หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 497 เก็บแห (3)
ตอนที่ 497 เก็บแห (3)
มาถึงอายุปานนี้ ระหว่างสามีภรรยาก็ไม่ได้มีเยื่อใยอะไรกันมานานแล้ว องค์หญิงคังผิงก็เกลียดชังเหลียงจวิ้น ดังนั้นจึงเริ่มแอบเล่นชู้ในตำหนักองค์หญิง เริ่มจากเหล่าชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา ทว่ายังไม่นาน องค์หญิงคังผิงก็สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องโลกเหล่านี้ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่มากพอ ทำให้นางมีความสุขขั้นสุดยอดไม่ได้
นี่เหมือนกับว่าคนที่ชอบกินอาหารเผ็ดร้อนไปกินอาหารที่รสชาติจืดชืด จึงไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย ทว่าองค์หญิงคังผิงมีฐานะสูงศักดิ์ และไม่ยอมไปหาพวกคนหยาบกระด้าง ส่วนบุรุษที่รูปไม่งามก็ไม่เคยเข้าตาองค์หญิง ดังนั้นหย่าจวิ้นจึงมาได้ทันเวลาพอดี
องค์หญิงคังผิงเห็นหย่าจวิ้นในชั่วพริบตาแรกก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก คนคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลา เพียงปรายตามองมาก็ฉุดวิญญาณของคนอื่นไปได้ พอได้รู้จักลึกซึ้งกว่านี้ก็สังเกตเห็นว่าเป็นบุรุษที่มีฝีมือดี อีกอย่างยังรู้จักครุ่นคิดรอบคอบ ทว่ากลับไม่ได้ให้เป็นความรู้สึกว่าเขายอมลดตัวอย่างให้ต่ำต้อยเพื่อประจบประแจงนาง
นี่ทำให้องค์หญิงคังผิงยิ่งลุ่มหลงจนลืมตาไม่ขึ้น นางยอมสละครึ่งชีวิตที่เหลือเพื่อเขา เพียงแต่ว่านางนึกไม่ถึงจริงๆ ในขนมแผ่นใหญ่ที่ตกลงมาจากสวรรค์กลับมีเนื้อเน่าซ่อนไว้ด้านใน และเป็นนกกระเรียนหงอนแดงที่เอาชีวิตนางไปได้
เมื่อมององค์หญิงคังผิงที่นอนสนิทอยู่ด้านข้าง สีหน้าของหย่าจวิ้นเคล้าด้วยความโหดเหี้ยมทันที…เว่ยเสี่ยนจวิ้น เจ้าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของข้าเพื่อแม่นางผู้เดียว แล้วยังทำให้ข้าที่เป็นถึงรัชทายาทชาวเกาหลีต้องมานั่งเลียแข้งเลียขาสตรีผู้หนึ่ง ทั้งยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม! ข้ากับเจ้าต้องตายไปกันข้าง!
จึงยื่นมือไปดึงเสื้อคลุมชั้นดีหนึ่งตัวมาคลุมบนร่าง จากนั้นยกมือดึงเชือกตรงหัวเตียง
ไม่นานก็มีเสี่ยวซือหน้าตาหล่อเหลาสองคนเข้ามาอุ้มหย่าจวิ้นจากเตียงนอนไปไว้บนเก้าอี้สานด้านข้าง จากนั้นก็ยกทั้งคนและเก้าอี้ออกจากเรือนอย่างเบามือเบาเท้า
ณ สวนอันเงียบสงัด พืชพันธุ์กำลังงอกงาม กลิ่นหอมบุษบาพัดโชยมากับสายลม องค์ชายเกาหลีสวมเสื้อคลุมสีนิลพลางพิงอยู่บนเก้าอี้สาน ใบหน้าซีดเซียวแหงนมองฟากฟ้า นัยน์ตาดำสนิทหรี่มองนภายามค่ำคืน ลมยามดึกกระทบลงบนร่างของหย่าจวิ้น กลิ่นอายบนร่างของเขาค่อยๆ จางหายไป เสื้อคลุมพลิ้วไหวราวกับปีกปีศาจ
ชายหนุ่มร่างซูบผอมที่มีใบหน้าซีดเซียวคล้ายกับว่าป่วยไข้ไม่รู้ว่าเดินออกมาจากไหน เขาเดินเข้าไปใกล้หย่าจวิ้น พร้อมทั้งรายงานด้วยเสียงทุ้มต่ำ แววตาที่ดูโดดเดี่ยวของหย่าจวิ้นก็ลุกเป็นไฟทันที “เจ้าพูดเรื่องจริงหรือ”
