หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 510 ความคิดฟุ้งซ่านและหมกมุ่น (3)
ตอนที่ 510 ความคิดฟุ้งซ่านและหมกมุ่น (3)
“ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยชมเกินจริงแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพลันยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ทันใดนั้นทุกคนต่างนั่งลง สาวใช้ด้านข้างรินน้ำชาใหม่อีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงและฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพูดคุยกันพอเป็นพิธี ประเด็นเสวนาก็คือเหยาเยี่ยนอวี่ เริ่มจากตอนนั้นที่เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือช่วยเหลือ แล้วพูดถึงความใจกว้างมีน้ำใจของนาง ทั้งยังมีเชยชมถึงฝีมือทางการแพทย์อันเก่งกาจของนาง
เหยาเชวี่ยหวานั่งก้มหน้าอยู่ด้านหลัง ถือโอกาสจิบชาลอบมองเฟิงเซ่าเชินที่อยู่ตรงหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าสองคนกำลังพูดอะไรอยู่นั้น ไม่ได้เข้าหูนางแม้แต่น้อย นางแค่จดจ่อกับคุณชายเฟิงที่กำลังเสวนากับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างสนุกสนาน
ถึงแม้เขาจะเอ่ยถึงเรื่องบำรุงดูแลสุขภาพ ยาต้มอะไร น้ำแกงบำรุงอะไร ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าควรบำรุงด้านใด จวิ้นจู่ควรบำรุงอะไร พี่สาวของเขาฮูหยินจวนเจิ้นกั๋วกงควรทำอย่างไรต่อ
อันที่จริงก็คือประเด็นทั่วไป อีกทั้งด้านข้างยังมีซูอวี้เหิงคอยเป็นก้างขวางคอ แม้กระทั่งบุตรีอนุภรรยาตระกูลเฟิงนามว่าเฟิงจื่อซิงและเฟิงจื่อเย่ว์ยังอยู่ด้วย พวกเขาเสวนากันอย่างเพลิดเพลิน แต่ยกเว้นตนเองที่ต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย นี่เห็นได้ชัดว่าตั้งใจไม่สนใจนาง
สิ่งที่น่าคับแค้นใจคือน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั้น และสายตามิอาจปิดบังความรู้สึกที่มองเหยาเยี่ยนอวี่คู่นั้นของเฟิงเซ่าเชิน เหยาเชวี่ยหวาแอบมองแล้วมองอีก ภายในใจก็รู้สึกแค้นเคืองยิ่งนัก
เพียงแต่ว่านางจะแค้นเคืองอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ นางเพิ่งมาเมืองหลวง ยังไม่สนิทสนมกับเหล่ายอดสตรีชั้นสูง อนาคตอยากจะไปมาหาสู่กับพวกนางบ่อยๆ จึงอยากอาศัยโอกาสในวันนี้
เหยาเชวี่ยหวาจัดการกับอารมณ์ของตนเองเสร็จ ยกมือปอกเหอเถา แล้วยื่นไปให้เหยาเยี่ยนอวี่ “พี่สาว เหอเถานี้ไม่เลวเลย ท่านลองชิมดูสิ”
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองเหยาเชวี่ยหวา ยื่นมือรับเหอเถาด้วยรอยยิ้มจางๆ แต่กลับไม่ได้กิน แค่จับเล่นในมือเท่านั้น เหตุเพราะเฟิงจื่อซิงเห็นสร้อยข้อมือพลอยทับทิมบนข้อมือของเหยาเชวี่ยหวา จึงพูดยิ้มๆ “สร้อยข้อมือเส้นนี้ของคุณหนูสามงดงามจริงๆ งานฝีมือนี้คล้ายช่างที่โด่งดังในที่ร้านตั้งอยู่ถนนเจิ้งหยวนประดิษฐ์เลย”
เหยาเชวี่ยหวาแย้มยิ้ม “นี่เป็นของที่พี่รองให้ ข้าเพิ่งมาเมืองหลวง จะไปรู้จักร้านเครื่องประดับได้อย่างไร”
หนิงฮูหยินน้อยพูดยิ้มๆ ด้านข้าง “ช่างผู้นั้นที่คุณหนูเฟิงเอ่ยถึงฝีมือดีจริงๆ ถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของในเมืองหลวงเลย”
