หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 511 ความคิดฟุ้งซ่านและหมกมุ่น (4)
ตอนที่ 511 ความคิดฟุ้งซ่านและหมกมุ่น (4)
“น้องสาม?” เสียงเย็นชาของหนิงฮูหยินน้อยดังขึ้นจากด้านหลัง เหยาเชวี่ยหวาเกร็งไปทั้งร่าง ทันใดนั้นก็หลุดออกจากภวังค์
หนิงฮูหยินน้อยหันไปมองด้วยความสงสัย ร่างเพรียวสูงของเฟิงเซ่าเชินก็ไปไกลแล้ว ก็หันกลับมามองเหยาเชวี่ยที่มีสีหน้าลุ่มหลง หนิงฮูหยินน้อยปั้นหน้าเคร่งขรึมเดินหน้าไปสองก้าวแล้วถาม “เจ้ายืนเซ่ออะไรที่นี่”
“เปล่า” ทว่าทันใดนั้นนั้น สีหน้าของเหยาเชวี่ยกวาก็กลับมาเป็นปกติ
“เมื่อครู่เจ้าคุยอะไรกับคุณชายเฟิง” หนิงฮูหยินน้อยถามด้วยความระมัดระวัง
“พี่สะใภ้รอง ความหมายของท่านคืออะไร” เหยาเชวี่ยหวาดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
หนิงฮูหยินน้อยแสยะยิ้ม เดินไปใกล้เหยาเชวี่ยหวา แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าขอเตือนน้องสาวด้วยความหวังดี น้องสาวอย่าได้เข้าใจผิด คุณชายเฟิงที่เดินผ่านเจ้าไปเมื่อครู่นี้คือหลานชายจวนอัครเสนาบดี ฮองเฮาองค์ปัจจุบันคือเสด็จป้าของเขา บุตรีของเยี่ยนอ๋องผู้เฒ่าหลิงซีจวิ้นจู่คือมารดาผู้ให้กำเนิดเขา จวนอัครเสนาบดีมีหลานชายเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น เป็นหัวแก้วหัวแหวนที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจตั้งแต่เด็กจนโต เหล่ายอดสตรีในตระกูลชั้นสูงทั้งเมืองหลวงอวิ๋นรอสมรสกับเขาทั้งหมด ยังต้องเข้าแถวต่ออันดับ ทางที่ดีที่สุดน้องสาวตัดใจไปเถอะ”
“น้องรองพูดอะไรอยู่ เหตุใดข้าถึงฟังไม่รู้ความเลย” เหยาเชวี่ยหวาปั้นหน้าเย็นชา แล้วหันหลังเดินจากไป
หนิงฮูหยินน้อยยิ้มเย็นชา แล้วพูดว่า “ทางที่ดีที่สุดก็อย่าฟังให้รู้ความเลย มิเช่นนั้น ถึงเวลาไม่เพียงแต่เจ้าที่เสียหน้า แล้วยังจะทำให้ทั้งตระกูลพลอยเสียหน้าไปกับเจ้าด้วย”
เหยาเชวี่ยหวาพลันหยุดฝีเท้าหันไปมองหนิงฮูหยินน้อย แววตาสื่อถึงความโมโหที่มิอาจปิดบังไว้ได้
หนิงฮูหยินน้อยยิ้มจางกว่าเดิม “เหตุใดหรือ คำพูดของข้าแทงใจเจ้า ถึงขั้นโมโหแล้วหรือ ข้าว่าน้องสามยังต้องฝึกกับน้องรองอีกเยอะ ทุกอย่างปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ อย่างไรเจ้าก็คือสตรีของตระกูลเหยา อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง และคิดไปเองว่าใช่ เป็นคนยังต้องรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว”
“คำพูดนี้ ท่านกล้าพูดกับน้องรองหรือ” เหยาเชวี่ยหวายืดตัวตรง แล้วถามด้วยเสียงเย็นชา
“ข้าเอ่ยคำพูดเหล่านี้ก็แค่ต้องการเตือนสติคนโง่เขลาเท่านั้น น้องรองเป็นคนฉลาดขนาดนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ข้าที่นับถือเจ้า เกรงว่าพี่ใหญ่ของเจ้าก็คงนับถือเจ้าอย่างมาก อย่างไรเจ้าก็คิดให้ดีแล้วกัน” หนิงฮูหยินน้อยพูดจบ สะบัดผ้าในมือ แล้วเดินจากไปก่อน
เหยาเชวี่ยหวายืนอยู่ที่เดิม พยายามปรับอารมณ์ให้ใจเย็นแล้วหันหลังจากไป
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเฟิงเซ่าเชิน หนิงฮูหยินน้อย เหยาเชวี่ยหวาเดินตามๆ กันมาจากทิศทางเดียวกัน แค่ยิ้มเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่พูดไม่จา
