หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 512 เรื่องราวซับซ้อน (1)
ตอนที่ 512 เรื่องราวซับซ้อน (1)
เหยาเยี่ยนอวี่ทำเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งย่อมรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ทว่าคิดๆ แล้วแค่นางตอบตกลงว่าจะช่วยเหลือหลานชายต้นตระกูลของตนเองไปแล้ว เรื่องอื่นก็ค่อยว่ากันภายหลัง
คืนนั้นที่กลับไป เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้บอกเรื่องของซ่งเหยียนชิง แล้วยังแสดงทีท่าของตนเองให้แม่ทัพเว่ยรู้ ไม่ว่าอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน เพียงแต่ว่านางจะยุ่งเกี่ยวอย่างไร กลับตัดสินอะไรไม่ได้ เจ้าแค่สั่งให้คนส่งสารไป การรับสิบบน ซื้อขายตำแหน่งทหารเป็นความผิดอันใหญ่หลวง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปิดบังเรื่องไร้ความยุติธรรมเช่นนี้ได้ ดูว่าทางฝั่งกองทัพเรือจะจัดการอย่างไร
แม่ทัพเว่ยได้ยินคำพูดนี้ก็อดหัวเราะเสียงทุ้มและบีบแก้มฮูหยินไม่ได้ เปรยว่า “ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่าจิตใจของเจ้างดงามเกินไป ที่แท้ก็เสแสร้งนี่เอง เจ้ากระต่ายน้อยจิตใจงดงามนั้นมีด้านที่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์เช่นนี้ด้วยหรือ”
“ดังนั้น วันข้างหน้าก็ช่วยเชื่อฟังข้าด้วย อย่าเอาแต่รังแกข้า มิเช่นนั้นข้าอาจเอาคืนเมื่อใดก็ได้” เหยาฮูหยินยิ้มอย่างภูมิใจ
“มาสิ” จู่ๆ แม่ทัพเว่ยก็โน้มตัวลงมากดร่างของฮูหยินไปพิงบนหมอนด้านหลัง พร้อมพูดด้วยเสียงเย้ายวน “เจ้ารู้ไหม สามีหวังให้เจ้าจะเอาคืนมากแค่ไหน”
เหยาเยี่ยนอวี่ปั้นหน้าเขินอาย จึงรีบโบกมือผลักเขาออก “ลุกขึ้น! เดี๋ยวเหล่าสาวใช้เข้ามาเห็น”
“เข้ามาก็เข้ามาสิ หรือข้าต้องกลัวพวกนางด้วย?” หากเหล่าสาวใช้ไม่มีไหวพริบเช่นนั้น ก็ไล่ออกจากจวนให้หมด เปลี่ยนสาวใช้ที่หูตามีไหวพริบมาปรนนิบัติ
“ใช่ๆๆ! เจ้าคือแม่ทัพใหญ่ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้านี้ เจ้าไม่กลัวอะไรเลย แต่ข้ากลัว เข้าใจไหม” เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือจับคางเขาไว้ เพื่อกันไม่ให้เขาขยับเข้ามาใกล้อีก
“เจ้าก็ไม่ได้กลัวจริงหรอก” แม่ทัพอ้าปากกัดนิ้วมือเรียวเล็กและนุ่มนวลของเหยาเยี่ยนอวี่ “เจ้าแค่หาข้ออ้างเท่านั้น”
ลมหายใจแผ่วร้อนล้อมอยู่รอบปลายนิ้วมือของนาง พอนางขยับนิ้ว ฟันอันน่ารังเกียจกัดนิ้วมือจนทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยทันที พอนางไม่ขยับ ลิ้นอันน่ารังเกียจนั้นเลียนิ้วไม่หยุด ทำให้รู้สึกคันยุบยิบ เหยาฮูหยินแค่รู้สึกแก้มร้อน ลมหายใจไม่เป็นจังหวะ “นี่…ปล่อย!”