ชายหนุ่มตอบกลับด้วยเสียงต่ำ “ถึงแม้ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงขอรับ นายท่าน สิ่งที่ทำให้ไอ้ฮ่องเต้ต้าอวิ๋นดำเนินการด้วยตนเอง ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน”
“กล่าวได้ไม่ผิด” แววตาดั่งหมึกดำของหย่าจวิ้นเป็นประกายความเหี้ยมเกรียมออกมา “เขาไม่ให้ข้ามีชีวิตที่ดี ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตที่ดี”
“เช่นนั้นบ่าวจะสั่งให้คนไป…”
“อืม ต้องให้ไว” หย่าจวิ้นทำนัยน์ตาเลือดเย็น มุมปากเผยยิ้มอันเย็นชาออกมา
“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำถอยออกไปทันที
ในมุมมืดแห่งหนึ่ง ถังเซียวอี้ที่อยู่ในชุดสีดำ กำลังกลั้นหายใจเพื่อลดความมีตัวตนของตนให้ต่ำที่สุด ในมือถือกล้องส่องทางไกลจากแคว้นตะวันตกพลางมองหย่าจวิ้นและบ่าวกำลังพูดคุยกัน หลังจากบ่าวคนนั้นถอยไป หย่าจวิ้นพิงอยู่เก้าอี้สานพลางหลับตารับลมยามดึก
ดูท่าทางของเขาเหมือนจะว่างมาก ถังเซียวอี้ต่อว่าในใจ
ป่าพงไพรที่ห่างจากบ้านสวนนี้สองลี้ ถังเซียวอี้ตามหาเว่ยจางในต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์จนเจอ หลังจากทั้งสองก็ยืนอยู่บนกิ่งไม้หนึ่ง แม่ทัพเว่ยดึงถุงหนังใส่น้ำตรงเอวสอบ แล้วเงยหน้าดื่มน้ำ
“ไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไรเลยหรือ” แม่ทัพเว่ยที่หลับตาอยู่ในตอนแรกก็พูดด้วยเสียงเรียบ
“อืม” ถังเซียวอี้ยกมือปิดฝาถุงหนัง จากนั้นก็สบถหยาบด้วยเสียงเบา “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าสารเลวนี่จะนิ่งเฉยได้เช่นนี้”
“พวกเราทำให้เขาจนปัญญาถึงขั้นนี้แล้ว เขาต้องไม่นิ่งเฉยแน่นอน หรือว่าพวกเราอาจลืมอะไรไป” เว่ยจางลืมตาพลางมองนภาสีครามเข้มผ่านกิ่งไม้ใบไม้ที่อุดมสมบูรณ์ พลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
“เราลงมือทีเดียวเลยดีไหม อย่างไรก็ตามหาญาติแท้ๆ ของหย่าจวิ้นได้แล้ว ทั้งยังได้ภาพวาดของหย่าจวิ้นตัวจริง กราบทูลฝ่าบาท เพื่อบัญชาให้จับกุมตัวเขาให้จบๆ ได้ชื่อเป็นเชลยชาวเกาหลี ข้าไม่เชื่อว่าองค์หญิงคนหนึ่งจะปกป้องเขาไว้ได้”
“ไม่ได้” เว่ยจางขมวดคิ้วปฏิเสธกลับอย่างเด็ดขาด “หากจัดการเขาให้สิ้นซากไม่ได้ ก็ไม่ควรสร้างเรื่องบาดหมาดใจกับองค์หญิงคังผิง” ฮ่องเต้จะได้ไม่ต้องฟังเสียงโวยวายของนางสนมกับองค์หญิงจนรู้สึกรำคาญใจ สุดท้ายก็จะคิดบัญชีกับตนเอง
ต่อให้ฮ่องเต้ไม่หาเรื่อง องค์หญิงคังผิงก็ไม่ยอมจบง่ายๆ วันข้างหน้าใครอยากใช้ชีวิตทุกข์ทรมานเพราะไม่ถูกคอกับเหล่าสตรีของฮ่องเต้ล่ะ
หากจะลงไม้ลงมือ ก็ต้องเด็ดขาด ห้ามมีปัญหาในอนาคต ตอนที่ฆ่าล้างเผ่าเกาหลีก็ไม่ควรไว้ชีวิตเชลยพวกนั้น มิเช่นนั้นก็ต้องไม่ต้องเจอกับปัญหามากมายเช่นนี้ แม่ทัพเว่ยยิ่งครุ่นคิดยิ่งขุ่นเคืองใจ
“เช่นนั้นพวกเราต้องทำอย่างไรดี จะเฝ้าสังเกตการณ์อยู่อย่างนี้ต่อหรือ” ถังเซียวอี้เริ่มหมดความอดทน เพื่อเรื่องแย่ๆ เช่นนี้ ทั้งสองที่มีฐานะเป็นถึงแม่ทัพต้องเสียเวลามาสองวันแล้ว ฮูหยินของข้ากลับจวนแล้วนะ? ตอนนี้ข้าคิดถึงอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้นมากเพียงใด!
