางเดินเล่นเป็นเพื่อนฮ่องเต้กลางพุ่มไม้ ขันทีเอกไหวเอินพาขันทีชั้นล่างสองคนและนางกำนัลอายุน้อยมาสองคน