หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 503 สตรีสติวิปลาสโวยวาย คำพูดอันน่าตกตะลึงของเด็ก (5)
ตอนที่ 503 สตรีสติวิปลาสโวยวาย คำพูดอันน่าตกตะลึงของเด็ก (5)
จิ้งเฟยแสยะยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ใช่ว่ายังมีจางฉางเป่ยอยู่หรือไร เจ้ามีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซงกับพระอาการประชวรของฝ่าบาทตั้งแต่เมื่อใด”
“หม่อมฉันเข้าวังหลวงตามพระราชโองการเพคะ หากเหนียงเหนียงไม่เชื่อ ก็ส่งคนไปถามไหวเอินกงกงก็จะทรงทราบเองเพคะ” ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่คิด หากเจ้าไม่ได้สืบมาชัดเจน แล้วจะรู้ว่าข้าอยู่ที่ตำหนักจื่อเฉินได้อย่างไร
“ฮึ เจ้ากลับมีวิธีมากมายในการเอาตัวรอดจริงๆ ออกเรือนยังไม่ทันไร ก็ทำให้ฝ่าบาทเข้าข้างเจ้าอีกแล้ว” จิ้งเฟยยิ้มเย้ยหยัน “ข้าที่เป็นนางสนมยังเทียบเทียมกับเจ้าไม่ได้เลย”
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่ต่อว่าถึงบรรพบุรุษแปดรุ่นของจิ้งเฟยไปหนึ่งรอบ ทว่าสีหน้ากลับยังคงรอยยิ้มจางๆ “เหนียงเหนียงตรัสชมเกินจริงแล้ว หม่อมฉันเพียงแค่มีฝีมือทางการแพทย์เล็กน้อยเท่านั้น”
จิ้งเฟยนึกไม่ถึงว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ อีกอย่างยังเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา นี่…ได้คืบจะเอาศอกชัดๆ! เพียงแต่ฐานะของนาง คงไม่อาจโวยวายเหมือนบุตรี จึงทำได้เพียงยิ้มเยาะเย้ย “หมอหลวงเหยาตีหน้าตายได้เก่งพอสมควร”
เหยาเยี่ยนอวี่จงใจทำสีหน้าไม่สลดกว่าเดิม “ขอบพระทัยในคำตรัสชมของเหนียงเหนียงเพคะ” หากหน้าด้านหน้าทนไม่พอจะกล้ายืนอยู่ในตำหนักจิ่งหวาของเจ้าได้อย่างไร
“…” จิ้งเฟยได้ยินคำพูดนี้ถึงกับตรัสอะไรไม่ออก เคร่งเครียดจนดวงหน้าซีดเซียว
“หากเหนียงเหนียงไม่มีสิ่งใดจะบัญชาแล้ว หม่อมฉันขออำลาเพคะ” เหยาเยี่ยนอวี่โค้งคำนับอีกครั้ง
“เหยาเยี่ยนอวี่!” ท้ายที่สุดจิ้งเฟยก็ระเบิดอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกมา “เจ้าไม่เห็นเปิ่นกงในสายตาเกินไปหรือเปล่า! ใครก็ได้! ลากตัวนางไปสั่งสอนที!”
หมัวมัวที่คอยอบรมกฎระเบียบวังในเดินหน้ามา แล้วกำลังจะลากตัวเหยาเยี่ยนอวี่ไป
เหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตามองพวกนางพร้อมถามด้วยเสียงเยือกเย็น “พวกเจ้าดูชุดเครื่องแบบของข้าให้ดี ข้าเป็นคนที่พวกเจ้าจะลากตัวไปสั่งสอนได้กระนั้นหรือ”
นางที่อยู่ใส่ชุดเครื่องแบบหมอหลวงระดับสาม แม้ขุนนางหมอหลวงจะไม่เทียบเท่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ ทว่ายังคงเป็นชุดเครื่องแบบราชสำนัก นางสวมเครื่องแบบราชสำนักก็ถือเป็นตัวแทนฮ่องเต้และราชสำนัก อย่างไรหมัวมัวก็เป็นเพียงบ่าววังใน จะบังอาจไปแตะต้องขุนนางราชสำนักได้อย่างไร
เหยาเยี่ยนอวี่มองหมัวมัวสองคนที่ดูหวาดผวาแล้ว จึงหันไปยิ้มให้จิ้งเฟยเหนียงเหนียง พร้อมทูล “หากเหนียงเหนียงคิดว่าหม่อมฉันกระทำผิด ก็ไปทูลฝ่าบาทโดยตรง หม่อมฉันถูกยึดชุดเครื่องแบบแล้วค่อยลงโทษก็ยังไม่สาย ทว่าในสภาพตอนนี้ คนนอกคงไม่หาว่าหม่อมฉันถกเถียงเหนียงเหนียงหรอก คงจะบอกว่าเหนียงเหนียงดูหมิ่นฝ่าบาทและกฎระเบียบวังหลวง เช่นนี้คงจะไม่ดีหรือเปล่า”
