หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 470 หวังเฟยตาบอด ติ้งโหวสิ้นใจ (4)
ตอนที่ 470 หวังเฟยตาบอด ติ้งโหวสิ้นใจ (4)
“เกิดอะไรขึ้นกับจวนติ้งโหวกันแน่ ก่อนหน้านี้เจ้ามีอะไรปิดบังเจิ้นไว้หรือเปล่า” น้ำเสียงของฮ่องเต้คล้ายกับไม่สนใจเรื่องนี้ ทว่าเว่ยจางกลับไม่กล้าประมาท รีบสะบัดชายเสื้อพลางคุกเข่าลง “กระหม่อมมิบังอาจปิดบังสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ! ได้โปรดฝ่าบาททรงสืบหาความจริงนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ชะงักฝีพระบาทลง ทอดพระเนตรไปยังเว่ยจางที่อยู่บนพื้น พร้อมทั้งแย้มพระสรวลจางๆ “ลุกขึ้นมาพูดเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจางกล่าวขอบคุณพลางลุกขึ้นและทูลกลับ “ตอนนั้นระหว่างทางกลับจากสุสานองค์หญิงต้าจั่ง คุณหนูสามตระกูลซูได้เจอกับผู้ร้าย กระหม่อมก็ไปสืบเรื่องนี้ตามพระราชโองการแล้ว ภายหลังได้ทราบความจริงจากปากของผู้ร้ายพวกนั้น ที่แท้บ่าวคนหนึ่งของลู่ฮูหยินละโมบโลภมากในทรัพย์สินเงินทองของนายหญิง จึงได้จ้างผู้ร้ายไปปล้นทรัพย์กลางทาง หลังจากโจรร้ายถูกจับกุม บ่าวผู้อยู่เบื้องหลังกลับหลบหนีไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแส หลังจากนั้นกระหม่อมไปสืบประวัติครอบครัวของบ่าวคนนั้น ถึงรู้ว่ามารดาของเขาเป็นผัวจื่อที่ติดตามลู่ฮูหยินตอนออกเรือน บุตรชายของผัวจื่อคนนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้สติของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภายหลังจึงป่วยหนัก พอนางป่วย ฮูหยินติ้งโหวก็ป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้นตามไปด้วย ฮูหยินน้อยสามของจวนติ้งโหวเป็นพี่สาวภรรยาของกระหม่อม ฮูหยินน้อยสามก็เคยมาขอยาหยินเชี่ยวให้ฮูหยินติ้งโหว และเรื่องหลังจากนั้น กระหม่อมก็ไม่สนใจอีก สำหรับสาเหตุที่ฮูหยินติ้งโหวล่วงลับไป หมอหลวงสี่คนในสำนักหมอหลวงเคยไปจับชีพจรให้นาง และเคยจ่ายยาให้นางด้วย เรื่องพวกนี้ ฝ่าบาทเพียงตรัสถามก็ทรงทราบเองพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากฮ่องเต้ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็พยักพระพักตร์เล็กน้อย แล้วตรัสว่า “เหตุใดเจิ้นได้ยินมาว่า หลังจากองค์หญิงต้าจั่งสวรรคตไป ฮูหยินติ้งโหวก็ป่วยมาโดยตลอด อาการดีขึ้นเป็นบางครั้งบางคราว แล้วยังมีคนร่ำลือว่า นี่เป็นเพราะองค์หญิงต้าจั่งต้องการเอาชีวิตนางไป?”
