หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 489 ประลองฝีมือลับๆ (3)
ตอนที่ 489 ประลองฝีมือลับๆ (3)
ความทุกข์ทรมานเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้ที่มีความอดทนเพียงใดก็ไม่อาจทนได้ ยิ่งไปกว่านั้น หยาจวิ้นเป็นเพียงบุรุษอ่อนปวกเปียกเท่านั้น เพื่อที่จะทำให้องค์หญิงคังผิงเกรี้ยวโกรธ เขาก็จงใจแสดงถึงความเจ็บปวดเกินจริงยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่ทายาก็ยิ่งเจ็บระบมกว่า หยาจวิ้นเจ็บจนหน้าหงิกหน้างอ หยาดเหงื่อบนหน้าผากไหลลงมาไม่หยุด องค์หญิงคังผิงเห็นอกเห็นใจเขาจนจะขาดใจแล้ว ทว่ากลับจนปัญญา ทำได้เพียงถลึงมองหมอหลวงด้วยสายตาโหดเหี้ยม “ยาอะไรของเจ้าเนี่ย! เหตุใดทาไปหลายวันก็ยังไม่เห็นผล! เปิ่นกงบอกเจ้าไว้ก่อน หากยังรักษาแผลให้หายไม่ได้ เปิ่นกงจะตัดหัวเจ้า!”
“ทูลองค์หญิง กระหม่อมสั่งให้คนไปหาหมอหลวงเหยาที่สำนักแพทย์เพื่อขอยาเม็ดแก้ปวดแล้ว ทว่าหมอหลวงเหยาเกิดเรื่องในจวน ดังนั้นยาพวกนั้นยังไม่ทันได้ปรุงสำเร็จ…คุณชายได้โปรดอดทนอีกหน่อย รอให้หมอหลวงเหยาปรุงยาเสร็จ กระหม่อมจะสั่งให้คนส่งมาเดี๋ยวนี้”
“เจ้าไม่ได้เป็นหมอหลวงหรือ! เหตุใดถึงต้องใช้ยาของนางด้วย!” องค์หญิงคังผิงสบถหยาบด้วยความโมโห “หรือว่าเสด็จพ่อของเปิ่นกงเลี้ยงพวกเจ้าที่เป็นไอ้สวะให้เสียข้าวสุก พวกเจ้าไม่มีหมอหลวงเหยาแล้ว รักษาคนไม่ได้แล้วใช่ไหม!”
หมอหลวงที่เข้าตาองค์หญิงคังผิงต้องไม่ใช่ผู้ที่กินนอนรอตายอยู่แล้ว อย่างไรหมอหลวงเยี่ยนท่านนี้ก็คือขุนนางระดับสี่ อีกอย่างยังเป็นหมอเฉพาะทางเกี่ยวกับกระดูก ท้ายที่สุดยังต้องคุกเข่าหมอบกราบบนพื้น พลางทูลว่า “กระหม่อมมีความสามารถเพียงเท่านี้ องค์หญิงได้โปรดให้อภัยกระหม่อมเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงคังผิงถีบเขาด้วยความโมโหหนึ่งที “เจ้ายังจะใส่อารมณ์กับเปิ่นกงอีกหรือ!”
หมอหลวงเยี่ยนอายุห้าสิบกว่าถูกองค์หญิงคังผิงถีบเพราะบ่าวที่ได้รับการโปรดปราน ภายในใจเสียใจยิ่งนัก เกลียดชังตัวเองที่ตอนนั้นทำไมถึงไม่ถามให้ชัดเจนแล้วค่อยมาตำหนักองค์หญิง แต่องค์หญิงถีบเขาหนึ่งทีเช่นนี้ เขาก็ไสหัวออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี ทำได้เพียงหมอบกราบร้องขอให้อภัยต่อ “กระหม่อมไร้ความสามารถ รักษาแผลคุณชายไม่หายเสียที กระหม่อมจะไปขอให้ฝ่าบาทลดชั้นลดตำแหน่ง องค์หญิงได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อม กระหม่อมจะซาบซึ้งในพระกรุณาอย่างยิ่ง”
“ทำไม เจ้ายังคิดจะไปฟ้องเสด็จพ่ออีกหรือ” องค์หญิงคังผิงก็ไม่ได้โง่เขลาดักดาน เรื่องนี้ถึงฮ่องเต้ ให้ฮ่องเต้ทราบว่านางระบายอารมณ์กับหมอหลวงเพื่อบ่าวที่รักใคร่คนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ถูกต้อง แต่ก็ต้องถูกฮ่องเต้หาว่าเป็นบุตรีที่ทำตัวสำมะเลเทเมา และต้องทำให้ราชวงศ์ต้าอวิ๋นเสื่อมเสีย นางเองย่อมไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรอยู่แล้ว
“กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมเพียงแค่ต้องการขอให้ฝ่าบาททรงอภัยโทษพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเยี่ยนหมอบกราบลงบนพื้นพลางทูลขึ้น