“เป็นเช่นนั้น ฮูหยินน้อยรองไปสั่งทำเครื่องประดับที่ร้านนั้นไหม”
“นั่นเป็นร้านของเหยาฮูหยิน” ซูอวี้เหิงพูดด้วยรอยยิ้ม
เฟิงจื่อซิงตกตะลึงทันที “อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นเหยาฮูหยินช่วยอะไรข้าหน่อยได้หรือไม่ เดือนที่แล้วข้าไปสั่งทำเครื่องประดับหนึ่งชุด พวกเขาบอกว่าให้ไปรับในอีกสองเดือนข้างหน้า แต่ข้าทนรอไม่ไหว นั่นเป็นของขวัญวันเกิดที่ข้าจะมอบให้จวิ้นจู่แห่งจวนเยี่ยนอ๋อง กลัวว่าจะไม่ทันการ”
“นี่มีอะไรยากเล่า กลับไปข้าจะส่งคนไปบอกทางร้านว่าให้เร่งทำก็ได้แล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ
“ต้องขอบคุณฮูหยินแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
เวลานี้ ทุกคนจึงพูดถึงเรื่องเครื่องประดับกัน
เหยาเชวี่ยหวาก็นึกว่าพอพูดถึงเครื่องประดับแล้ว เฟิงเซ่าเชินคงจะเบื่อหน่าย นึกไม่ถึงว่าคนคนนี้กลับรู้เรื่องทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือหรือแบบร่างต่างๆ เหมือนเขาจะรู้เรื่องกว่าเหล่าสตรีเสียอีก แม้กระทั่งเรื่องเครื่องประทินบำรุงผิว ยังพูดแทรกเข้ามาได้ ทำให้เห็นว่าเป็นคนใส่ใจในสตรีอย่างยิ่ง เพียงแค่ว่าพวกเขาพูดคุยกันอย่างดุเดือด ตนเองกลับพูดแทรกอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ถึงเวลานี้ เหยาเชวี่ยหวาเพิ่งจะรู้ตัวว่า เหยาเยี่ยนอวี่จงใจทำเช่นนี้ แล้วยังมีซูอวี้เหิงที่ตั้งใจกลั่นแกล้งให้นางเสียหน้าอีกด้วย ทุกครั้งที่ตนอยากพูดแทรก ซูอวี้เหิงมักจะหาวิธีพูดแทรกก่อนนางเสมอ ไม่ให้โอกาสนางได้พูดเลย อีกอย่างยังเบี่ยงประเด็นไปไวมาก
โชคดีที่ดื่มชาหมดกันสองถ้วย เฟิงเซ่าเชินก็ลุกขึ้นพร้อมกล่าวขอตัว สายตาของเหยาเชวี่ยหวาลอบมองทิศทางที่เขาจากไป และค่อยดึงสายตากลับมา อารมณ์ที่เดือดพล่านในใจจึงค่อยๆ สงบลง
มีเณรน้อยมาบอกว่าอาหารมังสวิรัติจัดเตรียมเสร็จแล้ว มาถามว่าฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสองจะตั้งโต๊ะอาหารหรือยัง ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงพูดยิ้มๆ “วันนี้กลับครึกครื้นยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็อยู่กินอาหารมังสวิรัติด้วยกัน ตั้งโต๊ะที่นี่เถอะ กินเสร็จจะได้รีบเดินทางกลับเมืองหลวง”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้น ประเดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จ ฟ้าก็คงใกล้มืดแล้ว”
ทุกคนจึงผลัดกันไปล้างมือ เหยาเชวี่ยหวาแอบเดินไปตรงมุมเงียบของอารามตามลำพัง อารามนี้เป็นทรงสี่เหลี่ยม กลางสวนมีเพียงต้นกู่ไหวเก่าแก่ที่สูงทะลุเมฆอยู่สองสามต้น ถัดจากตรงมุมกำแพงนี้ก็คือเรือนขนาดเล็กที่เอาไว้เก็บของ อีกด้านคือเรือนสงบ
เหยาเชวี่ยหวาเดินเปลี่ยนทิศตรงกำแพงก็เจอกับเฟิงเซ่าเชินเข้า จึงรีบหยุดเท้าน้อมคำนับ “คุณชายเฟิงเจ้าคะ”
เฟิงเช่าเชินส่งยิ้มให้นาง พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
ในมุมสงบ บุรุษและสตรีควรรักษาระยะห่าง ชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิต เฟิงเซ่าเชินก็เป็นบุรุษที่เห็นอกเห็นใจสตรี ดังนั้นก็ไม่ได้มากความกับเหยาเชวี่ยหวา แค่เดินจากไปทันที
เหยาเชวี่ยหวากลับยืนอยู่ที่เดิมอยู่นาน
