หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 504 วิงวอนขอบุตร (1)
ตอนที่ 504 วิงวอนขอบุตร (1)
หลังจากจางฉางเป่ยและเหยาเยี่ยนอวี่ออกไปด้านนอก ฮ่องเต้บัญชาไหวเอินด้วยเสียงเรียบ “ให้พวกนางสองคนเข้ามาเถอะ”
องค์หญิงคังผิงเม้มปาก แววตาประกายความหวัง จิ้งผินหันไปมองคังผิงทันที แล้วใช้สายตาตักเตือนนางว่า ประเดี๋ยวตอนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ต้องยอมรับความผิดแต่โดยดี ห้ามดื้อดึง พูดจาเหลวไหลอีกเด็ดขาด
สองแม่ลูกลุกขึ้นเข้าไปในตำหนัก ก็เห็นฮ่องเต้พิงอยู่บนตั่งไม้ ฮองเฮานั่งอยู่ข้างตั่งไม้ ทั้งสองมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย ไม่สื่อถึงอารมณ์รื่นเริงแม้แต่น้อย
“ถวายบังคมฝ่าบาทและฮองเฮาเพคะ” จิ้งเฟยและบุตรีต่างคุกเข่าลงตรงหน้าตั่งไม้ที่ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่
ฮองเฮาเหลือบพระเนตรไปยังฮ่องเต้ ไม่มีวี่แววว่าฮ่องเต้จะตรัสให้ลุกขึ้น ฮองเฮาก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วตรัสถาม “คังผิง แผลตรงศีรษะเจ้าไม่เป็นเช่นไรแล้วใช่ไหม”
องค์หญิงคังผิงพลันทูลกลับ “ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณของฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ เมื่อครู่หมอหลวงเหยาก็ทูลไปแล้ว แผลของหม่อมฉันไม่มีอาการร้ายแรงอะไรเพคะ”
“ไหนๆ ก็ไม่มีอาการอะไรร้ายแรงแล้ว ก็กลับไปพักฟื้นที่จวนของเจ้าเถอะ อย่ามาคุกเข่าอยู่ที่นี่” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเรียบ น้ำเสียงค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย
จิ้งผิงได้ยินคำพูดนี้ก็ส่งสายตาให้บุตรีทันที ให้นางรีบขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณนี้
ใครจะไปรู้ว่าองค์หญิงคังผิงกลับไม่เห็น แล้วยังคลานไปตรงหน้าตั่งไม้ พลางอ้อนวอนด้วยเสียงเศร้าหมอง “เสด็จพ่อ ได้โปรดปล่อยหย่าจวิ้นไปเถอะ! เขาเป็นเพียงซิ่วไฉคนหนึ่ง รู้ทักษะการขี่ม้ายิงธนูอยู่บ้าง ลูกถึงได้เก็บเขาไว้ข้างกาย เสด็จพ่ออย่าไปฟังพวกเว่ยจางพูดจาเหลวไหล ลูกเจอเขาครั้งแรกที่บ้านสวนเขตนอกเมือง มีความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นองค์ชายเกาหลีได้อย่างไร”
ทว่าคังผิงมัวแต่พูดเองเออเอง กลับไม่ทันได้สนใจสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ที่ยิ่งอยู่ยิ่งแย่ลง ฮ่องเต้ขมวดพระขนงเป็นปม ทอดพระเนตรไปยังองค์หญิงคังผิงราวกับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว สีพระพักตร์ทั้งประหม่าทั้งเต็มไปด้วยเห็นอกเห็นใจ
จิ้งผินตกใจจนหน้าซีดเซียว รีบเดินหน้าไปดึงรั้งบุตรีไว้ พร้อมดุด่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมากล่าวถึงเรื่องใหญ่ของแคว้นโดยไม่ยั้งคิดเช่นนี้! เสด็จพ่อสั่งให้เจ้ากลับไป ยังไม่รีบขอบพระทัยอีกหรือ!”
พอองค์หญิงคังผิงเอ่ยถึงหย่าจวิ้นก็ลนลานจนเงียบปากไม่ได้ เวลานี้จะฟังคำพูดของจิ้งผินเข้าหูไปได้อย่างไร อีกอย่างยังพยายามสะบัดมือของจิ้งผินออก แล้วเข้าไปกอดพระชงฆ์ของฝ่าบาทไว้ อ้อนวอนไม่หยุด “เสด็จพ่อ ได้โปรด! เสด็จพ่อ เหลียงจวิ้นเป็นคนไม่เอาถ่าน ซ้ำยังลักลอบเสพสังวาส ลูกอดทนมาหลายปีจนเกินพอแล้ว! ลูกจะหย่าร้างกับเขา ลูกจะใช้ชีวิตร่วมกับหย่าจวิ้น…”
“บังอาจ!” ฮ่องเต้เครียดจนสีพระพักตร์ย่ำแย่ยิ่งนัก ได้ยินเช่นนี้ก็มิอาจทนฟังต่อไปอีก จึงยกพระบาทเตะองค์หญิงกระเด็นไปให้พ้น “ช่างไม่รู้จักยางอายแม้แต่น้อย!”
