หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 507 วิงวอนขอบุตร (4)
ตอนที่ 507 วิงวอนขอบุตร (4)
ว่าไปแล้วเหยาเยี่ยนอวี่ยังคงละโมบโลภมากในการเสพสุข อย่างไรนางก็มีเงื่อนไขเพียงพอที่จะดื่มด่ำกับชีวิตที่สุขสบาย ฉะนั้นก็ยังไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้ตัวเองต้องลำบาก
นางเป็นคนออกแบบห้องอาบน้ำของเรือนเยี่ยนอาน อ่างอาบน้ำทรงดอกไห่ถังทำจากหินสีนิล ตรงกลางลึกลงไป เส้นผ่านศูนย์กลางยาวเจ็ดฉื่อ ขอบและพื้นอ่างปูด้วยหินคล้ายหยกสีนิลและสลักลายอย่างสวยงาม อ่างทั้งสี่ด้านล้อมรอบด้วยกระจกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นกระจกขัดฝ้าที่สลักด้วยลวดลายอันประณีต
ในอ่างเติมน้ำอุ่นพร้อมโรยด้วยดอกมะลิอันหอมกรุ่น คลื่นน้ำดั่งหมึก กลีบดอกไม้ขาวบริสุทธิ์ กลิ่นอ่อนมะลิปะปนไปกับไอน้ำที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว ดูเป็นบรรยากาศที่เย้ายวนใจนัก
เว่ยจางเข้ามาก็รีบไล่สาวใช้ชั้นล่างด้านในออกไปให้หมด หลังจากนั้นก็อาสาถอดเสื้อผ้าตัวหลวมของฮูหยิน แล้วอุ้มนางเข้าไปแช่ในน้ำ จากนั้นกระชากเสื้อผ้าของตนออกอย่างรุนแรงแล้วรีบตามเข้าไปด้านใน
อ่างอาบน้ำไม่ถือว่าเล็กมาก ทว่าแม่ทัพเว่ยมีร่างสูงใหญ่ เมื่อเข้าไปพร้อมกันทั้งสองคนจึงค่อนข้างเบียดกัน
“ขยับไปฝั่งโน้นหน่อยสิ” เหยาฮูหยินยกขาถีบแม่ทัพเว่ยหนึ่งที แม่ทัพเว่ยทำแววตาลุ่มลึก ยื่นมือไปจับข้อเข้าของนางไว้ แววตาดูร้อนรุ่มอย่างมาก
“เจ้าอย่าทำอะไรมั่วซั่วนะ” เหยาเยี่ยนอวี่มองใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษที่เคล้าด้วยหยดน้ำกำลังแย้มยิ้ม หน้าผากที่ดูโหดเหี้ยมนั้นถูกแสงเทียนสาดส่องจนทำให้ดูอ่อนโยนกว่าปกติ หางตาเคล้าด้วยหยดน้ำ แม้กระทั่งริมฝีปากก็เปียกปอน ทำให้ดูอิ่มน้ำน่าสัมผัส ร่างอันแข็งแรงงามสง่างามราวกับเคลือบด้วยทองคำ ทำให้เขาโดดเด่นและมีเสน่ห์มาก
เหยาเยี่ยนอวี่หลับตา พยายามเก็บความหวั่นไหวไว้ในใจแล้วทำหน้าเคร่งขรึม พร้อมพูดว่า “ก่อนจะกินมื้อค่ำ ฮูหยินส่งคนมาบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะให้ข้าไปจุดธูปขอพรที่วัดต้าเปยเป็นเพื่อน พิธีกรรมพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย ข้าต้องถือศีลกินมังสวิรัติติดต่อกันเจ็ดวัน”
“เจ้าจะไปจุดธูปขอพร?” เว่ยจางเอ่ยด้วยเสียงแหบ ราวกับเสียงเม็ดทรายกระทบลงบนวัตถุทองคำ
“ใช่” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าด้วยความจริงจัง “ไปวัดต้าเปย”
“ไปขอพรอะไร” เว่ยจางหันขยับตัวมาใกล้นางเล็กน้อย แล้วมองนัยน์ตาแววใสของนาง
“ขอ…” เหยาเยี่ยนอวี่ค่อนข้างรู้สึกลำบากใจ จึงยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม “ไปขอให้มีชีวิตที่สงบสุข”
“เช่นนั้นขอบุตรไม่ดีกว่าหรือ” เสียงแหบพร่าเร้าอารมณ์อย่างมาก ลมหายใจร้อนรุ่มกระทบตรงหูของนาง เหมือนกำลังสัมผัสกับเปลวไฟ
เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงสติเพื่อไม่ตกเข้าไปในภวังค์แห่งความลุ่มหลง แล้วถามด้วยเสียงติดขัด “ในวัดต้าเปย…มีพระโพธิ์สัตว์ขอบุตรโดยเฉพาะด้วยหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าขอข้าก็ได้” เว่ยจางยิ้มเสียงต่ำ ดวงตาดำสนิทอันลุ่มลึกราวกับค่ำคืนที่อบอุ่น