เว่ยจางกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้น ทันใดนั้นก็รีบกลั้นหายใจ แล้วซ่อนตัวเองไว้ในพุ่มไม้อันหนาแน่น ส่วนถังเซียวอี้ก็รีบซ่อนตัวเองไว้เป็นอย่างดี
ร่างของบุรุษซูบผอมคนเมื่อครู่นี้ปรากฏขึ้น เขาอาศัยแสงจันทรายามราตรีก้าวเดินไปด้านหน้าด้วยสายตาว่องไว เพียงในชั่วพริบตา ก็เดินออกไปได้สิบกว่าจั้งแล้ว
ตามไป! เว่ยจางส่งสัญญาณมือให้ถังเซียวอี้แล้วตามออกไปก่อน ถังเซียวอี้ก็ใช้วิชาตัวเบาตามไปอีกเส้นทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เว่ยจางและถังเซียวอี้คอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในละแวกนี้ก็ถือว่าไม่สูญเปล่า ในรัศมีหลายสิบลี้มีถนนอะไรบ้าง ถนนไหนเชื่อมกับถนนไหน ตรงไหนมีทางโค้งและตรงไหนมีหลุม พวกเขาจดจำได้เป็นอย่างดี อีกอย่างครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มีกันแค่สองคน เว่ยจางยังสั่งให้กองทัพนกอินทรียี่สิบนายคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในละแวกบ้านสวนขององค์หญิงคังผิง คนในบ้านสวนไม่ว่าไปมุ่งหน้าไปทิศทางใด ก็ไม่พ้นสายตาของแม่ทัพเว่ย
เพียงแต่ว่าบุรุษผู้นี้กลับดวงซวยเล็กน้อย เพิ่งจะออกจากบ้านสวนก็เจอกับแม่ทัพทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันบนต้นไม้แล้ว
เว่ยจางรักษาระยะห่างกับชายหนุ่มร่างผอมคนนั้นไว้ตลอดเวลา ตอนเห็นเขาชะงักฝีเท้าลงตรงที่โล่งแจ้งจากที่ไกลๆ เว่ยจางก็ชะงักฝีเท้าแล้วซ่อนตัวเองไว้ในพุ่มไม้อันหนาแน่นทันที
สถานที่โล่งแจ้งนับสิบจั้งที่ไร้สิ่งใดบดบัง มีเพียงหญ้าเขียวขจีที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ชายหนุ่มซูบผอมยืนมองซ้ายแลขวา ท่าทางดูระมัดระวังตัวยิ่งนัก
ท้ายที่สุดก็รู้สึกสบายใจ จึงยัดนิ้วเข้าปากเลียนแบบเสียงนกเขาร้อง นกชนิดนี้ไม่มีในเขตตอนกลาง เป็นนกไม่มีอะไรโดดเด่นที่เติบโตในเขตตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นมีคนส่วนน้อยที่รู้ ทว่าบังเอิญเว่ยจางรู้จักนกชนิดนี้ แล้วยังเคยจับมาย่างกิน
เสียงนกร้องเสียงสั้นสามครั้งและเสียงยาวหนึ่งครั้ง ดังเช่นนี้สามรอบ ไม่นาน ก็มีร่างผอมบางปรากฎในที่มืด ดูจากที่ไกลๆ เหมือนจะเป็นสตรี
เว่ยจางหมอบลงบนพื้น แล้วเงี่ยหูไปแนบกับพื้น
ระยะทางสิบกว่าจั้ง เขาได้ยินเสียงพูดคุยของทั้งสองคนนั้นอยู่บ้าง
“นายท่านบอกว่าปฏิบัติการได้”
“ได้”
“ต้องให้ไว! นายท่านรอไม่ไหวแล้ว…”