แม้ฮ่องเต้จะมีพระชนมายุย่างเข้าหกสิบพรรษาแล้ว ทว่าเหตุเพราะไม่เคยขาดการฝึกขี่ม้ายิงธนู เวลานี้ยังเคร่งเครียดอย่างยิ่ง จังหวะที่เตะตรงกลางอกของราชบุตรีตนเองจึงไม่ทันได้ออมแรงไว้ ทำให้องค์หญิงคังผิงกรีดร้องอย่างทรมานจนทรุดลงไปกองบนพื้นด้วยสภาพที่หายใจไม่คล่อง
“คังผิง เจ้าก็ทำเกินไปแล้ว เจ้ากับราชบุตรเขยมีบุตรชายหนึ่งและบุตรีสองคนแล้ว ตอนนี้กลับหย่าร้างกับราชบุตรเขยเพื่อเชลยชาวเกาหลีกระนั้นหรือ เจ้าจะไม่ตกเป็นที่หัวเราะเยาะของคนใต้หล้านี้หรือ เจ้าเอาชื่อเสียงของราชวงศ์ไว้ที่ไหน เอาเสด็จพ่อเจ้าไปไว้ไหน เมื่อครู่เหยาเยี่ยนอวี่ยังบอกว่าแผลของเจ้าไม่เป็นไร ตามที่เปิ่นกงเห็น เกรงว่าสมองของเจ้าคงจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงแล้วหรือเปล่า!” ฮองเฮาต่อว่าอย่างไม่พอพระทัย
ราชบุตรเขยเหลียงจวิ้นเป็นบุตรชายของเหลียงซือเชียน เหลียงซือเชียนคือหลานชายของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง จึงเป็นญาติผู้พี่ของเฟิงฮองเฮา เมื่อครู่องค์หญิงคังผิงเอ่ยถึงเหลียงจวิ้นเป็นคนไม่เอาถ่าน ฮองเฮาจะไม่โกรธเกรี้ยวได้อย่างไร
เพียงแต่ตอนนี้องค์หญิงคังผิงเหมือนถูกปีศาจสิงร่าง คิดแต่จะช่วยชีวิตหัวแก้วหัวแหวน จึงไม่สนคำเย้ยหยันของฮองเฮา รอให้นางกลับมาหายใจคล่องขึ้น เดินหน้าไปขอร้องฮ่องเต้อีกครั้ง
จิ้งผินเครียดจนขาดสติ เดินหน้าไปลากตัวบุตรีกลับมา พร้อมทั้งตบหน้านางหนึ่งฉาด “สารเลว! ขืนยังพูดจาเหลวไหล ข้าจะไม่นับเจ้าเป็นบุตรีอีก!”
หลังจากองค์หญิงคังผิงถูกมารดาตบหน้า จึงนิ่งงันไปชั่วขณะ เพียงแค่ว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ไม่ได้รับการเห็นอกเห็นใจจากฮ่องเต้ กลับทำให้ยิ่งโกรธเคืองขึ้น ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ผลักโต๊ะด้านข้าง พลางสบถหยาบอย่างโมโหดั่งเพลิงกาฬ “ไสหัวออกไปให้หมด! ไสหัวออกไป!”
จิ้งผินสะดุ้งตกใจในความโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้ จึงรีบคุกเข่าลงบนพื้น “หม่อมฉันสมควรตาย…ฝ่าบาทได้โปรดอภัย”
“ไสหัวไป! ไสหัวไป! ไปให้พ้น…” ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์พร้อมโบกพระหัตถ์ไม่หยุด ตรัสแต่เพียงไสหัวไปให้พ้น จนกว่าจิ้งผินลากตัวองค์หญิงคังผิงจากไปแล้ว ค่อยตรัสกับฮองเฮาอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าก็ไสหัวไป!”