อาหารมังสวิรัตินั้นเรียบง่ายมาก เป็นเพียงพวกแป้ง เต้าหู้ ผักกาด และหมั่นโถวเท่านั้น แต่รสชาติกลับดีเยี่ยม และดูออกว่าทำอย่างพิถีพิถัน อย่างไรคนพวกนี้ก็ไม่ขาดเงิน แค่แบมือออกก็ได้รับเงินหลายสิบตำลึงแล้ว อีกอย่างยังเป็นราชวรมหาวิหาร ปกติก็มักต้องต้อนรับเหล่าราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง อาหารก็ไม่ได้แย่เกินไป
อาหารสังสวิรัติแบ่งเป็นโต๊ะเล็กสองสามโต๊ะ เฟิงเซ่าเชินนั่งอยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง คอยดูแลท่านย่าของตน และข้างฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็มีหนิงฮูหยินน้อยคอยดูแล เหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเชวี่ยหวา ซูอวี้เหิง และคุณหนูเฟิงอีกสองคนแยกกันนั่งอีกสองโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ทุกคนกินอาหารพอเป็นพิธีเพียงเพราะอยากได้รับพรจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ตอนกลับเมืองหลวง เหยาเยี่ยนอวี่หาข้ออ้างอย่างอ่อนล้า จึงไม่ได้นั่งรถคันเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็บรรลุเป้าหมายแล้ว จึงไม่ได้บีบบังคับอะไรอีก
เฟิงเซ่าเชินปรนนิบัติรับใช้เฟิงฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นรถม้า ตอนหันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเชวี่ยหวาก็บังเอิญเห็นอีกแล้ว เหยาเชวี่ยหวานิ่งงันไป ผ้าเช็ดหน้าในมือโดนลมพัดขึ้นกลางอากาศก็ยังไม่รู้ตัว
“ว้าย…” เหยาเชวี่ยหวาหลุดออกจากภวังค์ เงยหน้ามองผ้าเช็ดหน้าของตนเอง ซิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังรีบวิ่งไปจับผ้าเช็ดหน้าที่ลอยไป หลังจากโดนลมกลางหุบเขาพัด ผ้าเช็ดหน้าสีชมพูผืนนั้นกลับถูกพัดไปแขวนบนกิ่งไม้
เฟิงเซ่าเชินได้ยินเสียงจึงหันไปมอง แล้วกวักมือเรียกทหารรักษาการณ์คนหนึ่ง “ไปช่วยคุณหนูสามเหยาเอาผ้าเช็ดหน้ากลับมาที”
ทหารรักษาการณ์คนนั้นตอบกลับ เขย่งเท้ากระโดดขึ้นสูง ใช้วิธีตัวเบาเหยียบบนหลังคารถม้าของเหยาเชวี่ยหวา จากนั้นก็กระโดดขึ้นกลางอากาศยื่นมือคว้าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น จากนั้นลงมือยื่นตรงหน้าเหยาเชวี่ยหวา “คุณหนู ผ้าเช็ดหน้าของคุณหนูขอรับ”
เหยาเชวี่ยหวาหันไปมองเฟิงเซ่าเชินเพียงปราเดียว ใบหน้าเขินอายจนอมชมพู แล้วค้อมตัวลงเล็กน้อย “ขอบคุณแล้ว”
“ไม่เป็นไรขอรับ” ทหารรักษาการณ์เอาผ้าเช็ดหน้าคืนให้เหยาเชวี่ยหวา แววตากลับเหมือนไม่อยากละสายตาไปทางอื่น แล้วนางมองอีกครา
เวลานี้ เฟิงเซ่าเชินก็หมุนตัวขึ้นไปบนรถ แล้วหันไปตะโกนเสียงดัง “ไปเถอะ” แล้วขึ้นนั่งบนรถม้าของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง
เหตุเพราะซูอวี้เหิงขึ้นรถม้าช้ากว่าเหยาเยี่ยนอวี่หนึ่งก้าว จึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น หลังจากขึ้นรถม้าก็ดึงแขนเสื้อของเหยาเยี่ยนอวี่หนึ่งที แล้วถามด้วยเสียงต่ำ “พี่เหยา น้องสามของท่านเป็นอะไรไปหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “ก็อย่างที่เจ้าเห็นนี่แหละ”
