หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 471 แม่ทัพกล่อมภรรยา (1)
ตอนที่ 471 แม่ทัพกล่อมภรรยา (1)
ฮ่องเต้ผายพระหัตถ์ พลางตรัส “นี่คือเรื่องภายในจวนติ้งโหว อนาคตใครจะดำรงตำแหน่งเจวี๋ยต่อ ก็ย่อมต้องทำตามกฎระเบียบของต้าอวิ๋น”
“พ่ะย่ะค่ะ” จิ่นอ๋องได้ยินจึงผายพระหัตถ์แล้วถอยกลับไป ไม่มากความอะไรอีก
“ให้เป็นตามไปนี้เถอะ” ฮ่องเต้เห็นเหล่าท่านอ๋องและขุนนางชั้นสูงไม่เสนอความเห็นใดๆ อีก จึงบัญชาให้เหิงจวิ้นอ๋องประกาศพระราชโองการให้แต่งตั้งซูอวี้ผิงซื่อจื่อเป็นโหว
ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ตระกูลติ้งโหวที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์หญิงต้าจั่ง ซูอวี้ผิงยังมีความดีความชอบในการรบ จึงประกาศพระราชโองการว่าให้แต่งตั้งเขาเป็นท่านโหว เพียงเปลี่ยนราชทินนามว่าติ้งเป่ยโหว
หลังจากนั้น ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการว่าติ้งโหวอายุมากและยังเจ็บป่วย ทว่ามีใจที่กตัญญู เพียงแค่ว่าต่อให้กตัญญูต่อองค์หญิงต้าจั่งจากใจจริงเพียงใด แค่ระลึกถึงในจวนก็พอ ไม่จำเป็นต้องไปเฝ้าศพถึงสุสาน
หลังจากพระราชโองการลงมา ซูอวี้ผิงเปลี่ยนชุดเครื่องแบบราชสำนักและพาเฟิงฮูหยินน้อยเข้าวังหลวงไปขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณนี้
เพียงแต่ใครก็นึกไม่ถึงว่าติ้งเป่ยโหวที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งและฮูหยินเข้าวังหลวงแล้วยังไม่ทันกลับจวน ท่านโหวในจวนที่เพิ่งมอบหมายงานทุกอย่างเสร็จ ก็สิ้นลมหายใจไปแล้ว
ซูอวี้ผิงและฮูหยินออกจากวังก็มีพ่อบ้านมาหาอย่างเร่งรีบ จึงถามด้วยความรำคาญใจ “เจ้ามาได้อย่างไร”
เดิมทีพ่อบ้านที่สวมชุดไว้อาลัยก็ร้องไห้จนตาบวมแดงอยู่แล้ว จึงรีบเอาสายคาดเอวไว้อาลัยมาผูกเอวของซูอวี้ผิงไว้ “คุณชายใหญ่! ฮื้อๆ… ท่านโหว…จากไปแล้วขอรับ!”
“ไป…ไปไหน” ซูอวี้ผิงตะลึงงันจนยังไม่ได้สติกลับมา
“ท่านโหวและฮูหยินติดตามองค์หญิงต้าจั่งไปสวรรค์…” พ่อบ้านพูดไป ก็ค้อมตัวลงร้องไห้เสียงดัง
“…” ซูอวี้ผิงเพียงแค่รู้สึกหน้ามืด ทันใดนั้นก็เกือบจะล้มลงบนพื้น
“ท่านโหว!” เฟิงฮูหยินพลันยื่นมือไปจับเอวของเขาไว้ แม้กระทั่งร่างตนเองยังโงนเงนไปด้วย
“ท่านโหว!” พ่อบ้านก็รีบเดินหน้าไปพยุง ซูอวี้เหิงถึงจะค่อยๆ ได้สติกลับมา แล้วพูดด้วยเสียงเศร้าหมอง “กลับจวน”
ซูกวงฉงติ้งโหวจากไปอย่างฉับพลันเกินไป
ก่อนที่ซูอวี้ผิงจะพาเฟิงฮูหยินน้อยเข้าขอบพระทัยในวังหลวงก็ยังไปน้อมคำนับเขา และได้ฟังคำพูดกำชับจากบิดา หลังจากพวกเขาจากไป ซูกวงฉงก็ตามครอบครัวบุตรคนรอง คนที่สามและน้องชายซูกวงหลิงมาเสวนาว่าอนาคตควรสะสางงานเรือนอย่างไร
ทุกคนก็ไม่ได้คิดมากอะไร แค่คิดว่าเป็นกระบวนการมอบอำนาจของหัวหน้าครอบครัวควรกระทำ มีเพียงเหยาเฟิ่งเกอที่รู้สึกไม่ค่อยดี จึงพูดกับซุนฮูหยินน้อยด้วยเสียงเบา ซุนฮูหยินน้อยก็ไม่ได้สนใจอะไร
ซูกวงฉงมอบหมายทุกอย่างเสร็จก็สั่งให้บุตรชายและสะใภ้ออกไป เหลือแค่เพียงซูกวงหลิงที่อยู่ต่อ จากนั้นก็เสวนาความในใจของน้องชายไปสองสามประโยค