ฮองเฮากัดฟันกรอด ลุกขึ้นด้วยสีพระพักตร์บึ้งตึง พลางถวายบังคม “ฝ่าบาทรักษาพลานามัยให้ดี หม่อมฉันขออำลาเพคะ”
เฟิงฮองเฮาเป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดิน หลังจากกลับถึงตำหนักเฟิ่งอี้ก็รีบออกพระราชเสาวนีย์ทันที “องค์หญิงคังผิงทรงประชวร จวนองค์หญิงไม่สะดวกแก่การรักษาอาการ สั่งให้คนส่งนางไปสงบจิตใจที่วิหารฉือซินจนกว่านางจะหายดี”
อารักขาขาสี่คนของฮองเฮาจึงประกาศพระราชเสาวนีย์นี้ลงไป
แน่นอนว่าองค์หญิงคังผิงย่อมไม่ทำตาม ทว่าหมัวมัวและอารักขากลับต้องปฏิบัติตามคำบัญชา จึงใช้ยาสลบและใช้ผ้าห่มห่อหุ้มร่างองค์หญิงคังผิงไว้บนรถม้า แล้วส่งไปที่วิหารฉือซิน
ผ่านไปได้ไม่นาน จิ้งผิงเป็นกังวลบุตรีจนล้มป่วย เพื่อให้นางพักฟื้นร่างกายอย่างสบายใจ จึงไม่ให้มาแบ่งเบาภาระหน้าที่ในวังในอีก ฮองเฮารับสั่งให้นำตัวนางออกจากตำหนักจิ่งหวาไปส่งที่ตำหนักมู่เอิน ซึ่งเป็นตำหนักที่เงียบสงบที่สุดในวังหลวง
สำหรับคำพูดต่อจากนี้ ก็ไม่ต้องกล่าวถึงอย่างละเอียดแล้ว
เพียงกล่าวถึงวันนั้นที่แม่ทัพเว่ยพายัยหนูน้อยซูจิ่นเย่ว์ไปกินของว่างอันเลิศรสที่ซูเย่ว์ไจ ก็ไม่ลืมรสชาตินั้นอีกเลย ดังนั้นตอนที่กลับจวนก็ได้เอ่ยถึงของว่างอันเลิศรสกับมารดา
“ของว่างของโรงน้ำชาแห่งหนึ่งอร่อยมาก เย่ว์เอ๋อร์ชอบมากจริงๆ”
“ท่านลุงของโรงน้ำชาก็ใจดีกับเย่ว์เอ๋อร์มากเจ้าค่ะ”
“ของว่างที่นั่นไม่ใช่จวนท่านน้า”
“ชื่อของที่นั่นยังเหมือนชื่อของเย่ว์เอ๋อร์แน่ะ”
“เมื่อใดท่านแม่ถึงจะพาเย่ว์เอ๋อร์ไปกินของว่างโรงน้ำชานั้น”
คำพูดเหล่านี้เอ่ยออกจากปากของยัยหนูน้อย เหยาเฟิ่งเกอเอาคำพูดมาปะติปะต่อกันแล้ว ก็สะดุ้งตกใจทันที
ดังนั้นจึงรีบตามแม่นมมาถาม ถึงรู้ว่าแม่ทัพเว่ยกลัวว่าเย่ว์เอ๋อร์จะรบกวนเวลาพักผ่อนของเหยาเยี่ยนอวี่ เลยพานางออกไปขี่ม้าเล่น บังเอิญเจอเหิงจวิ้นอ๋องกลางทางพอดี ท่านอ๋องเลยเชิญแม่ทัพเว่ยและยัยหนูน้อยไปกินของว่างที่ซูเย่ว์ไจ ทั้งยังเสวนากันไปสักพัก
หลังจากที่พลานาลัยของฮ่องเต้ได้รับการรักษาจากเหยาเยี่ยนอวี่ติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดวัน ก็ค่อยๆ ฟื้นฟูเหมือนในตอนแรก เรื่องขององค์หญิงคังผิงก็เงียบไป ฮ่องเต้ทรงไม่ตรัสถามถึง คนในวังหลวงก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง
เหตุเพราะจางฉางเป่ยเขียนสาส์นกราบทูลหนึ่งฉบับว่า ตนอายุมากแล้ว จึงไม่มีพลังดูแลพลานามัยของฮ่องเต้อีก ยังทูลว่าเหยาเยี่ยนอวี่มีความสามารถไร้เทียมทาน ทั้งยังได้รับการอบรมสั่งสอนจากตนแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทได้โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เขามีเวลาได้พักผ่อน ขอให้เหยาเยี่ยนอวี่รับหน้าที่แทนตน
ฮ่องเต้ทรงพระราชดำริสักพัก ถึงจะออกพระราชโองการเลื่อนตำแหน่งเหยาเยี่ยนอวี่ให้เป็นหมอหลวงขั้นสามระดับสูง ทั้งยังพระราชทานป้ายหยกเข้าวังหลวงให้นาง
เมืองหลวงอวิ๋นเกิดความวุ่นวายพวกนี้ไปครึ่งค่อนเดือน จวนองค์หญิงคังผิงใกล้จะสูญสิ้น ที่พึ่งพาอันทรงอำนาจที่สุดของเหลียงซือเชียนไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตระกูลเหลียง จวนอัครเสนาบดีเฟิงพลอยลำบากไม่มากก็น้อย อีกทั้งเฟิงฮองเฮาที่เพิ่งถูกฮ่องเต้สบถใส่ไป อารมณ์ค่อนข้างหม่นหมอง สภาพร่างกายสองวันนี้ไม่สู้ดีนัก