แม่ทัพเว่ยยิ้มอย่างร้ายกาจ ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อย กลับยังเกินเลยกว่าเดิม
เหยาเยี่ยนอวี่นึกมาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องมีช่วงที่ถึงขั้นเบื่อหน่าย ความรักก็เช่นกัน
ต่อให้ทั้งสองรักใคร่กันมากเพียงใด พอได้อยู่ด้วยกันทุกวัน ความรักที่มีคงค่อยๆ จืดจางไป รอให้ความรู้สึกไม่ได้ร้อนรุ่มเหมือนตอนแรก ทุกอย่างอาจจืดจางไปก็ได้ ต่อให้ไม่ถึงขั้นเจอหน้ากันอีกฝ่ายก็รู้สึกเบื่อขี้หน้า ทว่าก็เหมือนที่ว่ากันว่าคู่สามีภรรยาที่สูงวัยแล้ว มักจะรู้สึก ‘จูงมือของเจ้า ราวกับเอามือขวาจูงมือขวา’
เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องมันอาจไม่ใช่เช่นนั้น
ถึงแม้เว่ยจางจะตัวติดกับนางต่อเมื่ออยู่จวน ทว่าความรู้สึกนั้นเหมือนจะไม่พอ คิดจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและครอบครองชีวิตด้วยกันชั่วนิรันดร์ เหมือนใช้ทั้งชีวิตนี้มาอยู่ร่วมกันก็ยังไม่เพียงพอ ยังอยากจะเกิดมาคู่กันในภพหน้า
เหยาเยี่ยนอวี่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคู่ครองถึงสาบานว่าจะเคียงคู่กันทุกภพทุกชาติ ที่แท้การรักคนคนหนึ่งคือการอยากสลักเขาเข้าไปในไขกระดูก อยากให้สืบสานผ่านสายเลือดไปรุ่นสู่รุ่น จวบจนฟ้าจะถูกทิ้งร้าง โลกาจะเสื่อมถอย
หนิงฮูหยินน้อยกลับถึงจวน ก็ไปเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดในวัดกับหวางฮูหยิน หวางฮูหยินฟังจบก็นิ่งเงียบไปสักพัก แล้วถามว่า “ตามความหมายของเจ้า เรื่องนี้ควรทำอย่างไร”
หนิงฮูหยินน้อยเปรยเสียงต่ำ “ฮูหยินช่วยอภัยที่ข้าเอ่ยคำพูดไม่เหมาะสม ท่าทีของน้องสามแย่กว่าน้องรองหลายแสนลี้ ทว่านางยังจ้องจะอยู่เหนือกว่าน้องรอง หากยังปล่อยให้นางทำนิสัยเช่นนี้ต่อไป อนาคตยังไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น”
“คำพูดนี้ของเจ้า ข้าคิดในใจมาหลายสิบรอบแล้ว ก่อนหน้านี้นางทำเช่นนั้นกับน้องรองเจ้า ข้ารู้ดีทุกอย่าง น้องรองเจ้าถึงจะเกลียดชังนางเช่นนั้น แม้กระทั่งสีหน้าที่ดีก็ยังไม่ให้นางเลย” หวางฮูหยินแสยะยิ้มเย็นชา แล้วพูด “หากนางคือบุตรีในสายเลือดของข้า ข้าคงสั่งสอนนางอย่างเด็ดขาดไปนานแล้ว วันนี้เจ้าก็เห็นแล้ว นางมีฮูหยินผู้เฒ่าหนุนหลัง ข้าเพียงพูดจารุนแรงไม่กี่คำ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจแล้ว หากลงโทษนางตามกฎระเบียบ ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่โวยวายกับข้าหรือ”
“ฮูหยินผู้เฒ่า…อย่างไรก็อายุมากแล้ว…เฮ้อ!” หนิงฮูหยินน้อยถอนหายใจพลางเปรยด้วย น้ำเสียงจนปัญญายิ่งนัก
“ระวังตัวหน่อยก็ดี เดิมทีตระกูลเฟิงก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับพวกเราบ่อยๆ อยู่แล้ว จวนอัครเสนาบดีเป็นตระกูลสูงศักดิ์ นายท่านก็ยังไม่อยากไปข้องเกี่ยว นางที่อยู่แต่ในจวนก็คงไม่มีโอกาสได้ออกไปด้านนอกหรอก อีกอย่าง ตามด้วยนิสัยและฐานะของนาง อยากจะข้องเกี่ยวกับจวนอัครเสนาบดีจริง เกรงว่าแม้กระทั่งอนุภรรยาก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้เป็น นายท่านต้องไม่ตอบตกลงแน่นอน”
หนิงฮูหยินน้อยพยักหน้า แล้วพูดว่า “ฮูหยินกล่าวถูกเจ้าค่ะ”