จากนั้น ซูกวงหลิงอยู่จิบชาสองถ้วยก็ออกไป ซูอวี้อันและซูอวี้คังที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นซูกวงหลิงออกมา ก็ไม่ได้คิดมากอะไร ซูอวี้คังติดตามบิดากลับเรือน ส่วนซูอวี้อันก็เข้าไปป้อนยาต้มให้บิดา
ติ้งโหวพูดคุยกับบุตรชายคนรองไปสองสามประโยค หลังจากดื่มยาต้มเสร็จก็หลับใหลไป ใครจะไปรู้ว่าการนอนหลับครั้งนี้กลับไม่ตื่นตลอดกาล
ซูอวี้อันก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติ สุดท้ายก็เป็นเมียบ่าวคนหนึ่งที่รู้สึกว่าท่านโหวหลับลึกเกินไป ก่อนหน้านี้มักจะไอเป็นประจำ ครั้งนี้กลับไม่มีแม้แต่เสียงไอ ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกเป็นพิเศษ สาวเท้าเข้าไปเลิกมุ้งขึ้นอย่างแผ่วเบา ก็สังเกตเห็นว่าท่านโหวหยุดหายใจไปแล้ว
ยังไม่ทันเสียศพลู่ฮูหยิน ท่านโหวก็ล่วงลับไปอีกคน เมื่อเป็นแบบนี้ จวนติ้งโหวก็ยิ่งมีเรื่องทุกข์ระทมกว่าเดิม ทุกคนในจวนต่างมีสีหน้าซีดเซียว ไม่มีความชื่นชมยินดีแม้แต่น้อย
ซูอวี้ผิงร้องไห้กลับจวนตลอดทาง พอกลับถึงจวนก็กอดร่างบิดาร้องไห้จนเกือบจะหายใจไม่ออก
ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้ก็ทรงทุกข์โศกมาก จึงประกาศพระราชโองการให้แต่งตั้งติ้งโหวเป็นกั๋วกง มีนามมรณกรรมว่า ‘อิ่ง’
ซูกวงฉงล่วงลับไปแล้ว ตระกูลลู่กลับหยุดโวยวายไป ไม่รู้เป็นเพราะบุตรชายอตัญญูหรือเหตุผลอะไรกันแน่ โดยสรุปแล้ว ไม่มีใครมาสร้างความวุ่นวายอีก
เหยาเยี่ยนอวี่พาหร่วนฮูหยินและหนิงฮูหยินน้อยไปจวนติ้งโหวเพื่อแสดงความเสียใจอีกครั้ง พอนึกถึงสีหน้าที่ทุกข์โศกของคนทั้งตระกูลซู นางก็รู้สึกหดหู่ใจไปด้วย
ภายในหนึ่งเดือน พวกเขาเสียทั้งบิดาและมารดาไป สถานการณ์เช่นนี้ไม่ค่อยพบเห็นในเมืองหลวงอวิ๋นมากนัก
เรื่องที่สองสามีภรรยาอิ่งติ้งกงล่วงลับตามๆ กันไป ค่อยๆ แพร่งพรายไปทั่วเมืองหลวงอวิ๋น
บางคนบอกว่าสองสามีภรรยาคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง สาเหตุการตายของอิ่งติ้งกงนั้นเป็นเพราะเสียใจที่ภรรยาล่วงลับไป
และบางคนบอกว่าตระกูลลู่จ้องจะหาเรื่องถึงจวนอยู่หลายครั้ง ทำให้อิ่งติ้งกงเครียดจนถึงแก่กรรม
บ้างก็บอกว่าอิ่งติ้งกงไม่สบอารมณ์ต่อฮูหยิน ความเกลียดชังเป็นเหตุให้ฮูหยินป่วยจนสิ้นใจ ภายหลังก็เขาอยู่อย่างไม่สงบสุข ฉะนั้นถึงได้ป่วยหนักจนล่วงลับไปเช่นนี้…
บ้างยังบอกว่าอิ่งติ้งกงป่วยหนักอยู่แล้ว อาการเกินเยียวยา ต่อให้ยื้อชีวิตได้สองสามปี สุดท้ายก็ต้องสิ้นใจอยู่ดี สู้ให้ล่วงลับไปพร้อมกับฮูหยินไม่ดีกว่าหรือ เช่นนั้นจะได้ให้บุตรหลานไว้อาลัยพร้อมกัน
และบางคนก็ยิ่งกล่าวเกินจริงว่า อิ่งติ้งกงถูกคนของตระกูลลู่ลอบทำร้าย ก่อนจะสิ้นใจได้เผลอดื่มยาต้มผสมยาพิษไป
แน่นอน ไม่ว่าด้านนอกจะลือกันอย่างไร งานศพจัดขึ้นพร้อมกันสองคน ก็ยิ่งทำให้ทุกข์โศกกว่าเดิม ทว่าช่วงเวลาไว้อาลัยนั้น…กลับน้อยลงไปสามปี