“ไปตายสิ! อย่ามาล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ” เหยาฮูหยินยิ้มเบาๆ ผลักเขาออกไปให้พ้น
“ข้าพูดความจริง” แม่ทัพเว่ยขยับเข้ามากัดปลายหูของนางเบาๆ หนึ่งที “เจ้าชอบเด็กมากเพียงนั้น พวกเรามีของตัวเองสักคนดีหรือไม่”
“ดีสิ” เหยาฮูหยินยื่นมือกอดไหล่อันแข็งแกร่งของเขาไว้ทันที
ใต้หล้านี้ ผู้ที่ชื่นชอบนางมีอยู่มาก และผู้ที่จริงใจกับนางก็มีไม่น้อย
แต่นางแค่อยากอยู่ในสายตาของเขา แค่อยากตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาเท่านั้น
แค่อยากโปรยเสน่ห์ใส่เขาเพียงคนเดียว จากนี้ไปชั่วนิรันดร์
ถึงแม้เหยาเยี่ยนอวี่จะยุ่ง ทว่าก็ไม่ถึงกับไม่มีเวลาจริงๆ แค่นางเกียจคร้านที่จะไปยุ่งกับเรื่องเหล่านั้น เมื่อเทียบกับการดูแลงานเรือน นางชอบที่จะไปทำงานวิจัยและทดลองในสำนักแพทย์ และฟังคำบรรยายของชุ่ยเวยและชุ่ยผิงที่คอยมอบความรู้ให้เหล่าหมอหญิงมากกว่า
ทว่าไหนๆ ฮูหยินผู้เฒ่าต้นตระกูลเริ่มหาเรื่องให้นางทำ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่อยากให้หวางฮูหยินลำบากใจ จึงหาเวลาว่างไปจุดธูปขอพรเป็นเพื่อนนาง
อีกทั้ง คิดๆ ดูว่าก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนพระอาจารย์คงเซียงมานานแล้ว ครั้งนี้ไปก็ยังจะเสวนาเรื่องกำลังภายในกับเขา ถึงแม้จะไปพูดคุยเรื่องปรัชญาลัทธิเต๋ากับพระอาจารย์ใหญ่ในวัดนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องประหลาดก็เถอะ
เดือนห้าวันที่สิบหก เหยาฮูหยินจึงเดินทางไปจุดธูปที่วัดต้าเปยพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง
แม้ยังไม่ถึงฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ ทว่าอากาศก็ร้อนระอุมาก อีกอย่างสวรรค์ประทานอากาศที่แจ่มใสเช่นนี้ ดวงอาทิตย์เฉิดฉายตั้งแต่เช้าตรู่ราวกับประกายไฟฤทธานุภาพ เหยาฮูหยินยืนริมหน้าต่างมองท้องนภาโปร่งใส ภายในใจรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เหตุใดถึงไม่ถามสำนักโหราหลวงแต่เนิ่นๆ ว่าวันไหนมีฝนบ้าง
เซียงหรูนำเสื้อผ้าสีแดงแกมส้มมาหนึ่งชุด เหยาเยี่ยนอวี่มองไปแล้วคิ้วขมวด “สีสันสดใสเกินไปแล้ว พวกเราไปจุดธูปขอพร ไม่ได้ไปร่วมงานฉลอง เปลี่ยนชุดสีเรียบหน่อยเถอะ”
“เจ้าค่ะ” เซียงหรูไม่กล้ามากความ เดิมทีนางก็แค่นึกว่าการเดินทางไปเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าในครั้งนี้ เหตุเพราะอายุมากคงจะชอบสวมใส่เสื้อผ้าฉูดฉาด ถึงได้หาเสื้อผ้าชุดนี้ออกมา นึกไม่ถึงว่าฮูหยินกลับไม่ใส่ ทันใดนั้นเปลี่ยนชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแทน
ทีแรกเว่ยจางบอกว่าจะไปเป็นเพื่อนฮูหยิน ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากให้เว่ยจางเกี่ยวข้องอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่า จึงให้เขายุ่งกับงานตนเอง แค่ให้ซูอวี้เหิงไปเป็นเพื่อนเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งออกประตู หวางฮูหยินอยู่สะสางงานในเรือน หนิงฮูหยินคงต้องตามไปปรนนิบัติอยู่แล้ว การเดินทางครั้งนี้ก็ขาดเหยาเชวี่ยหวาไม่ได้เช่นกัน
