หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 492 สืบหาไส้ศึกชาวเกาหลี เหิงอ๋องลงไม้ลงมือ (3)
ตอนที่ 492 สืบหาไส้ศึกชาวเกาหลี เหิงอ๋องลงไม้ลงมือ (3)
“เพคะ” ความรู้สึกในตอนนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ พูดได้ว่านางใช้กำลังทั้งหมดที่มีในการป้องกันตัวเองก็ได้ เหิงจวิ้นอ๋องผู้นี้กำลังคิดจะทำอะไรอยู่
“ตามที่เปิ่นอ๋องรู้ สินค้ายอดสั่งซื้อของโรงงานนั้นเต็มไปถึงปีถัดไปหรือเปล่า หากเจ้าเร่งทำสินค้าที่วังหลวงสั่ง ก็คงทำให้ธุรกิจต้องล่าช้าหรือเปล่า การไม่รักษาสัญญาเป็นเรื่องที่ไม่พึงกระทำเลย”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “นี่กลับไม่ได้น่ากลัวอะไร”
“อ้อ?” เหิงจวิ้นอ๋องนึกไม่ถึงว่าตนพูดถึงขั้นนี้แล้ว ฮูหยินแม่ทัพผู้นี้กลับยังผ่อนคลายเช่นนี้
“เพราะว่าหม่อมฉันได้ครอบครองสูตรหลอมกระจกเพียงผู้เดียวเท่านั้น ต่อให้ข้าไม่รักษาสัญญา พวกเขาจะทำอะไรได้ พวกเขาไปสั่งทำที่อื่นไม่ได้เสียหน่อย เพียงแค่พวกเขายังอยากทำธุรกิจนี้ ของของข้ายังคงไม่ต้องรีบขายอยู่แล้ว” นี่แหละคือข้อดีของบรรทัดฐานอันเก่าของสังคม นี่แหละคือข้อดีของการผูกขาด
เหิงจวิ้นอ๋องลุกขึ้นพลางหัวเราะ จากนั้นยกมือตบโต๊ะหนึ่งทีพร้อมเอ่ยชม คนนอกต่างบอกว่าฮูหยินแม่ทัพฝู่กั๋วฉลาดชาญชัย ต้องไม่ใช่สตรีทั่วไปเทียบเทียมได้ เปิ่นอ๋องยังแค่ได้ยินคำร่ำลือเท่านั้น วันนี้ดูๆ แล้ว เป็นจริงอย่างที่คาดแน่อน”
เวลานี้ เหยาเยี่ยนอวี่เดาไม่ออกว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ดังนั้นภายในใจกำลังต่อว่าคนสมัยโบราณสมควรตาย ไหนบอกว่าพูดตรงไปตรงมา และสุดท้ายก็ยังพูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่ดี! จากนั้นใบหน้าที่เคล้าด้วยยิ้มจางๆ เพียงรอให้อีกฝ่ายพูดอย่างกระจ่างแจ้ง
ว่ากันว่า ‘เพราะไม่เปลี่ยนก็ยิ่งควรเปลี่ยน’ ตอนนี้เหยาฮูหยินไม่มีอะไรให้เปลี่ยน ก็แค่รู้ว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เหยาจวิ้นอ๋องเห็นเหยาเยี่ยนอวี่กลับปั้นหน้านิ่งเฉย จึงพูดยิ้มๆ “เปิ่นอ๋องคิดเช่นนี้…โรงงานกระจกของเจ้าถือว่าถูกทำลายไปแล้ว หากต้องการสร้างใหม่อีกรอบ คิดว่าเจ้าก็ต้องมอบหมายอย่างอื่น ส่วนเปิ่นอ๋องมีบ้านสวนเขตนอกเมืองตอนใต้ที่ใกล้โรงยาของใต้เท้าเหยาเจ้าอยู่หนึ่งที่พอดี” พูดถึงขั้นนี้ เหิงจวิ้นอ๋องยื่นนิ้วมือเรียวยาวไปชี้เหยาเยี่ยนอวี่พลางชี้มายังตัวเอง พร้อมทั้งพูดยิ้มๆ “หมอหลวงเหยา มิเช่นนั้น เจ้าและข้าร่วมมือกันหน่อยเถอะ ดีไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่รู้ว่าเหิงจวิ้นอ๋องทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการยื่นมือมาช่วย หรือถือว่าฉวยโอกาสเอาผลประโยชน์ แต่ไม่ว่าเขาจะวางแผนอะไรอยู่ เหมือนตนเองไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธแน่นอน ดังนั้นพูดยิ้มๆ พลางถามกลับ “ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะร่วมมืออย่างไร”