เมื่อเข้าสู่เดือนสาม อากาศเริ่มอบอุ่น พืชพันธุ์เริ่มเขียวขจี ทุกคนเลิกสวมเสื้อผ้าฤดูหนาว เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิที่สีสันสดใส
ทั้งเมืองหลวงอวิ๋นก็ค่อยๆ งอกงามขึ้น ดอกท้อดอกลูกไหนแข่งกับเบ่งบาน ต้นหยางหลิ่วร่ายรำไปด้วยสายลม นกขมิ้นร้องเพลงเสนาะหูจับใจ นกนางแอ่นอกม่วงคาบก้อนโคลนสร้างรังใหม่ ทัศนียภาพที่เข้าตาเหล่านี้บ่งบอกถึงความงดงามของฤดูใบไม้ผลิ
ช่วงนี้ จวนติ้งโหวกำลังยุ่งกับงานศพ ราชครูเซียวมัวพักฟื้นร่างกาย เฉิงอ๋องไม่ยอมโน้มน้าวเฉิงหวังเฟย ต่อให้อวิ๋นคุนกลุ้มใจเพียงใด ก็เชิญเหยาเยี่ยนอวี่ไปรักษาดวงตาของหวังเฟยไม่ได้ เหล่าหมอหญิงในสำนักแพทย์มอบหมายให้ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงคอยดูแล ฉะนั้นเหยาเยี่ยนอวี่จึงมีโอกาสได้พักผ่อนหย่อนใจ
ตอนเช้าที่ตื่นนอน เหยาฮูหยินเพียงรู้สึกเกียจคร้านยิ่งนัก ไม่อยากขยับแม้แต่ก้าวเดียว จึงสั่งให้คนไปลากิจกับผู้เฒ่าจางที่สำนักแพทย์ หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จก็กลับจวนไปอ่านตำราสักพัก แล้วนอนพักอย่างเกียจคร้าน
“ฮูหยิน แม่ทัพกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” ม่านไผ่ด่างที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่เลิกขึ้น แม่ทัพเว่ยสาวเท้าเข้าประตู ร่างสูงใหญ่บดบังแสงแดดสาดส่องตรงประตู เงาใหญ่กระทบลงสู่พื้น
เว่ยจางเข้าประตู ก็เห็นฮูหยินที่กำลังห่มผ้าผืนบางนอนอยู่บนตั่งไม้ จึงอดยิ้มเสียงเบาไม่ได้ “เหตุใดเวลานี้ยังนอนอยู่อีก”
“เหนื่อยก็นอนพักน่ะสิ” เหยาเยี่ยนอวี่นอนตะแคงข้าง พลางวางตำราแพทย์ในมือไว้บนโต๊ะเล็ก พร้อมหาวหนึ่งทีพลางถาม “เหตุนี้ถึงกลับมาเร็วเช่นนี้”
“งานไม่ค่อยเยอะ มอบหมายให้พวกเขาจัดการแล้ว” เว่ยจางพูดไป เดินหน้ามานั่งลงพลางยกมือดึงเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้น จากนั้นเอาหมอนหนุนหลังนางไว้ พลางเกลี้ยกล่อม “ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมาขยับตัวหน่อยเถอะ นอนเกียจคร้านอยู่แบบนี้ เดี๋ยวจะกินมื้อเที่ยงไม่ลงเอา”
“กินไม่ลงก็ไม่กิน” เหยาเยี่ยนอวี่พิงบนหมอนอย่างเกียจคร้าน ทั้งเรือนร่างราวกับไร้กระดูก
เว่ยจางมองนางเหมือนไม่มีแม้แต่แรงลืมตา จึงถามอย่างน่าขบขัน “ไม่มีอะไรทำ เลยไม่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ใช่ไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดว่าช่วงก่อนเหนื่อยล้าเกินไปล่ะ”
“ไม่มีใครเป็นเหมือนเจ้าหรอก” เว่ยจางรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย ตามหลักแล้ว ฤดูใบไม้ผลิก็ง่วงง่าย ฤดูใบไม้ร่วงก็เหนื่อยง่ายนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ทว่าฮูหยินของเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เกินไปหน่อยไหม ก่อนหน้านี้เขายังนึกว่าเขาทำให้นางเหน็ดเหนื่อยกับกิจกรรมยามค่ำคืนเกินไป ทว่าเมื่อวานเขาติดราชกิจจึงกลับจวนดึก ไม่ถึงยามสองนางก็หลับไปแล้ว เหตุใดวันนี้ยังคงเกียจคร้านเช่นนี้