“เจ้า!” จิ้งเฟยตึงเครียดจนดวงหน้าขาวซีด นางอยู่ข้างกายฮ่องเต้มาสามสิบกว่าปี นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ถูกผู้อื่นชี้หน้าต่อว่าเช่นนี้
“เหยาเยี่ยนอวี่ นางสารเลว! รนหาที่ตายชัดๆ! พวกนางไม่กล้าแตะต้องเจ้า เปิ่นกงกลับไม่กลัว!” องค์หญิงคังผิงพูดไป ก็ลงจากเตียงกำลังเดินมาสั่งสอนนาง
เหยาเยี่ยนอวี่ถอยไปด้านหลังสองก้าว แล้วยิ้มเย็นชา “องค์หญิงได้รับบาดเจ็บศีรษะอยู่ หากไม่ระวัง อาจทำให้เป็นบาดทะยักได้”
“เจ้าไปตายก่อนเถอะ!” องค์หญิงคังผิงตรัสไป ก็กำลังจะตบหน้าเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่หลบไปด้านข้างเล็กน้อย พลิกข้อมือเบาๆ ไม่รู้ว่าไปโดนส่วนไหนขององค์หญิงคังผิง จู่ๆ นางก็เข่าอ่อน ล้มลงบนพื้นทันที
“องค์หญิง! ระวัง!” เหล่านางกำนัลด้านข้างเดินหน้าไปพยุง แล้วยังมีหมัวมัวอีกคนที่กำลังจะเดินหน้ามาจัดการเหยาเยี่ยนอวี่
ขณะที่เหยาเยี่ยนอวี่กำลังหลบ นอกประตูก็มีเสียงตะโกนดังลั่นขึ้น “พระราชโองการลงมา! จิ้งเฟยเหนียงเหนียงรับพระราชโองการนี้!”
คนในตำหนักต่างนิ่งงัน สุดท้ายก็คือจิ้งเฟยที่หลุดออกจากภวังค์ก่อน จึงจัดระเบียบเครื่องแต่งกาย แล้วคุกเข่าน้อมรับพระราชโองการ
“พระราชโองการความว่า จิ้งเฟยขาดวิธีอบรมสั่งสอนราชบุตรี ไร้คุณธรรมไร้จริยธรรม ในฐานะที่เป็นเฟยกลับไม่ขบคิดรอบคอบ กลับผิดเป็นถูก ทำให้วังในไร้ความสงบสุข เพิกถอนตำแหน่งเฟย ลดเป็นตำแหน่งผิน ถูกสั่งให้ย้ายไปอาศัยในตำหนักข้างจิ้งหวา ณ บัดนี้ พระราชานุญาตตามนี้!”
“ฝ่าบาท…” จิ้งเฟยตะลึงงันไป แม้กระทั่งจะตรัสอะไรก็ไม่รู้เลย นางก็มีพระชนมายุประมาณห้าสิบชันษาแล้ว ถึงแม้นางไม่มีราชบุตร คงไม่ต้องการตำแหน่งที่สูงศักดิ์กว่านี้ ทว่าเวลานี้ถูกลดตำแหน่งเป็นผินอย่างกะทันหัน กลับทำให้รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมา
ทว่านี่ก็ไม่โทษฮ่องเต้ คิงผิงกระทำผิดที่ใหญ่หลวงเช่นนั้น ทำให้ฮ่องเต้ทรงเครียดจนหมดสติ จิ้งเฟยเหนียงเหนียงแค่สั่งให้คนพาบุตรีกลับมา กลับไม่ได้ไปรับโทษที่ตำหนักจื่อเฉิน นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีสั่งสอนบุตรี ขาดคุณธรรมและจริยธรรมหรือไร
เหยาเยี่ยนอวี่มองสองแม่ลูกที่ทรุดบนพื้นเพียงปราดเดียว พร้อมยิ้มจางๆ ไม่พูดไม่จา
ขันทีที่ประกาศพระราชโองการคือบุตรบุญธรรมของไหวเอิน เขาอ่านพระราชโองการเสร็จ ก็หันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมพูดด้วยเสียงเรียบ “หมอหลวงเหยา ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว กำลังตามตัวท่านพอดี ท่านได้โปรดรีบกลับตำหนักจื่อเฉินเถอะ”
“ได้” เหยาเยี่ยนอวี่คงรอยยิ้มจางๆ แล้วปรายมองตาสองแม่ลูกที่กองอยู่บนพื้น หันหลังจากไป
องค์หญิงคังผิงกำลังลุกขึ้นชี้หน้าสบถหยาบขันทีที่ประกาศพระราชโองการอีกครั้ง กลับถูกจิ้งเฟยดึงตัวมาปิดปากไว้ “เจ้าเงียบปากเดี๋ยวนี้! จัดระเบียบตัวเองให้เรียบร้อย แล้วตามข้าไปยอมรับความผิดที่ตำหนักจื่อเฉิน!”