เนื่องด้วยที่ตั้งของจวน หากให้เหยาเยี่ยนอวี่ไปเยือนจวนเหยาก่อนคงจะไม่สะดวก ยิ่งฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเป็นคนใส่ใจในทุกรายละเอียดอยู่ด้วย จึงตื่นนอนเก็บข้าวเก็บของตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วพาหลานสะใภ้และหลานสาวออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพฝู่กั๋ว
ระหว่างทาง หนิงฮูหยินน้อยแสยะยิ้มในใจ ฮูหยินผู้เฒ่าแก่เฒ่าแล้วจริงๆ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งข่มอารมณ์ไม่อยู่ อนาคตยังไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรที่น่าขบขันขึ้นอีก โชคดีที่ฮูหยินเข้าใจในทุกอย่าง รับมือและแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ทันเวลา
รถม้าตระกูลเหยาถึงประตูจวนแม่ทัพ เหยาเยี่ยนอวี่ก็บังเอิญขึ้นรถม้าอยู่พอดี รถม้ายังไม่ได้ไปไหน คนขับรถม้าก็บอกว่ารถม้าของฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิงรีบลงไปน้อมคำนับฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเลิกม่านรถม้ามองประตูอันโอ่อ่าของจวนแม่ทัพฝู่กั๋วแล้วพูดยิ้มๆ “สมกับเป็นจวนแม่ทัพจริงๆ ไม่เหมือนจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นแม้แต่น้อย”
ซูอวี้เหิงยิ้มจางๆ “ไหนๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็มาถึงแล้ว คงไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่เข้าจวน เชิญลงรถม้าไปจิบชาด้านในเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่แล้ว พวกเราไปจุดธูปก่อน กลับมาค่อยว่ากันอีกที” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยิ้มอย่างพึงพอใจ “ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าอาจกล่าวโทษก็ได้”
“เช่นนั้นพวกเราไปเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไป หมุนตัวกำลังขึ้นรถตนเองไปพร้อมกับซูอวี้เหิง กลับถูกฮูหยินผู้เฒ่ารั้งไว้ “เจ้ามานี่ พวกเราจะได้พูดคุยกันระหว่างทาง”
ต่อให้เหยาเยี่ยนอวี่จะไม่ยินยอมมากเพียงใดก็ปฏิเสธคำเชื้อเชิงของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ อีกอย่างทีแรกวันนี้นางก็ต้องการทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหายขุ่นเคืองใจอยู่แล้ว จึงยิ่งไม่มีเหตุผลต้องคัดค้านนางเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ดังนั้นจึงเลิกชายกระโปรงขึ้นรถม้าของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไป
กลับกล่าวถึงเหยาเชวี่ยหวาที่นั่งกับฮูหยินผู้เฒ่าในตอนแรกก็ออกจากรถม้าด้วยรอยยิ้มรื่นเริง “ข้าไปนั่งกับพี่ซู”
ซูอวี้เหิงยิ้มจางๆ ไม่ได้มากความอะไร ถึงแม้นางก็เป็นบุตรีอนุภรรยา ทว่าถังเซียวอี้คือรองแม่ทัพขั้นห้า นางคือฮูหยินของเขา วันที่สมรสกันก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอี๋เหรินขั้นห้าแล้ว จะไปนับพี่นับน้องกับคนนี้อย่างง่ายดายได้อย่างไร
เหยาเยี่ยนอวี่มองซูอวี้เหิงพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เจ้าไปนั่งกับพี่สะใภ้รองดีหรือไม่ รถม้าด้านหน้ายังมีชุ่ยเวยและจั๋วอวี้ ซูฮูหยินกลัวความแออัดที่สุดแล้ว ขืนเจ้ายังพาสาวใช้อีกคนไปนั่ง คันนั้นคงจะเบียดกันน่าดู”