“องค์หญิงอย่าได้โกรธเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยาจวิ้นพลันโน้มน้าว “รักษาเส้นเอ็นและกระดูกต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยวัน นี่ผ่านไปแค่สามสี่วันจะเห็นผลได้อย่างไรกัน ได้ข่าวว่าหมอหลวงเยี่ยนท่านนี้มีบรรพบุรุษเป็นแพทย์ที่ชำนาญในการต่อกระดูก เขายังไม่มีปัญญาเลย แล้วคนอื่นจะมีปัญญาได้อย่างไร”
“เรื่องนี้เจ้ากล้าให้เสด็จพ่อทราบแม้แต่คำเดียว ข้ามีวิธีล้างผลาญทั้งครอบครัวเจ้าแน่นอน!” องค์หญิงคังผิงนึกถึงชื่อเสียงของตนเป็นอันดับแรก
หมอหลวงเยี่ยนพลันพูด “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับแน่นอน”
“พอเถอะ! ข้าเพียงพูดตอนอารมณ์โมโห คุณชายหยาเป็นอาจารย์สอนขี่ม้าและยิงธนูของข้า แผลของเขา เจ้าต้องใส่ใจเป็นอย่างดี หากรักษาเขาให้หายได้ แน่นอนว่าข้าจะชื่นชมเจ้าต่อหน้าเสด็จพ่อแน่นอน” องค์หญิงคังผิงช่างเป็นคนที่ตบหัวแล้วลูบหลังเก่งจริงๆ
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยองค์หญิง” หมอหลวงเยี่ยนไม่อยากอยู่ต่อที่นี่แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว จึงรีบกล่าวขอบพระทัยแล้วจากไปทันที
องค์หญิงคังผิงมองหมอหลวงออกไป จึงทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจขึ้นอีกครั้ง พร้อมยกมือแสดงให้คนที่อยู่ในเรือนออกไป ผู้ที่อยู่ปรนนิบัติที่นี่ได้ แน่นอนว่าล้วนเป็นหัวแก้วหัวแหวนขององค์หญิงอยู่แล้ว พอเห็นนายหญิงสื่อสารด้วยมือ แต่ละคนก็ก้มหน้าถอยออกไป คนสุดท้ายที่เดินออกไปต้องปิดประตูให้สนิท
ตอนองค์หญิงคังผิงหันไปก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มทันที และนั่งอยู่ข้างกายหยาจวิ้นพลางจับข้อมือที่เพิ่งทายาเสร็จ แล้วค่อยเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์หญิง ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” หยาจวิ้นยกมุมปากอันงดงามขึ้น เผยให้เห็นยิ้มจางๆ มีเสน่ห์ “มีองค์หญิงอยู่ข้างกาย ต่อให้เจ็บอย่างไรก็ไม่รู้สึกพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงคังผิงถึงจะลุ่มหลงในคำพูดและรอยยิ้มจางๆ นี้จนอย่างยิ่ง ทันใดนั้นก็ใจอ่อนและพิงอยู่บนร่างของหยาวจวิ้น พร้อมทั้งจุมพิตลงบนใบหน้าอันงดงามของเขาหนึ่งที พร้อมเปรยว่า “ข้างกายข้าก็มีเจ้านี่แหละที่รู้ใจที่สุด!”
“หยาจวิ้นได้รับการโปรดปรานขององค์หญิง ก็เป็นลาภอันประเสริฐแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หยาจวิ้นถอนหายใจเสียงต่ำ ราวกับว่ามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับนางจริงๆ
“เจ้าวางใจเถอะ! เจ้าวางใจเถอะ!” ตอนนี้องค์หญิงคังผิงมัวแต่นึกถึงหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ “คนพวกนั้นที่เคยรังแกและเคยทำร้ายเจ้า ข้าไม่มีทางปล่อยให้ลอยนวลแน่นอน! ข้าต้องให้พวกเขาชดใช้คืนสิบเท่า!”
“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องทำเพื่อหยาจวิ้นมากเช่นนี้ อย่างไรพวกเขาที่หนึ่งคนเป็นถึงแม่ทัพ อีกคนเป็นถึงหมอเซียน ล้วนเป็นคนที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญ” หยาจวิ้นเกลี้ยกล่อมข้างหูนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ เพียงแต่ว่าคำพูดเกลี้ยกล่อมกลับทำให้นางโมโหยิ่งกว่าเดิม
“เหอะ! ตอนนี้ในสายพระเนตรของเสด็จพ่อ เกรงว่าเหยาเยี่ยนอวี่คงจะสำคัญกว่าบุตรีอย่างพวกเราแล้ว! ฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้ว ของขวัญวันคล้ายวันเกิดของน้องหก เสด็จพ่อยังประทานให้นางไปอย่างง่ายดาย!”