องค์หญิงคังผิงนิ่งงัน หันไปมองขันทีที่ปั้นหน้านิ่งเฉยแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ต่อให้นางจะโง่เขลาดักดานก็รู้ว่าขันทีผู้นี้เป็นคนสนิทของฮ่องเต้ คนคนนี้เพียงกลับไปทูลคำพูดไม่เสนาะหูกับฮ่องเต้สองสามคำ เกรงว่ามารดาของตนคงยิ่งโชคร้ายกว่านี้
องค์หญิงคังผิงจัดระเบียบเครื่องแต่งกายเสร็จ แล้วติดตามจิ้งผินไปยอมรับความผิดที่ตำหนักจื่อเฉิน อารักขาข้างกายฮ่องเต้คงไม่อาจขวางจิ้งผินอยู่แล้ว ทว่าพวกนางสองแม่ลูกเดินไปถึงหน้าประตูกลับไม่กล้าฝ่าเข้าไปโดยตรง จิ้งผิงจูงมือบุตรีไว้ สองแม่ลูกคุกเข่าลงทันที
เวลานี้ประตูตำหนักจื่อเฉินเปิดกว้าง เสียงเสวนาด้านในดังออกมาอย่างชัดเจน
“เหยาเยี่ยนอวี่ ตอนอยู่ตำหนักจิ่งหวา เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว” พระสุรเสียงของฮ่องเต้ดังขึ้น
เหยาเยี่ยนอวี่ทูลกลับด้วยเสียงกังวาน “ทูลฝ่าบาท ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยเพคะ เหนียงเหนียงเพียงตามหม่อมฉันไปดูอาการขององค์หญิงเท่านั้น ฝ่าบาททรงวางพระทัยเถอะ ถึงแม้องค์หญิงได้รับบาดเจ็บตรงศีรษะ โชคดีที่พวกเขาทายาให้องค์หญิงได้ทันเวลา หม่อมฉันมองจากสีพระพักตร์ขององค์หญิง คงไม่มีอาการร้ายแรงอะไรเพคะ”
องค์หญิงคังผิงที่อยู่นอกประตูก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป อยากลุกขึ้นพุ่งทะยานไปด้านใน กลับถูกจิ้งผินดึงไว้ด้วยสายตาที่ข่มขู่ ก่อนหน้านี้เหตุเพราะนางประมาทเกินไป มัวคิดถึงแต่ชีวิตของบุตรี จึงละเลยเรื่องที่บุตรีฝ่าเข้าไปโวยวายกับฮ่องเต้ เวลานี้หากยังกระทำผิดอีก พวกนางสองแม่ลูกคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน
“ว่าไปแล้ว นี่คือความผิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันน้อมรับความผิดแทนจิ้งผินเองเพคะ” นี่เป็นเสียงของเฟิงฮองเฮา
“พอเถอะ เจ้าก็ยังประชวรอยู่ วังในก็มีเรื่องยุ่งวุ่นวายมากมายมาโดยตลอด หากเจ้าไร้ชีวิตชีวา ก็ให้ฮุ่ยเฟยและเสียนเฟยช่วยเจ้าเถอะ” ฮ่องเต้ตรัสด้วยเสียงเรียบ นี่ถือว่าเป็นการว่ากล่าวตำหนิฮองเฮาแล้ว
ต่อหน้าเหยาเยี่ยนอวี่และจางฉางเป่ย ฮองเฮาที่ได้ยินคำพูดฮ่องเต้ สีพระพักตร์ดูไม่ดีจริงๆ ทว่าเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ในฐานะที่เป็นฮองเฮาปกครองวังใน เกิดเรื่องเช่นนี้นางเองก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ นางก็ไม่อาจไม่สบอารมณ์ได้ ดังนั้นฮองเฮาจึงคิดบัญชีนี้กับจิ้งผินและองค์หญิงคังผิง
สำหรับละครเพลงวังในจะดำเนินต่ออย่างไร เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย สิ่งที่นางพึงกระทำก็คือดูแลพลานาลัยของฮ่องเต้ให้ดี แล้วคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเองก็พอแล้ว ดังนั้นจึงถือโอกาสถวายบังคมทูลกลับทันที “หม่อมฉันขอตัวไปดูยาต้มของฝ่าบาทเพคะ”
“เรื่องพวกนี้ให้หมอหญิงที่คอยดูแลยาทำก็พอ เจิ้นไม่มีธุระอะไรแล้ว พวกเจ้าออกไปกันเถอะ” ฮ่องเต้ผายพระหัตถ์ให้เหยาเยี่ยนอวี่และจางฉางเป่ย
เหยาเยี่ยนอวี่หวังให้เป็นเช่นนี้อย่างยิ่ง ดังนั้นคุกเข่าทูลอำลาทันที ตอนออกประตู เห็นสองแม่ลูกคุกเข่าบนพื้นกระเบื้องทอง เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ชะลอฝีเท้า เดินผ่านไปอย่างเร่งรีบ ราวกับกลัวว่าเผลอไม่ระวังตัวก็อาจติดเสนียดจัญไรจากสองแม่ลูกคู่นี้มาได้