“ทว่าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่เกิดข่าวเสียหาย ตั้งแต่วันนี้ไปก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น”
“แค่กลัวว่าจะควบคุมตัวนางได้ แต่ควบคุมใจไม่ได้”
“คิดหาวิธีหน่อยเถอะ” หวางฮูหยินถอนหายใจเบาๆ ยกมือนวดขมับ
หลังจากเหยาเชวี่ยหวากลับมาก็นิ่งงันอยู่หลายวัน ปกตินางมักจะขังตัวเองอยู่ในห้อง แล้วทำกิจกรรมเย็บปักถักร้อย เล่นกู่ฉิน หรืออ่านตำรา หนิงฮูหยินน้อยก็ส่งคนไปแอบจับตาดูนาง กลับไม่มีท่าทีที่ผิดแปลกอะไร
ช่วงเวลาย่างเข้าเดือนหก อากาศยิ่งอยู่ยิ่งอบอ้าว ดวงอาทิตย์ราวกับเปลวไฟแผดเผาทั้งเมืองหลวงอวิ๋น รุ่งเช้าที่ตื่นมา อากาศก็ร้อนระอุยิ่งนัก ถึงกับทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ
วันนี้เหยาเยี่ยนอวี่กลับจากสำนักแพทย์ นางรู้สึกเหนียวเนื้อเหนียวตัวมาก พอเข้าประตูก็รีบสั่งให้เหล่าสาวใช้เตรียมอ่างอาบน้ำ
สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามารายงาน “เรียนฮูหยิน จวนติ้งโหวส่งสาสน์มา วันก่อนอี๋เหนียงในจวนคลอดบุตรีหนึ่งคน วันนี้อี๋เหนียงอีกคนก็คลอดได้บุตรชายเจ้าค่ะ”
“ใครคลอดก่อน หู่พั่วหรือว่าหลิวหลี?” เหยาเยี่ยนอวี่ถอดเสื้อผ้าไปถามไป
“หู่พั่วเจ้าค่ะ” ม่านลูกปัดตลบขึ้น ซูอวี้เหิงเดินเข้ามารอยยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สามสั่งให้คนมาบอกว่า ตอนนี้แค่มาบอกให้ทราบเรื่องก่อน รอให้จัดงานเลี้ยงฉลองครบหนึ่งเดือน ค่อยให้ทารกสองคนนี้กลายเป็นบุตรของตนเอง เช่นนี้ นางก็ถือว่าได้ทั้งบุตรชายและบุตรีแล้ว”
“เย่ว์เอ๋อร์มีน้องชายและน้องสาวแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ ไอ้สารเลวอย่างซูอวี้เสียงนั้นโชคดีจริงๆ เหตุใดคนประเภทนี้ถึงได้มีบุตรีและบุตรชายเล่า
“พี่สะใภ้สามก็ถือว่าสมดั่งปรารถนาแล้ว” วันนี้ซูอวี้เหิงรู้ว่าเหยาเฟิ่งเกอคิดอย่างไร ภายในใจจึงรู้สึกเศร้าระทมแทนนางจริงๆ
เมียบ่าวของซูอวี้เสียงคลอดบุตรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว ทว่าเหยาเฟิ่งเกอจะให้ทารกสองคนนี้เป็นบุตรของตนกลับไม่ใช่เรื่องเล็ก อย่างน้อยคนในจวนติ้งโหวคงไม่นิ่งเฉยกับเรื่องนี้
ตามความต้องการของเหยาเฟิ่งเกอ รอให้ทารกครบเดือน ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินจวนเหยา หนิงฮูหยินน้อย เหยาเยี่ยนอวี่ ซูอวี้เหิงก็ต้องมาด้วยอยู่แล้ว ซูอวี้ผิงก็สั่งให้คนทั้งจวนติ้งเป่ยโหวรวมตัวกัน ทั้งยังเชิญญาติตระกูลซูมากราบไหว้บรรพบุรุษ แล้วเริ่มงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง
ถึงแม้ตระกูลซูยังไม่พ้นช่วงเวลาไว้อาลัย ทว่าได้บุตรหลานเพิ่มมาในตระกูลก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ นี่เท่ากับว่าซูอวี้เสียงมีทายาทสืบทอดตำแหน่งแล้ว สองสามีภรรยาอิ่งติ้งกงที่อยู่บนสวรรค์ก็ต้องรื่นเริงยินดีเป็นธรรมดา ดังนั้นซูอวี้ผิงที่เป็นหัวหน้าครอบครัว จึงอยู่ดื่มสุรามังสวิรัติกับเหล่าญาติมิตรสองสามแก้วในงานเลี้ยงที่จัดกลางสวนบุษบา
เวลานี้ งานศพของสองสามีภรรยาอิ่งติ้งกงเพิ่งจะล่วงเลยไปสองเดือนกว่า งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่สะดวกจัดอย่างโอ่อ่าอลังการ แขกเหรื่อที่เชิญก็ต้องจำกัดจำนวน นอกจากญาติสนิทของตระกูลซู ก็มีเพียงต้นตระกูลของเฟิงฮูหยินและซุนฮูหยินน้อย และตระกูลเหยาเท่านั้น