พูดถึงเหยาเยี่ยนอวี่ องค์หญิงคังผิงก็เครียดจนกัดฟันแน่น “เพียงแค่รู้วิชาแพทย์หน่อยเท่านั้น! เพราะว่ารักษาขาของหันซังเกอให้หาย รักษาแผลเป็นบนใบหน้าของหันหมิงชั่น นางก็ถูกคนพวกนั้นเรียกว่าหมอเซียนแล้ว! หมอหลวงร้อยกว่าคนในสำนักหมอหลวงก็ยังไม่อาจเทียบกับนางได้! ข้าไม่เชื่อ หากไม่มีนาง ทุกคนจะป่วยจนสิ้นชีวิตได้อย่างไร!”
“พอเถอะ องค์หญิงอย่าได้โมโหพ่ะย่ะค่ะ” หยาจวิ้นกล่อมด้วยเสียงอ่อนโยน “ได้ข่าวว่าโรงงานกระจกของนางระเบิดมิใช่หรือ สุดท้ายนางก็ไม่มีชีวิตที่สงบสุข”
“ฮ่า!” องค์หญิงคังผิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจพลางตบหน้าอกของหยาจวิ้นเบาๆ พร้อมถาม “ได้ยินข่าวนี้ เจ้ารู้สึกหายขุ่นเคืองใจไหม”
“หืม?” สีหน้าของหยาจวิ้นตกตะลึงทันที “หรือว่าองค์หญิงเป็นคน…”
“เจ้าเพียงแค่พูดว่าดีใจหรือไม่ดีใจ!” องค์หญิงคังผิงแย้มยิ้มพลางมองหยาจวิ้น นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความได้ใจ
“ดีใจพ่ะย่ะค่ะ” หยาจวิ้นหัวเราะเสียงเบา ก้มหน้าจุมพิตบนหน้าผากของนาง “ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อกระหม่อม”
“เหอะ! ข้าเพียงต้องการตักเตือนนางเท่านั้น! ดูสิว่านางยังจะกล้าดีอีกไหม! นางนึกว่าตัวเองมีความสัมพันธ์อันดีกับตำหนักองค์หญิงใหญ่หนิงหวาแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจกระนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!” องค์หญิงคังผิงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว พลางหันไปถ่มน้ำลาย “ถุย! บุตรีอนุภรรยาที่เหมือนบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น สำคัญตัวเองเกินไปแล้ว!”
หยาจวิ้นใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจับหน้าขององค์หญิงคังผิง กล่าวโน้มน้าว “ต่อให้นางจะเก่งกาจด้านการแพทย์อย่างไรก็เป็นเพียงขุนนางคนหนึ่งเท่านั้น แล้วจะเทียบเทียมกับองค์หญิงได้อย่างไร องค์หญิงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีชาติกำเนิดสูงยิ่ง ดังนั้น องค์หญิงไม่จำเป็นต้องเครียดเพราะนาง อย่าปล่อยให้เครียดจนร่างกายทรุดโทรมลงล่ะ!”
องค์หญิงคังผิงได้ยินคำพูดนี้ จงแย้มยิ้มอันเบิกบานออกมาทันที “ยังรู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นด้วย!”
หยาจวิ้นยกยิ้มจางๆ “องค์หญิงรักและเอ็นดูกระหม่อม ถึงขั้นไประเบิดโรงงานกระจกของเหยาเยี่ยนอวี่เลยหรือ”
“เจ้าวางใจเถอะ เจ้าติดตามเปิ่นกง เปิ่นกงย่อมปฏิบัติกับเจ้าเป็นอย่างดีแน่นอน” องค์หญิงคังผิงยิ้มอย่างได้ใจ
หยาจวิ้นสรรหาคำพูดเสนาะหูจับใจมาอีกพูดอีกมากมาย กล่อมหูนางจนรู้สึกดีใจแล้ว ก็บอกว่าตนเองเหนื่อยล้าแล้วอยากพักผ่อน
ไม่มีสิ่งใดที่องค์หญิงคังผิงไม่ทำตามใจเขา จึงพยุงแก้วตาดวงใจไปนอนลงพลางห่มผ้าผืนบางให้เขา ก่อนจะออกจากเรือนก็กำชับขึ้น “อย่านอนเยอะเกินไปล่ะ เดี๋ยวกลางคืนจะไม่ง่วง ข้าสั่งให้คนตุ๋นน้ำแกงกระดูกวัว เดี๋ยวจะสั่งให้คนส่งมา”
หยาจวิ้นพยักหน้าตอบกลับ เขาทำท่าทางง่วงนอนจนลืมตาไม่ขึ้น องค์หญิงคังผิงลูบหน้าเขา ยกยิ้มพลางจากไปอย่างพอใจ