“ข้าเพียงแค่ออกที่ดินและที่พัก ส่วนอย่างอื่นนั้นข้าไม่สนใจ หมอหลวงเหยาเพียงแบ่งส่วนกำไรให้ข้าตามความเหมาะสมก็พอแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่มองเหิงจวิ้นอ๋องอย่างงงงวย พร้อมถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านอ๋องทำเพื่ออะไรกันเพคะ”
เหิงจวิ้นอ๋องพูดยิ้มๆ “บ้านสวนที่นั่นของข้าปล่อยว่างไว้เช่นนั้น ทว่ากลับต้องเสียเงินไม่น้อยในการทำความสะอาดทุกที กลับปล่อยให้หมอหลวงเหยามาใช้สอย ทุกปียังพอมีรายได้อยู่บ้าง”
เหยาเยี่ยนอวี่ถามอย่างขนขัน “หรือจวนเหิงจวิ้นอ๋องจะขาดแคลนเงินก้อนเล็กเช่นนี้จริง”
“ทำไมหรือ จวนเหิงจวิ้นอ๋องไม่ได้เป็นสถานที่ผลิตงานเสียหน่อย เงินคงไม่ตกลงมาจากสรวงสวรรค์หรือเปล่า แล้วเหตุใดถึงไม่ขาดแคลนเงินใช้เล่า” เหิงจวิ้นอ๋องถามด้วยยิ้มเบิกบาน
ก็ได้ ท่านคือท่านอ๋องก็ต้องว่าอย่างไร ว่าตามอย่างนั้นอยู่แล้ว ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าไปมาหาสู่กับคนพวกนี้นั้นเหนื่อยจริงๆ ว่าไปแล้วนางก็ยังรู้สึกว่าสามีในจวนตนเองค่อนข้างคบหากันได้ดี มีอะไรพูดอย่างนั้น ดีใจหรือไม่สบอารมณ์ก็ย่อมสื่อผ่านสีหน้า มองเพียงพริบตาก็รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางไปเปลืองสมองเดาโน่นเดานี่
“เช่นนั้นรายละเอียดโรงงานกระจกก็ยังต้องขอให้ท่านอ๋องส่งคนมาปรึกษาหารือกับข้า ท่านอ๋องก็รู้ว่าข้าไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้อย่างละเอียดมากเท่าใด ก่อนหน้านี้โรงงานกระจกก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งคอยรับผิดชอบดูแลทั้งหมด ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องการพักฟื้นร่างกายอีกสักระยะ ทางฝั่งข้าก็ขาดแคลนผู้ที่มีความสามารถและน่าเชื่อถือ หากท่านอ๋องมีคนที่เหมาะสม ก็ได้โปรดอย่าได้ตระหนี่” เหยาเยี่ยนอวี่พูดถึงตอนสุดท้าย มุมปากยกขึ้นอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มนั้นเคล้าด้วยความขบขัน
“ได้” เหิงจวิ้นอ๋องตอบกลับทันที “ประเดี๋ยวเปิ่นอ๋องจะส่งคนไปหาเจ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่โค้งคำนับเบาๆ “เช่นนั้นก็ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ช่วยเหลือยามลำบากแล้ว”
พอออกจากซูเย่ว์ไจ ก่อนขึ้นรถม้าก็กวาดมองหน้าร้านอาหารนี้ สิ่งปลูกสร้างแบบเจียงหนานดูสะดุดตาบนถนนเส้นนี้ ทว่าเพราะว่ากิจการไม่ค่อยครึกครื้น กลับทำให้ดูน่าดึงดูดน้อยลง แววตาที่เคล้าด้วยรอยยิ้มคลุมเครือของเหิงจวิ้นอ๋องผู้นี้ตอนมองตน ทำให้คนยากจะคาดเดาความรู้สึกจริงๆ
พอกลับถึงจวนแล้วยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เว่ยจางก็กลับมาแล้ว เขาเดินเข้าประตูด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ทำเอาเซียงหรูและบ่าวคนอื่นไม่กล้าส่งเสียงใดๆ หลังจากช่วยเหยาเยี่ยนอวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกไปอย่างเงียบๆ