เว่ยจางพลันทูล “ทูลฝ่าบาท เรื่องผีสางเทวดา…กระหม่อมไม่อยากเชื่อทั้งหมด ทว่ากระหม่อมก็ได้ยินมาว่าหลังจากองค์หญิงต้าจั่งทรงสวรรคตไป ฮูหยินติ้งโหวก็ป่วยมาโดยตลอด แต่ว่านี่เกี่ยวกับเรื่องที่องค์หญิงต้าจั่งสวรรคตหรือไม่ กระหม่อมก็มิบังอาจทูลไปเรื่อยเปื่อยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวล พร้อมตรัส “เอาเถอะ! ดูเจ้าทำท่าทางตื่นตระหนกสิ เจิ้นเพียงถามขึ้นผิวเผินเท่านั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจางประสานมือคารวะ ไม่มากความอะไรอีก
หลังจากออกจากวังหลวง เว่ยจางก็กลับจวนทันที ตอนนี้เหยาเยี่ยนอวี่ก็กลับจากจวนเฉิงอ๋องแล้ว เหตุเพราะเขาปั้นหน้าเคร่งขรึม จึงให้สาวใช้ในเรือนออกไปหมด นางยื่นน้ำชาให้เขาพลางถาม “เหตุใดถึงทำสีหน้าย่ำแย่เช่นนี้”
เว่ยจางจิบชาหนึ่งคำ แล้วเปรยด้วยเสียงเบา “วันนี้จู่ๆ ฝ่าบาทก็ถามสาเหตุการตายของฮูหยินติ้งโหวว่ามีสิ่งใดแอบแฝงหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ก็สะดุ้งตกใจทันที “หรือจะมีคนไปทูลอะไร”
“ต้องมีแน่นอน” เว่ยจางพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แค่ว่าคนคนนี้คงปั้นน้ำเป็นตัวเท่านั้น หากมีหลักฐานยืนยันความจริงจริงๆ เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่ใช่แค่ถามเช่นนี้หรอก”
“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา ว่าไปแล้วแม้เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับตน แต่ขืนฮ่องเต้รู้เรื่องสอบสวนในตอนนั้นเข้า เว่ยจางและถังเซียวอี้ต้องมีความผิด โทษฐานที่ปิดบังฮ่องเต้แน่นอน
“เฝ้ามองสถานการณ์แล้วเตรียมรับมือเถอะ” เว่ยจางมองท่าทางกระวนกระวายของเหยาเยี่ยนอวี่ อดยกมือแตะจมูกนางหนึ่งที พร้อมพูดยิ้มๆ ไม่ได้ “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเราเสียหน่อย เจ้ากลัวไปไยกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตามองเขา “แล้วเมื่อครู่เจ้าทำหน้าเคร่งเครียดให้ใครดู ตั้งใจทำให้ข้าตกใจเล่นๆ หรือไร”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้น” เว่ยจางหุบยิ้ม แล้วดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไปนั่งบนตั่งไม้ พร้อมกระซิบข้างหูนาง “ยังดีเรื่องนี้ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ทางฝั่งติ้งโหวก็ไม่ได้ทิ้งเบาะแสใดๆ มิเช่นนั้นก็ลำบากน่าดู”
เหยาเยี่ยนอวี่พิงในอ้อมกอดของเขา พลางถามอย่างกลุ้มใจ “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราต้องเฝ้ามองสถานการณ์และคอยรับมือกระนั้นหรือ”
เว่ยจางนิ่งงัน ไม่พูดไม่จาทันที
ผ่านไปสักพัก เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ยินเขาตอบอะไร จึงเงยหน้ามองสีหน้าของเขา ทว่าเห็นฝีริมปากบางของเขายกขึ้นอย่างน่าสงสัย เพียงมองชั่วพริบตาก็รู้ว่าเขาคือคนฉลาดหลักแหลมที่รับมือได้ทุกสถานการณ์ นางเลยเปรยด้วยเสียงเบาแล้วหันหลังไปทันที
“ห้ามปล่อยให้ลู่ฉางปั๋วเข้ามาพัวพันเรื่องนี้อีกต่อไป” เว่ยจางยกมือโอบกอดนางไว้ นิ้วมือลูบไล้แขนของนางเบาๆ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ต้องหาอะไรให้เขาทำหน่อยแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่มองเว่ยจางด้วยงวยงง เว่ยจางยกมือจับจมูกของนาง “เป็นอะไรไป ไม่เชื่อคำพูดสามีของเจ้าหรือไร”
“เปล่า แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะหาเรื่องอะไรให้เขาทำ”
“เจ้าไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้หรอก” เว่ยจางดึงนางเข้ามากอด แล้วยิ้มอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่ะ กลุ้มใจแต่เรื่องที่พึงกระทำก็พอแล้ว”