ซูอวี้เหิงยิ้มเสียงเบา แล้วกดเสียงต่ำลง “นางเหมือนจะมีใจให้คุณชายเฟิงเสียแล้ว”
“แค่เป็นคุณชายสง่างาม นางล้วนมีใจให้หมด” เหยาเยี่ยนอวี่พูดยิ้มๆ อย่างไม่เหลือเยื่อใย
ซูอวี้เหิงมองเหยาเยี่ยนอวี่อย่างตกตะลึง ทันใดนั้นก็แสยะยิ้ม “ยังไม่เคยเห็นพี่สาวพูดอย่างเย็นชาใส่ใครมากเช่นนี้มาก่อน หากข้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ คงไม่ยอมนางขนาดนั้นแล้ว”
“วันข้างหน้าเจอนางก็อย่าไปสนใจ ไม่ต้องเห็นแก่หน้าข้าหรอก” เหยาเยี่ยนอวี่พูดจบ นางก็ครุ่นคิดถึงสักพัก แล้วตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ตอนที่กลับเจียงหนิง เหยาเชวี่ยหวาร่วมมือกับญาติต้นตระกูลฮูหยินผู้เฒ่าซ่งทำร้ายชีวิตตนให้ซูอวี้เหิงฟัง หลังจากนั้นก็เปรยว่า “หากไม่ได้เห็นแก่หน้าท่านพ่อ ข้าเกียจคร้านที่จะมองนางแม้แต่คราเดียว อย่าว่าแต่เห็นนางเป็นน้องสาวเลย ช่างเสียชื่อ ‘พี่น้อง’ จริงๆ”
“นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร!” ซูอวี้เหิงตะลึงงันมาก ดูท่าแล้ว พี่น้องต่อให้ไม่ถูกคอกัน ก็เหมือนนางกับพี่สาวซูอวี้หรง มากสุดก็แค่ไม่ไปมาหาสู่ กลับไม่มีทางลอบทำร้ายกันเช่นนี้ ท้ายที่สุดก็ยังทำเพื่อเงินสองพันตำลึง!
“ใต้หล้านี้มีคนมากมาย จิตใจของคนก็เปลี่ยนได้หลายแบบ เจ้าขอให้คนอื่นเป็นเหมือนเจ้าไม่ได้” เหยาเยี่ยนอวี่ปลงกับพวกนี้มานานแล้ว จึงตบมือของซูอวี้เหิง แล้วปลอบโยน “ข้าบอกเจ้าเรื่องนี้ ก็แค่อยากให้เจ้ารู้ในนิสัยของนาง ว่ากันว่าภูเขาสูงยังขยับง่าย แต่นิสัยจนขยับยาก ข้าไม่รู้สึกว่าสองปีนี้นางปรับปรุงตัวดีขึ้น ดังนั้นวันข้างหน้าทุกคนอย่าได้เกี่ยวข้องกันจะดีกว่า เจ้ากับนางก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรอยู่แล้ว ยิ่งไม่จำเป็นต้องอัดอั้นใจเพราะคนอย่างนางหรอก”
ซูอวี้เหิงถอนหายใจ “จริงๆ ข้าก็ไม่ได้อัดอั้นใจอะไร แค่นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นเช่นนี้ รู้สึกไม่คุ้มแทนพี่เหยาเท่านั้น”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจนปัญญา แล้วพลิกข้อจับมือนางไว้ “ไม่ต้องสนใจนางก็พอ อย่าเอานางมากระทบสภาพจิตใจของตนเองก็พอ”
“พี่เหยาพูดถูก” ซูอวี้เหิงพยักหน้าด้วยยิ้มจางๆ
หลังจากรถม้าเข้าเมืองหลวง ฮูหยินอัครเสนาบดีจึงสั่งให้คนมาบอกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งว่าตนเองมีธุระจึงจะกลับจวนก่อน วันข้างหน้าค่อยเชิญนางไปเสวนาเล่นในจวน แล้วก็จากไปก่อนทันที เฟิงเซ่าเชินเร่งม้าตามไป ก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองรถม้าของเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าสุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงจากไปอย่างเงียบๆ
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังคิดว่าเหยาเยี่ยนอวี่คงจะเชิญตนเองอาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพสองสามวัน กลับนึกไม่ถึงว่านางไม่พูดคำนั้น จึงให้รถม้าติดตามรถม้านางไปถึงจวนเหยา เห็นหวางฮูหยินพูดสองสามคำ ไม่ทันได้กินแม้แต่มื้อค่ำก็กลับไปแล้ว