“เป็นอะไรไป มีปัญหาอะไรหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่มองแม่ทัพเว่ยไม่พูดไม่จาและไม่ดื่มชา จึงถามอย่างสงสัย
แม่ทัพเว่ยมองฮูหยินเพียงปราดเดียว แล้วแค่นเสียงไม่พอใจพลางสะบัดหน้าใส่
“นี่?” เหยาเยี่ยนอวี่อึดอัดใจเป็นอย่างมาก ดูๆ แล้ว คนคนนี้กำลังสะบัดหน้าใส่ตนเองอยู่หรือ
เหยาเยี่ยนอวี่มองซ้ายแลขวา เห็นว่าในเรือนไม่มีคนอยู่ ทันใดนั้นก็เดินไปยื่นมือวางบนไหล่ทั้งสองข้างของเขา พร้อมดันเขาไปพิงเก้าอี้ จากนั้นโน้มตัวลงไปจ้องตาเขา พร้อมถาม “ข้าไปทำอะไรผิดต่อเจ้า”
เว่ยจางยังคงเม้มปากไม่พูด แค่ปกติแววตาที่เลือดเย็นนั้นเคล้าด้วยความโมโหและไม่ได้ความเป็นธรรม ทั้งยังมีกลิ่นอายความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู เหยาเยี่ยนอวี่จึงนึกได้ทันที
ตอนนี้คนคนนี้กำลังเฝ้าสังเกตการณ์ผู้ก่อการร้ายในเมืองหลวงอย่างเงียบๆ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่เกิดในเมืองหลวง ถึงแม้พูดไม่ได้ว่าถึงหูของเขาทั้งหมด ทว่าส่วนมากก็ต้องรายงานเขาอยู่แล้ว ดูจากสภาพเช่นนี้ ต้องรู้ว่าเหิงจวิ้นอ๋องเรียกตัวตนไปแน่นอน
ดังนั้นนางยกยิ้มจางๆ พลางใช้สองมือกอดคอเขาไว้ จากนั้นเอวบางบิดไปนั่งลงบนตักของเขา ปลายหูของแม่ทัพเว่ยแดงระเรื่อทันที มือใหญ่ทั้งสองข้างจับเอวฮูหยินไว้โดยไม่รู้ตัว ลมหายใจถี่ขึ้น
“แม่ทัพไม่ใช่ว่าโกรธข้าอยู่หรือ” เหยาเยี่ยนอวี่หันหน้ามองใบหน้าที่แดงระเรื่อของเขา ภายในใจรู้สึกภูมิใจอย่างมาก
“แต่ข้าก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ไม่ควรนี่ ทำให้แม่ทัพโกรธแล้วหรือ” เหยาฮูหยินก้มหน้าลง พลางใช้แก้มแนบชิดข้างหูของเขา ทั้งยังพูดด้วยเสียงออดอ้อนจนนางเองยังรู้สึกขนลุก
“นั่งดีๆ ” แม่ทัพเว่ยใช้แรงดึงนางออกเล็กน้อย “ข้ามีเรื่องสำคัญจะถามเจ้า”
“ถามสิ ผู้เป็นสามีถามภรรยาสองสามคำ ทำเหมือนกำลังสอบสวนผู้ร้ายแน่ะ คนเขาไม่ใช่ไส้ศึก ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายเสียหน่อย ทำไมถึงต้องดุขนาดนี้” เหยาเยี่ยนอวี่ซบลงกลางอกของเว่ยจางเหมือนคนไร้กระดูก
นางจงใจ!
แม่ทัพเว่ยเกร็งไปทั้งร่าง แผ่นหลังเหมือนรองแผ่นเหล็กไว้ ฝ่ามือที่กอดเอวของฮูหยินร้อนรุ่มขึ้นมาทันที มือที่มีหยาดเหงื่อผุดออกมาลูบไล้เสื้อผ้าสีม่วงจนกลายเป็นผักกาดดองไปแล้ว
ความมืดคืบคลานเข้ามา ทันใดนั้นก็ได้เวลากินมื้อค่ำ
ตอนที่เพิ่งกลับจวนก็ได้ยินว่าองค์หญิงคังผิงออกจากตำหนักองค์หญิงเป็นเพื่อนหย่าจวิ้น บอกว่าจะไปพักผ่อนหย่อนใจที่บ้านสวนเขตนอกเมือง มาตรการรักษาความปลอดภัยของบ้านสวนย่อมเทียบไม่ได้กับตำหนักองค์หญิงใหญ่ ทีแรกเขายังนัดกับถังเซียวอี้ว่าจะไปสังเกตการณ์แถวนั้นตอนกลางดึก
เพียงแต่ว่าสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดเปล่งลมหายใจดั่งกล้วยไม้ ทำให้จุดความเร่าร้อน จนอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
ตอนที่อดทนต่อไปไม่ไหว ก็ไม่จำเป็นต้องอดทนอีก
ดังนั้นแม่ทัพเว่ยอุ้มนางขึ้น แล้วพาไปที่เตียงนอนทันที