“อ้อ? เช่นนั้นขอถามแม่ทัพเว่ยหน่อย เรื่องที่ข้าพึงกระทำคืออะไรหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองเขาพลางยิ้มจางๆ เผยให้เห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง
“อย่างเช่น เป็นห่วงแต่ข้าที่เป็นสามีเจ้าก็พอ” เว่ยจางก้มหน้า ประกบริมฝีปากลงบนลักยิ้มอันน่าหลงใหลของนาง
“อื้ม…” กลางวันแสกๆ! คนคนนี้! เหยาเยี่ยนอวี่อยากหลบ ทว่านางอยู่ในอ้อมกอดของเขา ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรกดเรือนร่างไว้ นางกลับขยับไม่ได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงพิงอยู่ในอ้อมกอดแล้วปล่อยให้เขาจุมพิตจนพอใจ
หลังจากสามวันผ่านไป ในตำหนักจื่อเฉิน เฉิงอ๋อง จิ่นอ๋อง เยี่ยนอ๋องและเหิงจวิ้นอ๋อง จิ่งจวิ้นอ๋อง เชื้อพระวงศ์อื่น อัครเสนาบดีและขุนนางในราชสำนักต่างอยู่ที่นี่
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ยากที่จะคาดเดา ทุกคนจึงไม่กล้าพูดอะไรเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นในตำหนักเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัดใจ
เหตุผลมีอยู่สองประการ ประการแรกขุนนางหออาลักษณ์หลวงกราบทูลฮ่องเต้ว่ามหาบัณฑิตไป๋ฉางปั๋วสั่งสอนบุตรได้ไม่ดี เห็นชีวิตคนเสมือนต้นหญ้า ประการที่สองเมื่อวานติ้งโหวเขียนสาส์นกราบทูลว่าจะให้ซูอวี้ผิงบุตรชายคนโตดำรงตำแหน่งเจวี๋ย หลังจากปลงศพฮูหยิน เขาจะไปเฝ้าศพแสดงความกตัญญูต่อองค์หญิงต้าจั่ง
เรื่องแรกจัดการได้อย่างง่ายดาย สาส์นกราบทูลร้องเรียนฉบับนั้นเขียนไว้ชัดเจนมาก บุตรชายลู่ฉางปั๋วลู่หมินทำร้ายร่างกายของผู้ที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน เพียงเพื่อภาพอักษรโบราณสองสามภาพ ก่อโจรกรรมใต้ฝ่าพระบาทของฮ่องเต้ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนตาย เขากลับหอบภาพหนี ปล่อยบ่าวผู้เฒ่าคนหนึ่งและคนในครอบครัวของผู้ที่ล่วงลับไปนั่งเสียใจอยู่แบบนี้
เรื่องที่เห็นชีวิตคนเสมือนต้นหญ้านี้ เป็นความผิดที่ไม่อาจอภัยได้ ฮ่องเต้ทรงบัญชาให้จวนซุ่นเทียนจับกุมตัวลู่หมินมาสอบสวน หากเรื่องนี้เป็นความจริง ก็ต้องลงโทษตามกฎระเบียบของต้าอวิ๋น
สำหรับเรื่องที่สอง ฮ่องเต้ทรงลังเลเล็กน้อย ตามหลักแล้ว การสืบทอดตำแหน่งเจวี๋ย ต้องรอให้ผู้ดำรงตำแหน่งล่วงลับไปก่อนถึงจะสืบทอดได้ ติ้งโหวกระทำเช่นนี้ กลับไม่ค่อยเหมาะสม ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของจวนติ้งโหวก็ไม่ราบรื่น
ฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใด แต่เรื่องนี้คงปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้อีก ทุกคนนิ่งงันไปสักพัก เฉิงอ๋องตรัสขึ้นก่อน “ทูลฝ่าบาท วันก่อนกระหม่อมไปร่วมแสดงความเสียใจที่จวนติ้งโหว ก็ได้พบปะกับติ้งโหว อาการของติ้งโหวหนักหน่วงจริงๆ ต่อให้ไม่สืบทอดตำแหน่งเจวี๋ย ปล่อยให้ตำแหน่งว่างเช่นนี้ ก็อาจส่งผลต่อเรื่องว่าราชกิจในราชสำนักก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ พร้อมตรัส “เจิ้นส่งหมอหลวงไปดูอาการมาแล้ว หมอหลวงทูลว่าอาการของติ้งโหวไม่สู้ดีนัก”
เยี่ยนอ๋องถวายบังคม “ติ้งโหวโศกเศร้าเสียใจที่พระมารดาสวรรคตไป ตอนนี้ภรรยาก็สิ้นใจไปอีก จึงทำให้ยิ่งทุกข์ระทมกว่าเดิม ต่อให้เป็นมนุษย์เหล็กก็รับไม่ไหวอยู่แล้ว ฝ่าบาททรงเมตตาขุนนางตลอดมา ครั้งนี้ติ้งโหวกราบทูลว่าจะมอบตำแหน่งให้บุตรชายดำรงต่อ มิเช่นนี้ฝ่าบาทก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตนี้เถอะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่นอ๋องกลับประสานมือคารวะ “เพียงแต่ว่าตอนนี้บุตรชายคนโตจวนติ้งโหวยังไม่มีบุตรชาย…อีกอย่าง ได้ข่าวว่าฮูหยินของเขาป่วยหนักจนเสียสุขภาพ วันข้างหน้ามิอาจมีบุตรได้ ตำแหน่งโหวเจวี๋ยนี้…”