ตั้งแต่เด็กจนโต เหยาเชวี่ยหวาได้ฟังเรื่องสนุกสนานในบ้านเกิดของเถียนอี่เหนียงมาไม่น้อย เรื่องราวบุรุษมีเกียรติก็ต้องได้ยินมาเป็นธรรมดา เดิมทีสกุลเถียนก็เกิดในตระกูลชั้นต่ำอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่ยอมฝึกกฎระเบียบและมารยาทของตระกูลชั้นสูง ดังนั้นวาจาและท่าทีก็ไม่เข้าตาหวางฮูหยินเลย
ตอนเหยาเชวี่ยหวายังเด็ก ก็ยังไม่เห็นอะไรไม่ดีในตัวนาง วันนี้ค่อยๆ โตขึ้นมา รวมถึงเรื่องที่นางสุมหัวกับซ่งเหยียนชิงแล้ว แทบจะทำให้ทั้งตระกูลเหยาพลอยลำบากไปด้วย แม้กระทั่งหวางฮูหยินยังไม่ยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ดังนั้นจึงคิดหาวิธีแยกสกุลเถียนกับเหยาเชวี่ยหวาออกจากกัน ไม่เช่นนั้นนางจะหาเรื่องยุยงทั้งวัน จะคอยสอนคุณหนูสามที่เดิมทีเกิดมาไม่ได้เลวทรามต้องเสียคน
เพียงแค่ว่าหวางฮูหยินดูแลงานเรือน ด้านบนมีฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ส่วนด้านล่างยังมีบุตรหลานที่ให้กำเนิดต้องคอยดูแล จึงมีพละพลังที่จำกัด
อีกอย่างตั้งแต่เหยาเยี่ยนอวี่แต่งงานกับเว่ยจาง หวางฮูหยินก็คิดอยู่หลายครั้งว่าจะส่งสกุลเถียนออกไปอยู่นอกจวน ทว่ามักถูกฮูหยินผู้เฒ่าขัดขวางตลอด อีกอย่างหวางฮูหยินยังถูกกล่าวหาว่า ‘ไร้ความปรานี’ ‘อิจฉาริษยา’ ผู้อื่นอีก ทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างมาก นางไร้คุณธรรมและอิจฉาริษยา เช่นนั้นเหยาเยี่ยนอวี่และเหยาเชวี่ยหวาบุตรีอนุภรรยาสองคนนี้ออกจากรูใดกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าถือโอกาสเบียดเบียนหวางฮูหยิน ไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีเสียนิด
หลายๆ เหตุผลข้างต้น เหยาเชวี่ยหวาจึงคิดว่าฮูหยินต้องไม่เป็นกังวลเรื่องงานแต่งของนางแน่นอน อนาคตตนต้องถูกสั่งให้แต่งงานกับตระกูลไหนก็ได้ แค่ให้สินเดิมเจ้าสาวไปแล้วตัดหางปล่อยวัดให้จบๆ ไป สำหรับเรื่องที่นางจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ นายท่านและฮูหยินต้องไม่สนใจอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องของตน ตนจึงต้องเป็นฝ่ายกังวล แม้กระทั่งนางยังเคยคิดว่าต่อให้ตนเองออกเรือนได้ดีเหมือนเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ แต่ก็จะไม่ปล่อยให้แย่ไปกว่านางมากเกินไปแน่นอน
เพียงแต่ว่า นางนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวันนี้จะได้เจอกันเฟิงเซ่าเชิน บุรุษรูปหล่อที่สง่างามราวกับเทพเจ้าเสด็จมายังโลกมนุษย์ในวัดเช่นนี้
โดยเฉพาะเมื่อครู่ตอนที่เขาเดินผ่านหน้าตนเอง รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าดุจดั่งลมอันอบอุ่นในวสันตฤดู หัวใจของเหยาเชวี่ยหวาหลุดลอยตามไปกับเขา ใบหน้ายิ้มๆ นั้นยังคงจดจำอยู่ในใจของนาง และถูกฝังลึกเข้าไปด้านในจนไม่อาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต
ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา อะไรคือแก่งแย่งชิงดี อะไรคือรุ่งโรจน์ร่ำรวย อะไรคือแผนการใหญ่หลวง ทุกอย่างหายไปจากสมองของนางหมด นางแค่คิดว่าหากตนเองเฝ้าอยู่เคียงข้างคนเช่นนี้ชั่วชีวิตได้ ต่อให้อายุจะสั้นลงสิบปีก็ยินยอม!